=โครม!
เสี่ยวขุยหัวหมุนจากการถูกโยนโครมลงกับพื้น เลือดที่ไหลออกมาจากจมูกหยดลงบนหลังมือของนาง นางดูน่าสงสารยิ่งนัก
นางคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที และเริ่มแสดงอาการข่มเตรียมพร้อมที่จะสู้กลับ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยคว้าข้อมือของนางไว้อย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของนางเย็นชา ”ถึงเขาจะต้องการสอนบทเรียนให้กับข้าจริงๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
นางเตะอีกฝ่ายเข้าอีกครั้ง!
เสี่ยวขุยรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ออมแรงให้นางเลยแม้แต่น้อย
นางไม่ใช่คนมีความอดทนมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่คิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะดูแลเอาใจใส่หนีเฟิ่งอีกด้วย
หนีเฟิ่งเป็นคนฉลาด นางอาจยังมีโอกาสชนะอยู่หากเมื่อวานไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าในเวลานี้นางเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าสำหรับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
“ข้าจะพูดอีกครั้ง ให้ข้าเข้าไป” สายลมก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของเฮ่อเหลียนเวยเวย
หนึ่งในสัตว์อสูรตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ”ต่อให้ท่านเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ องค์ราชาไม่ได้อยู่ที่นี่ขอรับ!”
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”เช่นนั้นเขาอยู่ที่ไหน”
สัตว์อสูรตนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอวดดีว่า ”คุณหนูเวยเวย ท่านควรยอมแพ้ได้แล้วขอรับ! ข้าไม่มีวันบอกท่านหรอกขอรับว่าองค์ราชาอยู่ที่คุกปีศาจ!”
ผ่านไปชั่วอึดใจ
เสียงทั้งหมดในบริเวณนั้นพลันเงียบกริบ
สัตว์อสูรอีกตนที่ยืนยืดอกอยู่ข้างสัตว์อสูรตัวเมื่อครู่แทบสำลักลมหายใจตัวเองตายทันทีที่มันได้ยินคำพูดนั้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบคาง แล้วหัวเราะออกมา ”คุกปีศาจหรือ ขอบใจมาก”
“ข้า…” สัตว์อสูรตนนั้นพยายามแก้ตัว
แต่ความเร็วในการลงมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่เปิดโอกาสให้มันได้พูดอะไรต่อ นางหมุนตัวกลับ แล้วเดินลับหายไปในมุมหนึ่ง
“ข้า… ทีนี้จะทำอย่างไรกันดีล่ะ” สัตว์อสูรตัวนั้นตกตะลึง
สัตว์อสูรอีกตนหนึ่งกระชากตัวมันเข้ามา แล้วคำรามว่า ”ก็ต้องรีบไปแจ้งให้ลูกพี่กิเลนรู้น่ะสิ เจ้าโง่เอ๊ย! เจ้ามีสมองหรือเปล่า”
“แล้วผู้หญิงคนนี้ล่ะ” สัตว์อสูรตนนั้นบุ้ยใบ้ไปทางเสี่ยวขุยที่ยังนอนกระเสือกกระสนด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้น
สัตว์อสูรอีกตนใช้กรงเล็บแนบเข้ากับแผ่นหลังของนาง ”นางไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”
“ไปกันเถอะ” ปกติสมองของสัตว์อสูรตนนั้นก็ไม่ได้เร็วอยู่แล้ว แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของมันก็ยังช้าไปด้วย
เสี่ยวขุยมองสัตว์อสูรทั้งสองตนเดินออกไปอย่างไม่พอใจ นางใช้หลังมือเช็ดเลือดที่มุมปาก จิตสังหารอันรุนแรงแล่นปราดเข้ามาในดวงตาของนาง
บัดซบ นังเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่น!
นังแพศยา!
นางกล้าทำร้ายข้าได้อย่างไร!
คอยดูก็แล้วกัน! ข้าจะทำให้ชีวิตของเจ้าเลวร้ายยิ่งกว่าความตายอย่างแน่นอน!
ข้าจะไปเล่าให้พี่หนีฟังเดี๋ยวนี้!
“เจ้าบอกว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยออกมาจากกรงแล้วหรือ” หนีเฟิ่งที่กำลังดื่มยาอยู่ชะงักไปในทันที ”นางกล้าออกมาได้อย่างไร”
เสี่ยวขุยคร่ำครวญระหว่างอธิบายเพิ่มว่า ”ท่านควรได้เห็นเจ้าค่ะว่านางป่าเถื่อนเพียงใด นางกล้าทำร้ายข้าต่อหน้าสัตว์อสูรพวกนั้นเชียวนะเจ้าคะ! แล้วจะมีอะไรที่นางไม่กล้าทำอีก! ข้าคิดว่านางกำลังหาตัวองค์ราชาอยู่เจ้าค่ะ”
หนีเฟิ่งชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า ”แล้วองค์ราชาล่ะ เขาว่าอย่างไร”
“พี่หนี ในที่สุดท่านก็สนใจอยากรู้ปฏิกิริยาขององค์ราชาเสียที” เสี่ยวขุยทำปากยื่น ”ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พบองค์ราชาเจ้าค่ะ สัตว์อสูรพวกนั้นบอกว่าองค์ราชาเดินทางไปที่คุกปีศาจ ข้าคิดว่าเขาคงไปที่นั่นเพื่อสอบปากคำนักโทษกระมัง แต่หากดูจากนิสัยหุนหันพลันแล่นของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวเจ้าค่ะว่านางจะทำให้แผนสอบปากคำนักโทษขององค์ราชาล่มไม่เป็นท่า”
รอยยิ้มของหนีเฟิ่งดำทะมึนทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
แต่อย่างไรเรื่องพวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
ไม่ช้าก็เร็ว องค์ราชาย่อมต้องสอบปากคำนักโทษคนนั้นอยู่ดี หากไม่ใช่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้…
….
เสี่ยวขุยคาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง เฮ่อเหลียนเวยเวยขวางทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ก่อนที่เขาจะทันได้เดินเข้าไปในคุกปีศาจ
เมื่อเห็นนางปรากฏตัวขึ้นเช่นนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หรี่ตาลงทันที และเอ่ยกับกิเลนอัคคีที่อยู่ข้างๆ โดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองว่า ”สัตว์อสูรทุกตนในวังปีศาจตายกันหมดแล้วหรือ พวกมันปล่อยให้คนผู้นี้ออกมาเดินเพ่นพ่านเช่นนี้ได้อย่างไร”
ในเวลานั้นทุกคนล้วนแต่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นเฉียบที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
หนังศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยชาวาบจากความเย็นชานั้น นางเงยหน้าขึ้นแล้วมองเข้าไปในดวงตาเย็นยะเยือกราวกับคนตาย นางรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังบีบหัวใจของนางอยู่
“ฟังข้าอธิบายก่อน! ที่ข้าพูดเมื่อวานนั้น…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการอธิบาย
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสาวเท้าเดินต่อ และทำราวกับว่านางไม่มีตัวตน เขาดูไม่พอใจอย่างมากที่ได้เห็นนางที่นี่ ดูเหมือนว่าเขาจะหงุดหงิดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมากทีเดียว…
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป นางไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเริ่มรู้สึกรังเกียจนาง
จริงสิ ไม่มีใครบอกว่าเขาจะต้องตกหลุมรักนางอีกครั้งแม้นางจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา
นี่ไม่ใช่ความฝัน ข้าจะทำทุกอย่างตามใจตัวเองไม่ได้
นี่คือความเป็นจริง
หากคนที่กวนใจอีกฝ่ายไม่รู้จักประมาณตน สุดท้ายความลำบากใจที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นความเกลียดชัง…
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็บีดรัดแน่นทันที จากนั้นฝีเท้าของนางจึงค่อยๆ ช้าลง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่หน้านางยังคงเดินต่อ น้ำเสียงของเขาเย็นชา ”อะไรหรือ เจ้าคิดว่าข้าจะเข้าไปยืนใกล้ๆ เพื่อรอฟังคำแก้ตัวของเจ้าหรือ”
หมายความว่าเขายินดีที่จะฟังข้าหรือ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางรีบเดินตามเขาไป
ท่าทางที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีต่อนางยังคงเย็นชาเช่นเดิม แต่อย่างน้อยนางก็ยังมีโอกาส
ตราบใดที่มีโอกาส ต่อให้มันจะเป็นโอกาสอันน้อยนิดเพียงใด แต่ในฐานะประธานจอมเผด็จการ ข้าจะต้องคว้ามันเอาไว้ให้ได้!
ดังนั้น เมื่อทั้งสองเดินมาถึงริมแม่น้ำปรภพ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เด็ดดอกม่านถัวหลัวขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แล้วส่งมันให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโดยไม่เสียเวลาคิด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลืมตาขึ้น แทนที่จะรับดอกไม้จากมือนาง เขากลับถามขึ้นว่า ”เสื้อคลุมของเจ้าอยู่ไหน”
“เสื้อคลุมอะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เห็นเสื้อคลุมเลยสักตัว เพราะสิ่งแรกที่นางทำหลังจากตื่นขึ้นมาคือการพังประตูออกมาตามหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ
สายตานั้นทำให้เฮ่อเหลียนรู้สึกผิดโดยไม่ทราบสาเหตุ นางรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดต่อเขา
ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หัวเราะออกมาพร้อมกับมองหน้านาง เขาถอดถุงมือออก แล้วลูบคางนางเหมือนกำลังเล่นกับแมว ”ช่างมันเถอะ เจ้าควรกลับไปที่กรงได้แล้ว หากเจ้าอยู่ในนั้นต่ออีกสักพัก บางทีเจ้าอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้ก็ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : สรุปว่าที่ท่านหัวเราะออกมาเมื่อกี้ก็เพราะท่านขำกับความคิดที่จะจับข้ากลับไปล่ามไว้หรือ
“ทำไม เจ้าไม่ชอบความคิดนี้หรือ” รอยยิ้มน้อยๆ ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสูญเสียความอบอุ่นไปจนหมดสิ้น สีหน้าของเขากลับมาเย็นชาเช่นเดิม ”ในเมื่อเจ้าไม่สนใจการเลือกราชินี บางทีเจ้าอาจจะแค่อยากกลับไปที่โลกมนุษย์กระมัง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยงุนงง ”ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย”
“ไม่เช่นนั้นแล้วอย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสีหน้าเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจ ”ฝ่าบาท ท่านเลิกทำตัวหยิ่งเช่นนี้ได้หรือไม่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมดอารมณ์จะคุยกับนางทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาหันหลังแล้วเดินออกไปทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยวิ่งตามเขาจนทัน ”ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ท่านก็รู้นี่ว่ากรงนั้นย่อมไม่สามารถกักขังข้าได้หากข้าคิดที่จะกลับไปที่โลกมนุษย์จริงๆ…”
“ขอบใจที่มาถึงที่นี่เพื่อเตือนให้ข้ารู้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตัดบทนางด้วยรอยยิ้มและดวงตาเย็นชา ”การมอบหมายให้สัตว์อสูรสองตนไปทำหน้าที่อารักขาเจ้าก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ ข้าควรจะหักกรงเล็บของเจ้าซะ เจ้าจะได้สงบลงเสียที”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกท้อใจยิ่งนัก นางตะโกนเรียกชื่อของเขาอย่างไม่กลัวเกรง ”ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ท่านฟังข้าพูดก่อนได้หรือเปล่า! เหตุผลเดียวที่ข้าอยู่ที่นี่ก็เพราะท่านต่างหาก!”