“ฮูหยิน!” จู๋เซียงยิ้มพลางคำนับสืออีเหนียง “คุณชายน้อยสี่กับคุณชายน้อยห้ากำลังฟังละครงิ้วอยู่กับไท่ฮูหยิน มีเก๋อจินกับสี่เอ๋อร์รับใช้อยู่ข้างกายเจ้าค่ะ”
เพียงแค่ไม่ไปยุ่งกับนักแสดงงิ้วเหล่านั้นก็พอแล้ว
จริงจังมากไปอาจจะทำให้เกิดความสงสัย
สืออีเหนียงกำชับ “วันนี้มีคนมากมาย ข้าเองก็ดูแลพวกเขาได้ไม่ทั่วถึง ไปบอกกับเก๋อจินและสี่เอ๋อร์สักหน่อย ให้พวกนางปรนนิบัติให้ดี อย่าให้ทั้งสองไปเล่นซนที่ไหน”
จู๋เซียงยิ้มตอบรับแล้วไปที่ห้องโถงบุปผาอีกครั้ง
กานไท่ฮูหยินหัวเราะ “เมื่อเด็กๆ โตขึ้นก็จำเป็นต้องปล่อยวาง เจ้าระวังมากไปแล้ว”
“ข้าเข้าใจเหตุผลนี้ดี!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เพียงแต่ว่าเจี้ยเกอพึ่งจะย้ายออกไป ข้ายังไม่ชินเล็กน้อย รอผ่านไปสักพัก คาดว่าก็จะค่อยๆ วางมือแล้ว”
“ก็จริง!” กานไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างไรเสียก็อยู่ข้างกายเจ้ามาหลายปี อย่าว่าแต่เด็กน้อยที่กระโดดโลดเต้นได้ แม้แต่หมาแมวที่เคยเลี้ยง พอไม่อยู่ข้างกายแล้วก็คงทำใจไม่ได้เช่นกัน”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!”
ทั้งสองคนพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง นั่งดูพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดินในศาลาที่บรรยากาศเย็นยะเยือก สืออีเหนียงรีบตะโกนเรียกสวีซื่อเจี่ยนให้เขาพาเด็กๆ ขึ้นฝั่ง
จิ่นเกอกระโดดขึ้นฝั่งมาเป็นคนแรก ใบหน้าแดงก่ำ “ท่านแม่ ข้ายังอยากพายเรืออีก ข้ายังอยากพายเรืออีกขอรับ!”
เซินเกอเดินตามหลังเขามาติดๆ รีบวิ่งไปหาสืออีเหนียงเลียนแบบท่าทางจิ่นเกอ แล้วตะโกนตามจิ่นเกอว่า “ท่านแม่ ข้ายังอยากพายเรืออีก ข้ายังอยากพายเรืออีกขอรับ!” เขาดึงชายเสื้อของจิ่นเกอ เลียนแบบคำพูดของจิ่นเกอ ราวกับหางเล็กๆ ที่ติดอยู่กับตัวของจิ่นเกอ บอกไม่ถูกว่าไร้เดียงสาและน่ารักขนาดไหน
ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะ
ซินเจี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ที่หัวเรือกำลังรอให้สวีซื่อเจี่ยนอุ้มนางขึ้นมา กระทืบเท้าทันที “เซินเกอ ข้าจะฟ้องท่านแม่! เจ้ารอถูกท่านแม่ตีก้นได้เลย!”
เซินเกอไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด เขาหันไปมองซินเจี่ยเอ๋อร์ บุ้ยปากท่าทางไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก
ทุกคนพากันหัวเราะอีกครั้ง
สวีซื่อเจี่ยนพูดหยอกล้อซินเจี่ยเอ๋อร์ “ไอ๊หยา น้องหญิงของพวกเราดุอย่างกะเสือ!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์โกรธมาก ผลักสวีซื่อเจี่ยน ถกกระโปรงแล้วขึ้นจากเรือด้วยตัวเอง
จินซื่อรีบตามไปจับมือซินเจี่ยเอ๋อร์ ตำหนิสวีซื่อเจี่ยนเบาๆ “ท่านก็เป็นซะอย่างนี้ คนอารมณ์ดีล้วนถูกแกล้งจนร้องไห้!”
สวีซื่อเจี่ยนยิ้มเจื่อนๆ
จินซื่อโอบตัวซินเจี่ยเอ๋อร์ “พวกเราไม่ต้องไปสนใจพี่สามของเจ้า อีกสักครู่พี่สะใภ้สามจะพาเจ้าไปเปลี่ยนชุด แต่งตัวสวยๆ แล้วไปคารวะบรรดาฮูหยิน”
ซินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า สีหน้าดีขึ้นมาก
กานไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางจับมือจิ่นเกอ “พวกเราไปทานข้าวกันเถิด”
จิ่นเกอยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน “ข้าจะไปพายเรือ ข้าจะไปพายเรือ” เบะปากพลางบิดตัวทำท่าทางออดอ้อน
กานไท่ฮูหยินใจอ่อน มีความลังเลปรากฏขึ้นในสายตาอยู่ครู่หนึ่ง มองสืออีเหนียง “พายต่ออีกสักครู่ดีหรือไม่ อย่างไรเสียก็ยังไม่สาย ให้บรรดาสาวใช้สวมเสื้อให้จิ่นเกออีกชั้นหนึ่งก็ได้แล้ว!”
เมื่อตัดสินใจแล้ว ทางที่ดีก็ไม่ควรจะกลับคำไปมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้เปลี่ยนใจเพราะบุตรออดอ้อนหรือร้องไห้ เด็กน้อยมักจะรู้จักสังเกตสีหน้า หากยอมให้หลายครั้งก็จะทำให้เขาเข้าใจผิด คิดว่าสิ่งที่ตัวเองไม่ยินยอม เพียงแค่ออดอ้อนหรืองอแงก็จะได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการ เมื่อเขาได้พบสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ เขาก็จะออดอ้อนหรือร้องไห้ และจะดื้อดึงจนกว่าจะได้ตามความต้องการ
สืออีเหนียงนั่งลง เกลี้ยกล่อมบุตรชายเบาๆ “พวกเราไปทานข้าวกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาพายเรือดีหรือไม่”
จิ่นเกอที่ปกติจะถูกโน้มน้าวได้ง่าย กลับไม่เป็นเหมือนเคย ไปยืนอยู่ข้างๆ กานไท่ฮูหยินแล้วจับมือกานไท่ฮูหยินไว้แน่น ส่ายหัวอย่างดื้อรั้น “ข้าจะพายเรือขอรับ!”
เซินเกอเห็นดังนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างกานไท่ฮูหยินเหมือนเขา “ข้าจะพายเรือขอรับ!”
คนที่อยู่ตรงนั้นเห็นแล้วรู้สึกขบขันจึงพากันหัวเราะ
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าการแสดงออกของจิ่นเกอนั้นดูแน่วแน่มากขึ้น
เด็กคนนี้ฉลาดเกินไปแล้ว!
“จิ่นเกอ!” นางสีหน้าเคร่งขรึม พูดเตือนเขาเป็นประโยคยาวว่า “หากเจ้าเชื่อฟังแม่ พรุ่งนี้ก็จะได้พายเรือต่อ หากเจ้าไม่เชื่อฟังแม่ พรุ่งนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้พายเรือ แม่พูดจริงทำจริงมาโดยตลอด เจ้าลองคิดดูให้ดี จะเชื่อฟังคำแม่หรือไม่”
จิ่นเกอมีสีหน้าลังเลปรากฏขึ้นมา
กานไท่ฮูหยินรู้สึกว่าสืออีเหนียงเคร่งครัดกับเด็กๆ มากเกินไป กำลังจะอ้าปากพูดเกลี้ยกล่อม ก็เห็นสืออีเหนียงหันมาส่ายหน้าให้นาง จึงได้กลืนคำที่จะพูดลงไป ส่วนคนอื่นๆ หากไม่ใช่ผู้ที่อายุน้อยกว่าก็เป็นเด็กๆ ที่ไม่รู้ความ ยิ่งไม่สามารถเอ่ยปากได้
จิ่นเกอมองดูผู้คนที่อยู่รอบๆ สมองเล็กๆ คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว “ข้าเชื่อฟังท่านแม่ขอรับ!”
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก หอมแก้มยุ้ยๆ ของจิ่นเกอเหมือนเป็นรางวัลให้เขา “เด็กดี พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาพายเรือกันอีก!”
จิ่นเกอพยักหน้า ในใจยังคงไม่มีความสุขเล็กน้อย
กานไท่ฮูหยินรีบปลอบใจเขา
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราไปทานข้าวกันเถิด” จูงมือจิ่นเกอเดินออกไป “จิ่นเกอ ขนมชิงถวนที่ข้าทำอร่อยหรือไม่” นางพูดปลอบจิ่นเกอเสียงอ่อนโยน “ยังมีไส้ไห่ถัง ไส้ดอกกุ้ยฮวา ไส้กุหลาบอีกด้วย ข้าทำอย่างละเล็กละน้อย พรุ่งนี้จะเอามาให้เจ้าชิมดีหรือไม่”
จิ่นเกอไม่พูดอะไรสีหน้าดูเขินอายเล็กน้อย
เซินเกอวิ่งมาอยู่ข้างกายกานไท่ฮูหยิน รีบจับมือกานไท่ฮูหยินอีกข้างหนึ่ง “ข้าเอาด้วย ข้าเอาด้วย”
ทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะครื้นเครง
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก
จิ่นเกอเองก็ลืมเรื่องที่ไม่พอใจเมื่อครู่นี้ไปแล้ว หว่างคิ้วเริ่มคลายออก พูดเสียงดังว่า “ข้าอยากไปนั่งชิงช้าที่เรือนท่าน ข้าไม่อยากทานขนมชิงถวนขอรับ”
ทุกครั้งที่สืออีเหนียงพาจิ่นเกอไปเยี่ยมกานไท่ฮูหยิน กานไท่ฮูหยินมักจะมีเรื่องมากมายพูดคุยกับสืออีเหนียง กลัวว่าจิ่นเกอจะเบื่อหน่ายจึงให้คนทำชิงช้าไว้ที่หน้าห้องแถวด้านหลังโดยเฉพาะ พาจิ่นเกอไปนั่งชิงช้าพลางพูดคุยกับสืออีเหนียง
เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาสิ หากเจ้าไปหาข้าเมื่อไรข้าก็จะพาเจ้าไปนั่งชิงช้า”
จิ่นเกอดีอกดีใจ เงยหน้ามองกานไท่ฮูหยิน “ข้ายังอยากทานปลาห้ารสด้วยขอรับ”
“ได้ ได้ ได้” กานไท่ฮูหยินก้มหน้ามองเขาแล้วยิ้ม “ข้าจะเข้าครัวทำปลาห้ารสให้จิ่นเกอด้วยตัวเองเลย ไม่เพียงแค่ปลาห้ารส ข้าจะทำขนมถั่วลิสงด้วย” ท่าทางและน้ำเสียงเอ็นดูเป็นอย่างมาก
จิ่นเกอพอใจ เดินไปกับกานไท่ฮูหยินอย่างร่าเริง “ไม่ให้อาไฉ่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ คราวที่แล้วนางทำช้อนข้าตกพื้น”
อาไฉ่คือสาวใช้น้อยข้างกายกานไท่ฮูหยิน
“ไม่ให้นางปรนนิบัติแล้ว” กานไท่ฮูหยินรีบพูดต่ออีกว่า “ข้าจะป้อนจิ่นเกอเอง!”
จิ่นเกอยิ้มกว้าง
เซินเกอพูดขึ้นมาว่า “ข้าก็อยากทาน ข้าก็อยากทาน!”
“ได้สิ!” กานไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อถึงเวลาเซินเกอกับจิ่นเกอก็มาเป็นแขกเรือนข้าด้วยกัน”
เซินเกอยิ้มแป้นทันที
กานไท่ฮูหยินจับมือเด็กน้อยคนละข้าง ค่อยๆ เดินออกจากท่าน้ำหลิวฟัง
สืออีเหนียงกับสวีซื่อเจี่ยนเดินอยู่ด้านหลัง นางได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สวีซื่อเจี่ยนกลับรู้สึกสนุก ยิ้มพลางพูดหยอกล้อจิ่นเกอ “ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่”
“ได้สิ!” จิ่นเกอรีบพูดต่อว่า “พี่สามจะได้ไปช่วยไกวชิงช้าให้พวกเรา”
“ข้าแค่ได้ไปไกวชิงช้าหรือ!” สวีซื่อเจี่ยนหัวเราะ “ข้าก็อยากทานปลาห้ารสกับขนมถั่วลิสงเหมือนกันนะ”
จิ่นเกอพูดอย่างจริงจังว่า “หากท่านไกวชิงช้าให้ก็จะให้ท่านทานด้วย มิเช่นนั้นก็ไม่ให้ท่านทานขอรับ!”
“จิ่นเกอของพวกเราช่างฉลาดเสียจริง!” สวีซื่อเจี่ยนหัวเราะ พูดต่อปากต่อคำกับจิ่นเกอ คนกลุ่มใหญ่พากันเดินไปที่เรือนไท่ฮูหยิน
“ท่านย่า ท่านย่า!” จิ่นเกอรีบวิ่งไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินโอบกอดจิ่นเกอทันที “ดวงใจของข้า พายเรือสนุกหรือไม่!”
“สนุกขอรับ!” จิ่นเกอพยักหน้า ดวงตาทอประกายความตื่นเต้น “พรุ่งนี้ก็จะไปพายเรืออีก”
แน่นอนว่าไท่ฮูหยินตอบตกลงอย่างเต็มปากเต็มคำ
หวงฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้เจอกันแค่สองสามเดือน เหมือนว่าจิ่นเกอจะโตขึ้นเยอะเลย”
“นั่นน่ะสิ” ถังฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะสูงถึงเจ็ดศอกกระมัง”
“ตอนนั้นท่านโหวคนก่อนก็สูงเจ็ดศอก” เจิ้งไท่จวินเห็นว่าจิ่นเกอดูมีชีวิตชีวา รอยยิ้มสดใสจึงชื่นชอบเช่นกัน “ข้าว่าจิ่นเกอคงจะรูปร่างเหมือนท่านโหวคนก่อน”
“ดวงตาหงส์คู่นี้ก็เหมือนท่านโหวคนก่อน” หวงฮูหยินพยักหน้า
ท่าทางของไท่ฮูหยินสามารถอธิบายได้ว่านางมีความสุขแค่ไหน อุ้มจิ่นเกอไม่ยอมปล่อย “ของที่ชอบทานก็เหมือนท่านโหวคนก่อน” ยื่นมือออกมาทำท่าทางเปรียบเทียบให้ดู “หมูสามชั้นนึ่งชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ทานคนเดียวไปตั้งหลายชิ้น ชอบนอนมาตั้งแต่เด็ก พอถึงเวลา ตบก้นไม่กี่ทีก็หลับแล้ว กลางดึกก็ไม่ลุกขึ้นมาฉี่ นอนจนถึงเช้า เป็นเด็กอารมณ์ดี! ข้าเลี้ยงมาตั้งหลายคน ไม่เคยเห็นเด็กคนไหนเลี้ยงง่ายเท่าจิ่นเกอเลย…” ชมแล้วชมอีก จากนั้นก็เชิญกานไท่ฮูหยินมานั่งข้างๆ
“นั่นน่ะสิ!” กานไท่ฮูหยินก็ร่วมต่อแถวชื่นชมจิ่นเกอเช่นกัน “ตอนที่สืออีเหนียงอุ้มเขาไปหาข้า ก็อายุหกเดือนพอดี เด็กเล็กขนาดนั้นยังไม่รู้ความอะไร แต่แรงเยอะอย่างมาก ข้าให้จี้หยกเป็นของขวัญต้อนรับ เขาก็ถือเอาไว้ไม่ยอมปล่อย”
ความสนใจของบรรดาฮูหยินทั้งหลายถูกดึงดูดไป หัวเราะพลางฟังอย่างออกรสออกชาติ สืออีเหนียงไม่มีโอกาสเข้าไปหาคุณชายน้อยทั้งสองอยู่ชั่วขณะ
สายตาของนางหันไปมองสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยที่นั่งดูละครงิ้วอย่างตั้งใจอยู่ด้านหน้าสุด
“คุณชายน้อยทั้งสองคงไม่ได้วิ่งซนไปไหนหรอกกระมัง!” สืออีเหนียงถามเก๋อจินเสียงเบา
เก๋อจินรีบตอบว่า “ฮูหยินวางใจเถิด คุณชายน้อยสี่กับคุณชายน้อยห้านั่งดูละครงิ้วอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้ไปไหนเลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย หันไปมองสวีซื่อเจี้ยเป็นครั้งคราว
พิธีร้อยวันของเฉิงเกอ วันเกิดของไท่ฮูหยินเขาก็เพียงแค่นั่งเงียบๆ ดูละครงิ้วอยู่หน้าเวที พอผ่านเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างไปก็จะเริ่มวันหยุดพักผ่อนในฤดูร้อน งานเลี้ยงของแต่ละจวนก็จะหยุดลง สะใภ้หนานหย่งมาคารวะนางอยู่เรื่อยๆ เล่าเรื่องของสวีซื่อเจี้ยให้นางฟัง
นางเห็นว่าพอสวีซื่อเจี้ยไปอยู่ที่เรือนนอกก็ยังคงอ่านหนังสือฝึกเขียนตัวอักษรเหมือนตอนที่อยู่เรือนใน เรียนรู้ดนตรีกับอาจารย์จ้าวเหมือนเดิม จึงได้วางใจ แล้วจดจ่ออยู่กับการซ่อมแซมเรือนหอให้สวีซื่ออวี้
เปลี่ยนกระเบื้องเขียวใหม่ ทาสีที่เสา ปัดกวาดฝุ่นและทาสีกำแพง
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากะจะให้เขาอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยหรือ!”
“ทำแบบลวกๆ จะดูไม่ใส่ใจมากเกินไป!” สืออีเหนียงยิ้ม ปรึกษากับสวีลิ่งอี๋เกี่ยวกับเรื่องซื้อทรัพย์สินส่วนตัวให้สวีซื่ออวี้ “เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ให้คำตอบกับสกุลเซี่ยงได้”
เด็กๆ แต่งงาน ตระกูลที่มีกำลังมักจะซื้อเรือนส่วนตัวสำหรับคู่บ่าวสาว สินสอดทองหมั้นของฝ่ายหญิงก็จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามจำนวนทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่ายชาย อย่างเช่นถ้าฝ่ายชายมีจวนกระเบื้องห้าห้อง ฝ่ายหญิงก็จะจัดสินสอดทองหมั้นอย่างน้อยสี่สิบแปดหีบจึงจะใส่ได้เต็มพอดี สกุลเซี่ยงได้ขอให้คุณนายสามสกุลหวงมาสืบดูเจตนาของสืออีเหนียงโดยเฉพาะ
สวีลิ่งอี๋พูดพึมพำว่า “ข้าว่าเช่นนี้ก็ดีแล้ว ซื้อจวนสามประตูให้เขาแล้วค่อยซื้อที่ดินอีกสองแปลง เงินอีกหนึ่งหมื่นตำลึง ส่วนสินสอดทองหมั้นของสกุลเซี่ยง ก็แล้วแต่ว่าพวกเขาจะจัดการอย่างไร”
ไม่ได้คาดหวังอะไรกับสกุลเซี่ยง
สืออีเหนียงก็ไม่ใช่คนประเภทที่อยากได้สินสอดทองหมั้นของใคร
“จะน้อยไปหรือไม่เจ้าคะ” นางพูดอย่างลังเลว่า “ตอนเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงาน ท่านยังเพิ่มเงินตามไปให้ทีหลังอีก!”
“พวกเขาจะเปรียบเทียบกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาว ทรัพย์สินส่วนตัวล้วนขึ้นอยู่กับสินสอดทองหมั้นของสกุลเดิม พวกเขาเป็นเด็กผู้ชาย สุภาพบุรุษไม่ยื้อแย่งทรัพย์สินของบิดามารดา ต้องคิดวิธีหาด้วยตัวเอง” แล้วพูดต่ออีกว่า “ต่อไปจุนเกอกับเจี้ยเกอก็ต้องทำตามอย่างอวี้เกอเช่นกัน”
ไม่ได้เอ่ยถึงจิ่นเกอ…