หากลองคำนวณดูแล้ว เด็กแต่ละคนก็ต้องจัดเตรียมทรัพย์สินส่วนตัวเป็นเงินเกือบหนึ่งหมื่นตำลึง บวกกับค่าจัดงานแต่งงานอีก สำหรับสวีซื่อเจี้ยนั้นไม่มีปัญหา แต่สวีซื่ออวี้นั้นเป็นบุตรชายคนโต เป็นบุตรชายคนแรกของเรื่อนสี่ที่จะได้แต่งงาน ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เงินสี่ถึงห้าพันตำลึงได้ ส่วนสวีซื่อจุนก็เป็นซื่อจื่อ เกรงว่าค่าใช้จ่ายคงจะเพิ่มเป็นสองเท่า เด็กทั้งสามคนอย่างน้อยก็ต้องใช้เงินห้าหมื่นตำลึง แล้วยังมีคนที่แต่งไปก่อนอย่างเจินเจี่ยเอ๋อร์ และจิ่นเกอที่เป็นน้องเล็กสุดของเรือนสี่ในตอนนี้…ดูเหมือนว่าพวกเขาแต่ละคนค่าตัวไม่น้อยเลย!
สืออีเหนียงบ่นอยู่ในใจ ให้จู๋เซียงนำสิ่งของทั้งหมดที่สวีซื่ออวี้ต้องการสำหรับเรือนหอของเขาเขียนเป็นรายการไปให้พ่อบ้านไป๋ พ่อบ้านไป๋ส่งผู้ดูแลไปจัดการซื้อมา พอถึงกลางเดือนหกการจัดเรือนหอก็จบลง คิดว่ายังเร็วเกินไปสำหรับพิธีสมรส เป็นเพราะอากาศร้อน พลอยทำให้จิตใจคนก็ฟุ้งซ่านเล็กน้อย นางเพียงพูดคุยเรื่องงานแต่งของสวีซื่ออวี้กับบรรดาผู้ดูแลหญิงบ้างเป็นครั้งคราว
ตั้งแต่เทศกาลซานเย่ว์ซานเป็นต้นมา จิ่นเกอก็หลงใหลการพายเรือ ทุกๆ สามถึงห้าวันก็จะงอแงอยากจะไปพายเรือสักครั้ง หลังจากที่อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นก็สามารถไปได้เพียงตอนเช้ากับตอนเย็น พอเข้าเดือนหก แม้แต่ช่วงเช้ากับช่วงเย็นอากาศก็ยังคงร้อนเป็นอย่างมาก จิ่นเกอมักจะร้อนจนเหงื่อท่วมตัว ผิวที่ขาวดั่งหิมะก็เปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ยังคงดื้อรั้นจะไปพายเรือให้ได้ สืออีเหนียงรู้สึกเป็นกังวลจึงให้สวีลิ่งอี๋ช่วยสอนจิ่นเกอว่ายน้ำ
แน่นอนว่าสวีลิ่งอี๋เห็นด้วย
สืออีเหนียงให้บ่าวรับใช้ไม่กี่คนอยู่ดูแลที่ท่าน้ำหลิวฟัง ช่วยทำความสะอาด ส่วนตัวเองก็คอยดูแลเรื่องชากับผลไม้ให้คุณชายน้อยทั้งสองคนอยู่ข้างๆ
เมื่อน้ำพัดเข้าฝั่งทะเลสาบปี้อี ได้พัดความเย็นสบายมาด้วย นางนั่งอ่านหนังสือและทำงานเย็บปักอยู่ที่ศาลา
เพียงแค่สามถึงสี่วันจิ่นเกอก็ว่ายน้ำเป็นแล้ว อาศัยจังหวะที่สวีลิ่งอี๋ปล่อยมือให้เขาว่ายน้ำด้วยตัวเอง ว่ายไปฝั่งป่าไม้ของเรือนหลิงฉยงซานแล้วว่ายกลับมา
สวีลิ่งอี๋พลันตื่นตระหนก ว่ายตามไปเป็นเวลาครึ่งถ้วยชากว่าจะคว้าตัวเขาได้ทัน
พอขึ้นฝั่งก็ส่ายหัวให้สืออีเหนียง “ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ จิ่นเกอกล้าหาญมากเกินไปแล้ว จะต้องรีบหาบ่าวรับใช้เพิ่มอีกสักสองคนมาคอยดูแลเขา”
สืออีเหนียงรีบใช้ผ้าผืนใหญ่ห่อตัวจิ่นเกอพลางยิ้มแล้วพูดว่า “หากโตแล้วก็ไม่เหมาะที่จะอยู่เรือนใน หากอายุยังน้อยก็เกรงว่าจะเอาไม่อยู่”
“เรื่องนี้ในใจข้ารู้ดี” สวีลิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้น ไม่ถึงสองวันก็หาบ่าวรับใช้มาสองคนให้คอยปรนนิบัติข้างกายจิ่นเกอ ทั้งสองคนอายุประมาณสิบสองสิบสามปี
สืออีเหนียงเห็นว่าเด็กทั้งสองคนผิวสีดำ ตัวอ้วนกลม แข็งแกร่งเหมือนลูกวัว แต่ดวงตาของพวกเขากลับบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างมาก จึงอดที่จะแอบพยักหน้าไม่ได้
พ่อบ้านไป๋ที่พาเด็กๆ เข้ามา รู้ว่าสืออีเหนียงใส่ใจจิ่นเกอไม่น้อย นางสอนทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ก็กลัวว่านางจะรังเกียจเด็กสองคนนี้ที่ดูบ้านนอก จึงรีบอธิบายว่า “ท่านโหวบอกว่าเพียงแค่ให้เล่นเป็นเพื่อนเท่านั้น พอถึงกำหนดอายุที่ต้องเรียนหนังสือค่อยเปลี่ยนเป็นคนที่รู้มารยาท รู้จักตัวอักษรไว้คอยอยู่ข้างกาย เด็กสองคนนี้แม้ว่าจะเติบโตในชนบท แต่กลับมีไหวพริบเป็นอย่างมาก มีความซื่อสัตย์ ทำงานในจวนสกุลสวีมาตั้งแต่รุ่นปู่ พ่อแม่ก็เป็นคนซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ จะต้องเป็นเพื่อนเล่นกับคุณชายน้อยหกได้เป็นอย่างดีขอรับ”
สืออีเหนียงเข้าเรียนศูนย์รับเลี้ยงเด็กตั้งแต่เล็กๆ ความทรงจำในวัยเด็กคือห้องเรียนที่เหมือนฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี และมีคุณครูที่ใจดีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พอมาถึงจิ่นเกอ กลับเพียงแค่หวังว่าเขาจะมีความสุขกับชีวิตโดยไม่มีความกังวล แม้ว่าจะคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่ส่วนใหญ่ก็เพื่อที่จะปลูกฝังนิสัยการใช้ชีวิตที่ดี
“ทำให้พ่อบ้านไป๋ต้องเหนื่อยแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มพลางต้อนรับเด็กทั้งสอง “พอถึงวัยที่จิ่นเกอต้องเรียนหนังสือ เกรงว่าคงต้องรบกวนพ่อบ้านไป๋ช่วยหาบ่าวรับใช้ให้อีกสองคน”
พ่อบ้านไป๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แม้จะบอกว่าเป็นคำสั่งของท่านโหว แต่หากฮูหยินไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ก็เป็นไปได้ที่จะถูกจัดการใหม่แปดถึงเก้าในสิบส่วน
เขายิ้มแล้วขานรับ “ขอรับ” กล่าวอย่างเกรงใจก่อนจะลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงเรียกเด็กสองคนนั้นมาซักถาม
เด็กสองคนนี้ คนหนึ่งมีนามว่าหวงเสี่ยวเหมา ส่วนอีกคนหนึ่งมีนามว่าหลิวเอ้อร์อู่ ในความไร้เดียงสาแฝงไว้ด้วยความมีไหวพริบดูสดใสแบบเด็กๆ ไม่เหมือนบ่าวรับใช้บางคนที่ทำงานในจวน แม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่กลับมีความสุขุมราวกับผู้ใหญ่
สืออีเหนียงพยักหน้า เรียกจิ่นเกอเข้ามาแล้วแนะนำพวกเขาให้รู้จักกัน ทั้งสามคนไปเล่นด้วยกันอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เซินเกอยืนอยู่ข้างๆ
แม่นมกู้กลัวว่าหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่จะไม่รู้กฎเกณฑ์ จึงคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน
จิ่นเกอเลยได้เล่นอย่างสนุกสนานมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ายน้ำ พายเรือ เก็บดอกบัว ปีนต้นไม้ เล่นลูกข่าง ขุดแมลง เล่นโคลน…หากไม่ใช่เสื้อผ้าถูกเกี่ยวจนฉีกขาดก็ร่างกายที่เต็มไปด้วยโคลน สืออีเหนียงนอกจากจะล้างมือให้จิ่นเกออย่างสะอาดสะอ้านแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเอาแม่นมกู้เป็นกังวลจนเหงื่อออก เมื่อเห็นว่าเซินเกอกำลังเล่นอยู่ด้านหลังอย่างมีความสุข ก็รีบไปเรียกแม่นมของเซินเกอมา “นายน้อยของพวกเราได้รับอนุญาตจากฮูหยินแล้ว แต่ทางด้านคุณชายน้อยเจ็ด เกรงว่าจะต้องไปรายงานฮูหยินห้าก่อน มิเช่นนั้นหากทั้งตัวมีทั้งเหงื่อทั้งโคลน กลับไปจะอธิบายอย่างไร”
แม่นมของเซินเกอได้ฟังแล้วก็เผยรอยยิ้มลำบากใจ
สวีลิ่งอี๋สอนจิ่นเกอว่ายน้ำ พอเซินเกอกลับไปก็งอแงอยากจะเรียนเหมือนกัน สวีลิ่งอี๋คนเดียวไม่สามารถดูแลเด็กทีเดียวสองคนได้ ส่วนสวีลิ่งควนก็ไม่มีความอดทน สอนเพียงสองครั้งก็ไม่สอนต่อแล้ว ฮูหยินห้าเลยหมดทางเลือก ทั้งยังไม่สามารถให้คนนอกเข้ามาเรือนในได้ จึงต้องส่งบุตรชายไปยังตรอกหงเติง ท่านซุนโหวผู้เฒ่ามาดูแลรับผิดชอบด้วยตัวเอง ส่วนติ้งหนานโหวซื่อจื่อก็สอนเซินเกอว่ายน้ำด้วยตัวเอง เซินเกอเล่นสนุกจนไม่อยากกลับจวน ฮูหยินห้าคิดถึงบุตรชายจึงพาเฉิงเกอไปอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งเดือน จากนั้นก็พาเซินเกอกลับจวน
เด็กทั้งสองคนมักจะเล่นอยู่ด้วยกัน แม่นมทั้งสองคนจึงไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ทั้งสองคนต่างก็นำที่ดินไปจำนำเหมือนกัน จึงได้สนิทสนมกันมากกว่าคนอื่น แม่นมของเซินเกอพูดกับแม่นมกู้เป็นการส่วนตัวว่า “…ตอนนั้นคุณชายน้อยเจ็ดเรียกฮูหยินสี่ว่าท่านแม่ตามคุณชายน้อยหก ทำให้ฮูหยินห้าไม่พอใจเล็กน้อย ต่อมาเป็นเพราะเรื่องเรียนว่ายน้ำ ฮูหยินห้าก็ตำหนิคุณชายห้าอยู่สองสามประโยค พอรู้ว่าท่านโหวหาบ่าวรับใช้สองคนมาเล่นเป็นเพื่อนคุณชายน้อยหกโดยเฉพาะ ก็เกิดความคิดอยากจะหาให้คุณชายน้อยเจ็ดสักสองคน เช่นนี้คุณชายน้อยเจ็ดก็จะได้ไม่ต้องเอาแต่เดินตามก้นคุณชายน้อยหกทุกวัน ด้วยเหตุนี้จึงได้ให้ป้าสือกลับไปที่ตรอกหงเติงโดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าเด็กที่เหมาะสมนั้นหายาก คนที่อารมณ์ขันหน่อย ก็กลัวว่าพอเข้ามาในจวนแล้วจะไปเล่นซนกับสาวใช้น้อยจนทำผิดกฎเข้า คนที่ซื่อสัตย์หน่อย ก็กลัวว่าจะไม่สามารถทำให้คุณชายน้อยเจ็ดโปรดปรานได้ ท่านซุนโหวผู้เฒ่าก็กำลังลำบากใจกับเรื่องนี้ หากเจ้าให้ข้าไปพูด จะไม่เป็นการเติมเชื้อเพลิงในกองไฟหรือ”
แม่นมกู้ได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึง ชี้ไปที่เซินเกอที่กำลังคลานอยู่ใต้ต้นไม้หาแมลงให้นกอยู่กับจิ่นเกอ “แล้วกลับไปเจ้าจะอธิบายอย่างไร!”
“ฮูหยินห้ารู้ว่าช่วงนี้คุณชายน้อยเจ็ดมาคลุกคลีอยู่กับคุณชายน้อยหกอีกแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเล่นพิเรนทร์กันขนาดนี้” แม่นมของเซินเกอพูดอย่างจนปัญญาว่า “ขอเพียงแค่คุณชายน้อยเจ็ดอาบน้ำให้สะอาดสะอ้านก่อนที่จะไปคารวะฮูหยินห้าก็พอแล้ว ตอนนี้จิตใจของฮูหยินห้าจดจ่ออยู่ที่คุณชายน้อยแปด ไม่ทันได้สังเกตอย่างแน่นอน” แล้วพูดต่ออีกว่า “เพียงแต่หวังว่าท่านซุนโหวผู้เฒ่าจะรีบหาบ่าวรับใช้สองคนมาให้คุณชายน้อยเจ็ดได้เร็วๆ ข้าจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลอยู่ทุกวันแบบนี้”
ขณะที่กำลังพูด สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็เดินเข้ามาพลางคุยไปหัวเราะไป
แม่นมทั้งสองคนรีบเข้าไปคำนับ
สวีซื่อจุนพยักหน้า ยิ้มพลางนั่งยองๆ ข้างจิ่นเกอ “ขุดแมลงให้นกเจ้าอีกแล้วหรือ”
จิ่นเกอเงยหน้าขึ้น เอียงคอไปมา
“พี่สี่” เขายิ้มกว้าง เหลือบมองสวีซื่อเจี้ยแล้วตะโกนว่า “พี่ห้า” จากนั้นก็ยืนขึ้น ในมือมีไส้เดือนตัวอ้วน จากนั้นก็ยื่นมือที่เต็มไปด้วยคราบดินออกมาจับสวีซื่อจุน
แม่นมของเซินเกออุทานด้วยความตกใจ รีบหันไปมองแม่นมกู้ ส่งสัญญาณให้นางห้ามปรามจิ่นเกอ
แม่นมกู้กลับหันมาส่ายหน้าเบาๆ ให้นาง
นางเห็นสวีซื่อจุนจับมือจิ่นเกออย่างไม่ถือสา
จิ่นเกอกลับพาสวีซื่อจุนวิ่งไปใต้ชายคาที่ปูพื้นด้วยอิฐหินสีเขียว
“ท่านดูสิ ท่านดูสิขอรับ!” เขาวางไส้เดือนลงบนอิฐหินสีเขียวด้วยสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นก็วิ่งไปหาหวงเสี่ยวเหมาแล้วหยิบกรรไกรที่เหลือข้างเดียวมาตัดที่กลางลำตัวไส้เดือน
ไส้เดือนดิ้นไปมาแล้วหดตัวเป็นวงกลมอยู่บนอิฐหินสีเขียว
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยอุทานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ไอ๊หยา!” สีหน้าของพวกเขาซีดลงเล็กน้อย
“หลิวเอ้อร์อู่บอกว่าไส้เดือนไม่ตาย อีกสักครู่ก็จะฟื้นคืนชีพแล้ว ทั้งยังสามารถแบ่งเป็นสองตัวได้ด้วย” จิ่นเกอมองพี่ชายทั้งสองคนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้าจะทำให้มีไส้เดือนหลายๆ ตัว เลี้ยงไว้ในกรง เช่นนี้ก็จะได้ไม่ต้องไปจับแมลงมาป้อนนกทุกวันแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ” สวีซื่อจุนทนมองไส้เดือนดินบนพื้นไม่ได้ เลยหันหน้าหนี “จิ่นเกอเฉลียวฉลาดจริงๆ!”
ส่วนสวีซื่อเจี้ยกลับสงสัยเป็นอย่างมาก ถามหลิวเอ้อร์อู่ว่า “เป็นเรื่องจริงหรือ”
หลิวเอ้อร์อู่พยักหน้า “บ่าวจะกล้าหลอกคุณชายน้อยได้อย่างไร คนในหมู่บ้านที่พวกเราอาศัยอยู่บอกมา ข้าเคยลองทำมาแล้วหนึ่งครั้ง มันฟื้นคืนชีพได้จริงๆ จึงได้เล่าให้คุณชายน้อยหกฟัง ฮูหยินได้กำชับพวกเราโดยเฉพาะว่าหากคุณชายน้อยหกถามอะไรพวกเรา หากไม่ได้ก็บอกว่าไม่ได้ หากได้ก็บอกว่าได้ ถ้าหากเอาเรื่องที่ทำไม่ได้มาพูดมั่วซั่วเพียงเพื่อจะเอาใจคุณชายน้อยหก หากฮูหยินรู้เข้าก็จะไล่พวกเราสองคนออกจากจวนขอรับ”
ขณะที่กำลังพูด ชิวอวี่ก็เปิดผ้าม่านออกมา
“คุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยห้า” นางยิ้มพลางย่อเข่าคำนับ “ฮูหยินรู้ว่าพวกท่านมา จึงเชิญพวกท่านเข้ามาดื่มน้ำถั่วเขียวเย็นๆ ในห้องเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนรีบจัดชายเสื้อของตัวเองให้เรียบร้อย
จิ่นเกอกลับหยิบไส้เดือนที่ถูกผ่าครึ่งแล้ววิ่งเข้าไป
สวีซื่อจุนหัวเราะพลางหันไปทักทายชิวอวี่ ยิ้มพลางพูดว่า “รบกวนพี่ชิวอวี่แล้ว” จากนั้นก็เดินเรียงกันกับสวีซื่อเจี้ยเข้าไปในห้องโถง
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นในห้องโถง มีสาวใช้น้อยยืนพัดให้นางอยู่ข้างๆ
จิ่นเกออยู่ในอ้อมแขนของนางแล้ว หยิบไส้เดือนผ่าครึ่งขึ้นมาแล้วพูดกับนางว่า “…ทีนี้ก็จะมีเยอะๆ แล้วขอรับ”
สืออีเหนียงหยิบพัดจากสาวใช้น้อยมาพัดให้จิ่นเกอ ไม่เพียงแต่ไม่แสดงท่าทางรังเกียจหรือโมโห ซ้ำยังหัวเราะพลางพูดกับเขาว่า “คงจะเลี้ยงไว้ในกรงไม่ได้กระมัง เจ้าเคยเห็นใครเลี้ยงไส้เดือนไว้ในกรงบ้าง คงจะต้องเลี้ยงไว้ในกระถางดอกไม้มากกว่า พวกมันโตในดินไม่ใช่หรือ”
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย
จิ่นเกอเอียงคอพลางมองมารดา แล้วมองไส้เดือนที่ขดอยู่ในมือตัวเอง จากนั้นก็วิ่งออกไป “ข้าจะไปถามเอ้อร์อู่!”
สืออีเหนียงมองดูแผ่นหลังของบุตรชาย แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นางยิ้มพลางทักทายสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ย “พวกเจ้ามากันแล้วหรือ!” ถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดถึงมาเวลานี้ มีเรื่องอันใดหรือ”
พวกเขามักจะเข้าเรือนในมาคารวะท่านพ่อท่านแม่และไท่ฮูหยินหลังจากทานอาหารเย็นแล้ว
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ด้านข้าง ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนหันเจี้ยนชวนพวกเราไปตกปลาที่เรือนพวกเขาที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่ ข้าเห็นว่าดอกบัวในทะเลสาบปี้อีกำลังเบ่งบานสะพรั่ง ดังนั้นจึงอยากจะเชิญพวกเขามาชมดอกบัวที่จวนเรา…”
ยังไม่ทันพูดจบ สืออีเหนียงก็เข้าใจแล้ว
หากต้องการจะชมดอกบัวที่ทะเลสาบปี้อีก็ต้องไปที่สวนหลังจวน และสวนหลังจวนก็อยู่ที่เรือนใน เมื่อถึงเวลานั้นสาวใช้ ป้ารับใช้และคนอื่นๆ ก็ต้องหลบเลี่ยง สืออีเหนียงเป็นแม่เรือนของจวนสวี เรื่องนี้ต้องได้รับความยินยอมจากนางก่อน
สืออีเหนียงมองสวีซื่อจุนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางด้วยท่าทางมุ่งมั่น ในใจพลันรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก รีบพูดขึ้นมาว่า “ได้สิ! เจ้าไปดูว่าจะจัดงานเลี้ยงเมื่อไร ต้องการอะไรบ้าง ให้เก๋อจินเขียนรายการแล้วส่งมา ข้าจะให้บรรดาผู้ดูแลจัดเตรียมเอาไว้ให้!”
สวีซื่อจุนรู้อยู่แล้วว่าท่านแม่จะต้องสนับสนุนเขาโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างแน่นอน
มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา รีบลุกขึ้นคำนับสืออีเหนียง “ท่านแม่ ต้องรบกวนท่านแล้วขอรับ!”
ทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่เล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มแผ่วเบา “กับแม่ไม่เห็นต้องเกรงใจเช่นนี้!” แล้วถามเขาว่า “อาจารย์จ้าวเป็นคนบอกเจ้าหรือ”
สวีซื่อจุนลูบศีรษะตัวเอง ยิ้มด้วยความเขินอายเล็กน้อย
ท่าทางพลันเก้ๆ กังๆ ขึ้นมาทันที