ตุ้บ…
ตุ้บ…
ตุ้บ…
เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอดังมาแต่ไกล
ผู้มาเยือนมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ครู่หนึ่ง เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันพร้อมกับก้มตัวลงบีบแก้มของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับลึก อีกทั้งชายคนนั้นก็ไม่ได้หายใจแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่รู้สึกถึงตัวตนของเขา
หากเป็นคนอื่น เฮ่อเหลียนเวยเวยคงลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว
ทันทีที่เห็นนางในสภาพนี้ ชายคนนั้นก็หรี่ตาลง เขาสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวบริสุทธิ์
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอุ่นขึ้น ริมฝีปากของนางก็ขยับเล็กน้อย นางขยับศีรษะและสามารถหลับได้สนิทขึ้น……
กิเลนอัคคีรออยู่นอกห้อง เขามองชายคนนั้นด้วยความสงสัยอย่างเงียบๆ ขณะมองดูเขาเดินออกไปจากห้อง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบตามองมันอย่างเย็นชา ”อะไร เจ้าเป็นคนพูดเองมิใช่หรือว่าหากเสื้อตัวนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ละก็ มันคงเสียของน่าดู”
ใช่ เขาพูดเช่นนั้นก็จริง!
แต่นี่มันไม่ถูกต้อง!
เสื้อคลุมตัวนี้เป็นเสื้อที่เขาเคยสัมผัสมาก่อน จึงย่อมเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล กว่าจะตัดมันขึ้นมาได้ตัวหนึ่ง เราต้องใช้จิ้งจอกหิมะอย่างน้อยก็สามตัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่นายท่านจะตัดมันมาใส่เอง แต่มันกลับรู้สึกแปลกๆ ที่เขาตั้งใจตัดเสื้อคลุมตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเฮ่อเหลียนเวยเวย…
นายท่านไม่เคยใจดีกับพวกมันเช่นนี้มาก่อน! แม้แต่มันกับชิงหลงก็ยังต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้าของตัวเองด้วยซ้ำ! นับบประสาอะไรกับความคิดที่จะได้รับเสื้อคลุมขนสัตว์สักตัวจากเขา!
กิเลนอัคคีก้มหน้าลงด้วยความเสียใจขณะคิดเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมันก็หรี่ตาลง พร้อมกับยกกรงเล็บหนาขึ้นมาลูบคางของตัวเอง
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่าทางแปลกไป
นายท่านดูเป็นห่วงเหยื่อตัวใหม่นี้มากเกินไปหรือเปล่า..?
ดูเหมือนว่าในอนาคต เขาจะต้องเอาใจใส่คุณหนูเวยเวยให้ดีเสียแล้ว!
เพราะผู้เป็นนายของมันเป็นคนตีสองหน้า!
ตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นในวิหารแห่งแสงสว่างเมื่อเช้านี้ก็เป็นเพราะนายท่านเปลี่ยนคำพูดของเขาอย่างกะทันหันกลางทาง
“ตอนที่นางตื่นขึ้นในวันพรุ่งนี้ ให้นางคิดให้ดีว่านางอยากจะอยู่ข้างกายข้าหรือว่าอยากกลับไปยังโลกมนุษย์” น้ำเสียงแหบพร่าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลึกล้ำเกินไปจนกิเลนอัคคีไม่สามารถสัมผัสอารมณ์อันใดได้จากเขา กิเลนอัคคีที่ยืนรับคำสั่งอยู่อย่างตั้งใจข้างๆ เขาพยักหน้า เขาคิดว่าวิธีนี้คือวิธีการที่ฝ่าบาทปฏิบัติต่อเหยื่อของเขาอยู่เสมอ
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เสริมขึ้นอย่างเย็นชาว่า ”หากนางต้องการกลับละก็ หักขาของนางทิ้งซะ”
เมื่อกิเลนอัคคีได้ยินคำพูดนั้น ตัวของมันก็แข็งทื่อทั้งที่ยังผงกศีรษะอยู่
หัก… หักขาของนางหรือ ฝ่าบาทไม่ได้คิดที่จะปล่อยคุณหนูเวยเวยไปแต่แรกแล้วใช่หรือเปล่า
ทันใดนั้นชิงหลงก็เดินเข้ามา โดยปกติแล้วเขามักจะเงียบอยู่เสมอ แต่วันนี้กลับเป็นข้อยกเว้น เขาแสดงความคิดเห็นขึ้นมาว่า ”ฝ่าบาท ความสนใจที่ท่านมีให้กับมนุษย์คนนั้นดูเหมือนจะมากกว่าที่ท่านเคยมีให้พวกเราขอรับ”
“หืม?” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้าย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ชิงหลงพูดต่อ ”มีเหยื่ออยู่สองสามตัวที่ท่านเคยให้ความสนใจกับมัน แต่โดยปกติแล้วท่านก็มักจะหมดความสนใจกับพวกมันกลางทาง แต่หากว่ากันตามตรงแล้ว สีหน้าที่ท่านมีในยามที่ท่านมองไปยังมนุษย์คนนั้นเมื่อครู่นี้นับว่าจริงจังมากขอรับ แม้ว่าข้าจะไม่มั่นใจว่าทำไม แต่ข้ารู้ว่าท่านจะเอาจริงเอาจังกับสิ่งนั้นตราบใดที่มันกระตุ้นความสนใจของท่านได้ แต่ความจริงจังที่ท่านมีในครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวลขอรับ เพราะอย่างไรนางก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง”
“แล้วอย่างไร” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดิ่งวูบ
ชิงหลงลดสายตาลง และกล่าวว่า ”ท่านน่าจะรู้ว่าเมื่อเทียบกับสัตว์อสูรแล้ว มนุษย์ย่อมอ่อนแอกว่ามาก นอกจากนั้นในเวลานี้พวกเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดอีกด้วยว่านางเป็นใครมาจากไหน ดูเหมือนคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าที่นางจะยอมรับท่านเป็นเจ้านายของนางขอรับ”
“ข้ารู้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม แล้วเอ่ย ”ดังนั้นข้าจึงพยายามอดทนกับนางอย่างมาก”
“โดยปกติแล้วยิ่งท่านอดทนมากเพียงใด ท่านก็ยิ่งอยากได้มันมากขึ้นเท่านั้นนี่ขอรับ” ชิงหลงเอ่ยราวกับมองเห็นอนาคต ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันหน้าไปมองมัน
“แน่นอน ถ้าข้าต้องการมัน มันก็ต้องเป็นของข้า!”
“นี่คือสิ่งที่ข้ากลัวที่สุดขอรับ ท่านรู้ตัวเองชัดเจนว่าท่านต้องการอะไร แต่ท่านไม่มีทางควบคุมความคิดของมนุษย์ได้…” ชิงหลงพูดตามความจริง
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อยในขณะที่เขาเอ่ยว่า ”นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าตั้งใจรอ รอจนกว่านางจะเข้าใจว่าในโลกของนาง คนที่จะตัดสินใจสิ่งต่างๆ ให้นางได้ก็คือข้า อย่าแม้แต่คิดที่จะไปจากข้าตามใจชอบเด็ดขาด”
“แต่นางเป็นมนุษย์นะขอรับ ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นนางอาจจะทนรับความโกรธของท่านไม่ไหว” ไม่น่าแปลกใจเลยหากชิงหลงจะเป็นคนที่เข้าใจไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้อย่างแท้จริง เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า ”ยิ่งท่านใส่ใจเหยื่อตัวนี้มากเพียงใด ท่านก็จะยิ่งยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมาขอรับ”
“เช่นนั้นนางก็ควรตระหนักถึงเรื่องนี้ให้ได้ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำให้นางเจ็บปวดเพียงใด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูด ความเย็นชาวาบขึ้นในดวงตาของเขาก่อนเลือนหายไป
จากนั้นชิงหลงจึงเกลี้ยกล่อมเขาว่า ”ในเมื่อนางไม่สมัครใจที่จะอยู่ ทำไมถึงไม่ปล่อยนางกลับไปยังโลกมนุษย์ก่อนที่ท่านจะหมดความอดทนล่ะขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดเดิน เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความกดดันอันยากจะต้านทานว่า ”ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ นางต้องเป็นของข้า”
ชิงหลงถอนหายใจยาว สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของร่างสูงสง่านั้น ในตอนที่องค์ราชาหล่นลงมาจากสวรรค์ พระพุทธองค์เคยตรัสกับเขาว่าหากเขายืนกรานที่จะทำเช่นนั้น สุดท้ายแล้วเขาจะต้องเผชิญกับด่านเคราะห์สวรรค์
อย่าบอกนะว่าด่านเคราะห์สวรรค์ขององค์ราชาเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ท้องฟ้ายามค่ำคืนในเมืองปีศาจสงบเยือกเย็นราวกับสายน้ำ เวลาค่ำคืนของที่นี่ดูจะยาวนานเป็นพิเศษ
เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกไม่ได้ว่านางหลับไปนานเพียงใด แต่นางก็หลับสบายทีเดียว หลังจากตื่นขึ้น สิ่งแรกที่นางคิดก็คือนางต้องไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยให้เร็วที่สุด ในเมื่อเขาไม่มาหานาง เช่นนั้นนางก็จะไปหาเขาแทน
ดวงตากระจ่างใสของเฮ่อเหลียนเวยวยจับจ้องอยู่ที่กรง จากนั้นนางก็ถีบมันออกจนเกิดเสียงดังปัง!
เสียงดังสนั่นนั่นย่อมเรียกความสนใจจากสัตว์อสูรที่มีหน้าที่อารักขานางได้อย่างรวดเร็ว และสิ่งแรกที่มันคิดย่อมเป็นการจับเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไปล่ามไว้ในกรงอีกครั้ง
ถ้าเหยื่อของฝ่าบาทหายไป คนที่จะดวงกุดก็คือพวกมัน!
แต่ฝ่าบาทสั่งไม่ให้พวกมันทำร้ายนาง
ดังนั้นพวกมันจึงไม่กล้าลงมือรุนแรงนัก เรื่องนี้ช่วยเฮ่อเหลียนเวยเวยได้มากทีเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินออกมาจากห้องพร้อมกับสายลม จากนั้นนางจึงหยิบชุดมาเปลี่ยนอย่างสุ่มๆ หลังจากติดกระดุมเรียบร้อย นางจึงเดินตรงไปที่วิหารแห่งแสงสว่างด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
นางเป็นคนฉลาด แต่ทันทีที่นางมาถึงวิหารแห่งแสงสว่าง นางก็ถูกสัตว์อสูรกลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้ พวกมันมีจมูกขนาดใหญ่กับดวงตากลมโต น้ำเสียงของพวกมันเกรี้ยวกราดขณะที่พูดกับนางว่า ”คุณหนูเวยเวย โปรดกลับไปด้วยขอรับ”
มันไม่มีช่องว่างให้นางสามารถผ่านเข้าไปได้จริงๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยส่ายหน้า เสี่ยวขุยที่ตั้งใจจะออกมาหยิบของเดินออกมาจากวิหาร และบังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี นางหัวเราะเสียงดัง ”ข้ากำลังสงสัยอยู่เลยว่าใครกันที่กล้ามาส่งเสียงดังหนวกหูแต่เช้าตรู่เช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง นี่เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหน้านาง ดวงตาของนางติดจะเย็นชาเล็กน้อย
เสี่ยวขุยตกตะลึงเมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นของนาง นางขึ้นเสียงด้วยความโกรธทันทีว่า ”เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร! เจ้ากล้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?! ข้าจะบอกอะไรให้นะ ฝ่าบาทดูแลพี่หนีเป็นอย่างดี เขากำลังจะไปเยี่ยมพี่หนีในไม่ช้า ถ้าเจ้ายังไม่รู้ของตัวเองละก็ ข้าจะให้ฝ่าบาทจัดการเจ้าซะ!”
“จัดการข้าหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเยาะ ทันใดนั้นนางก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเสี่ยวขุย
แม้เสี่ยวขุยจะมีพลังขับไล่วิญญาณร้าย แต่นางก็มองไม่เห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถเคลื่อนที่เพียงชั่วพริบตาเช่นนี้ได้อย่างไร รู้ตัวอีกที นางก็ถูกอีกฝ่ายยกร่างขึ้นแล้วโยนลงกับพื้น!