ทันใดนั้น บรรยากาศก็หยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเห็นนัยน์ตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่หดแคบลงนั้นได้อย่างชัดเจน
นางกำลังสงสัยว่านางตะโกนดังเกินไปจนทำให้เขารู้สึกไม่พอใจหรือเปล่า
แต่นางก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ตะโกนออกไปได้
เขาดูเย่อหยิ่งอย่างมากตอนที่เผยสีหน้าเย็นชานั้นออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าใกล้
นางเพียงต้องพูดให้จบประโยคโดยเร็วที่สุด
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ความเงียบอันชวนให้กระอักกระอ่วนโอบล้อมอยู่รอบตัวของพวกนาง เฮ่อเลียนเวยเวยจึงกระแอมขึ้นอย่างทนไม่ไหว ”ข้า…”
“เจ้ากำลังสารภาพรักอยู่หรือ” ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองนางอย่างตั้งใจ
สารภาพรักหรือ คราวนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะเถียงกับเขา นางพยักหน้าและตอบว่า ”ใช่ ข้ากำลังสารภาพรักอยู่” เอาอย่างที่ท่านว่าก็แล้วกัน
“มานี่สิ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นราวกับแสงตะวันโพล้เพล้ในฤดูใบไม้ผลิ มันพร่ามัวแต่ก็อบอุ่น เขาดูเข้าถึงง่าย แต่ก็ยากจะเข้าใจได้ในเวลาเดียวกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปหาเขา และกำลังจะเอ่ยอะไรขึ้น
แต่เขากลับดึงนางเข้ามากอด กลิ่นของเขาพรั่งพรูเข้ามาจนเต็มลมหายใจของนางทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินกระทั่งเสียงเต้นของหัวใจเขาเลยด้วยซ้ำ มันช้าแต่ก็หนักแน่นเหมือนกับมหาสมุทร ราวกับเขาสามารถทำให้โลกทั้งใบสงบลงได้ด้วยตัวตนของเขา
“เช่นนั้นก็อย่าไปไหน อยู่กับข้า”
ลมหายใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรินรดอยู่ข้างหูของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางรู้สึกคันยุบยิบไปทั้งร่าง
แต่นางก็รู้ดีว่านางไม่สามารถให้สัญญากับเขาได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ตอบ นางยื่นมือออกไปโอบรอบเอวเขา แล้วถูใบหน้าของตัวเองเข้ากับเสื้อขนสัตว์ของเขา
เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ รอยยิ้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เพิ่งอบอุ่นขึ้นก็กลับมาเย็นชาอีกครั้ง
แต่เขาก็ไม่ได้ยากที่จะเข้าหาเหมือนก่อนหน้านี้ เขาผลักนางออกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”เมื่อวานนี้เจ้าไม่ได้อาบน้ำใช่ไหม”
อาบน้ำหรือ นางถูกล่ามอยู่ในกรงตลอดทั้งวัน ดังนั้นมันก็ต้องแน่อยู่แล้วสิว่านางยังไม่ได้อาบน้ำ แต่นางไม่คิดว่านางจะมีกลิ่นผิดปกติตรงไหน ทำไมเขาต้องผลักนางออกจากอ้อมกอดด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองนางอีกครั้ง แล้วสั่งกิเลนอัคคีที่อยู่ข้างๆ ว่า ”ไปเตรียมน้ำร้อน แล้วส่งมันไปที่วิหารแห่งแสงสว่าง อย่าลืมเอาแปรงมาด้วยล่ะ”
“ขอรับ” กิเลนอัคคีลดสายตาลงด้วยความเคารพ แต่สายตาของมันกลับพุ่งตรงไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
สายตาของมันทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกงุนงง
จากนั้นนางจึงตามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไปที่วิหารแห่งแสงสว่าง เขาสั่งว่า ”ถอดชุดออก”
นางถึงเพิ่งจะเข้าใจความคิดของเขา ”ท่านจะอาบน้ำให้ข้าหรือ”
“นี่เป็นรางวัลสำหรับเจ้าในวันนี้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดราวกับไม่ใส่ใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวย : รางวัลบ้าบออะไรกัน! ข้าเป็นผู้หญิงนะ! อีกอย่าง ทำไมท่านถึงถือแปรงสำหรับสัตว์เลี้ยงเอาไว้ในมือล่ะ
“อะไร เจ้าไม่ชอบแปรงอันนี้คือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตามสายตาของนางจนมาหยุดอยู่ที่แปรงในมือของตัวเอง จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”อสูรกลืนเวหาชอบมันมากทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : ”เช่นนั้นท่านก็เอามันไปใช้กับอสูรกลืนเวหาสิ!” ปัญหาไม่ได้อยู่ที่แปรงเสียหน่อย!
“อย่าอิจฉาไปเลย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลูบศีรษะของนางเหมือนเขากำลังปลอบให้สัตว์เลี้ยงสงบลง ”สัตว์อสูรกลืนเวหายังเด็ก ดังนั้นข้าถึงต้องอาบน้ำให้มันอยู่บ่อยๆ ต่อไปข้าจะพยายามหาเวลามาให้เจ้าก็แล้วกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : ทำไมฝ่าบาทถึงได้คิดว่านางอิจฉา… อีกอย่าง ทำไมข้าถึงต้องอิจฉาเพราะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวเดียวด้วย
“ตอนนี้ก็ถอดชุดออกได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไปข้างนอกหลังจากอาบน้ำเสร็จ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ ถอดถุงมือสีดำของตัวเองออกพร้อมกับบอกนาง เขาควรพาเหยื่อตัวนี้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง นางจะได้ไม่คิดเรื่องหนีไปอยู่ตลอดเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าถ้าฝ่าบาทได้ตัดสินใจอะไรลงไปแล้ว ต่อให้นางต่อรองไปก็คงไม่เป็นผล ดังนั้นนางยอมทำตามที่เขาบอก แล้วค่อยคุยเรื่องหนีเฟิ่งกับเขาหลังจากที่อาบน้ำเสร็จก็แล้วกัน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยคาดไม่ถึงว่าเขาจะถอดเสื้อตัวในของตัวเองออกทันทีที่นางก้าวลงไปนั่งในอ่างอาบน้ำไม้ ลวดลายกล้ามเนื้อที่อยู่บนร่างกายของเขาทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง
“เอ่อ แค่อาบน้ำให้ข้า ท่านไม่จำเป็นต้องถอดชุดตัวเองออกก็ได้มิใช่หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งยิ้มให้นาง การเคลื่อนไหวอันสง่างามของเขาทำให้หัวใจนางเต้นเร็วยิ่งขึ้น ”ข้าเพิ่งตัดสินใจที่จะอาบน้ำพร้อมเจ้า แบบนั้นคงจะสะดวกกว่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวลงมาในอ่างโดยไม่เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธ ความเย้ายวนที่อยู่ระหว่างริมฝีปากบางของเขาสามารถทำลายความสงบสุขทั้งหมดลงได้อย่างง่ายดาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าร่างกายของนางกำลังร้อนขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับเขา นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลุกเป็นไฟ
โชคดีสำหรับนางที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้น เขาเพียงแค่นั่งอยู่ในน้ำและเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกระหว่างแช่น้ำอุ่นๆ เท่านั้น แต่กระนั้นตัวตนอันแข็งแกร่งของเขาก็ยังยากที่นางจะทำเป็นเมินเฉยไปได้
ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย เขาใช้มือข้างหนึ่งเสยผมขึ้น สายน้ำค่อยๆ ไหลลงมาจากใบหน้าด้านข้างของเขาลงมาจนถึงลำคอ ก่อนจะเคลื่อนลงไปต่ำกว่านั้น เขาดูหล่อเหลาอย่างร้ายกาจและทำให้ลำคอของนางรู้สึกแห้งผาก
บางครั้งเขาก็ยิ่งดูมีเสน่ห์ขึ้นหลังจากถอดหน้ากากแห่งความสง่างามและเย็นชาของตัวเองออก
มันทำให้คนรู้สึกตกตะลึง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
โดยปกติแล้ว นางกับเขาจะพลอดรักกันหวานซึ้งในทุกครั้งที่เขาดึงนางลงไปอาบน้ำด้วย
นางไม่เคยตระหนักมาก่อนเลยว่าเขาจะมีเสน่ห์ดึงดูดที่อันตรายถึงเพียงนี้
นางรู้สึกว่านางคงไม่มีทางหนีจากเขาไปได้ในเวลานี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับตาลง แล้วพยายามทำจิตใจตัวเองให้กลับมาใสสะอาด ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้ฟังดูเยือกเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ”กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ท่านอย่าได้เชื่อคำพูดของหนีเฟิ่งจะดีกว่า”
การเคลื่อนไหวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง ”นี่คือคำอธิบายของเจ้าหรือ”
“ข้ารู้ว่านางเคยช่วยชีวิตท่านเอาไว้ครั้งหนึ่ง แต่นางไม่เหมือนท่าน” ถ้าเป็นนาง นางก็คงไม่อยากคิดว่าคนที่เคยช่วยชีวิตนางไว้เป็นคนไม่ดี แต่หากฟังจากคำพูดของเสี่ยวขุย ดูเหมือนหนีเฟิ่งจะเคยช่วยไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้มากกว่าหนึ่งครั้ง และในเวลานั้นนางทำมันลงไปด้วยใจจริง ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องบอกให้เขารู้ ”ที่นางมาปรากฏตัวขึ้นในครั้งนี้ก็เพื่อทำให้ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายสามารถผนึกท่านเอาไว้ในยมโลกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงต้องมาหาท่านที่แดนปีศาจ แต่ข้ามั่นใจว่านางมีจุดประสงค์ในการเข้าใกล้ท่าน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ฟังดังนั้น แต่ในดวงตาของเขากลับไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่นาง ”แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเข้าใกล้ข้าเพื่ออะไร”
“เพื่อให้ท่านตามข้ากลับไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเข้าไปในดวงตาของเขา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุดเท่าที่นางจะสามารถทำได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับเข้าไปหานางทันที ริมฝีปากบางของเขาแนบอยู่กับใบหูของนาง จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุด ”เจ้าช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย”
“ข้าก็ถูกสติปัญญาอันชาญฉลาดของท่านบดขยี้มาตลอด” เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำกับตัวเอง
แต่นึกไม่ถึงว่าสีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับดูผ่อนคลายลง ”หากเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดควรพูด เช่นนั้นเจ้าก็ควรพูดให้น้อยลง” เขาคว้าเสื้อคลุมขนสัตว์ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาคลุมรอบตัวนาง จากนั้นจึงอุ้มนางออกมาจากอ่างอาบน้ำ แล้วเช็ดผมของนางเหมือนเช็ดขนสัตว์
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แน่ใจว่าเขาเชื่อคำพูดของนางหรือไม่ แต่นางก็ตระหนักได้ว่าวันนี้เขาดูมีความอดทนกับนางมากเป็นพิเศษ นอกจากนั้นเขายังพานางออกไปข้างนอกอย่างที่บอกเอาไว้อีกด้วย
แทนที่จะไปเดินเล่นในวิหารแห่งแสงสว่าง เขากลับพานางออกจากวังปีศาจโดยไม่ได้พาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ติดตามไปด้วยแม้แต่ตัวเดียว ที่ที่เขาพานางไปคือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจซึ่งมีเฉพาะในแดนปีศาจเท่านั้น…