สวีซื่ออวี้ก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน
ตอนนี้ทุกคนจึงได้หันมาสนใจเขา
“ไปคารวะท่านแม่ของเจ้าแล้วหรือ” ไท่ฮูหยินมองสำรวจหลานชาย ยิ้มอย่างพอใจแล้วพยักหน้า “ดูแข็งแรงกว่าตอนจากไปเมื่อปีที่แล้วไม่น้อย ดูเหมือนว่าเหวินจู๋สาวใช้ผู้นั้นจะทุ่มเทมาก”
“ท่านอาสะใภ้ห้ามาเยี่ยมท่านแม่ ข้าจึงเพียงแค่คำนับแล้วมาที่นี่ทันทีขอรับ” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ในตอนนั้นท่านเป็นคนเลือกเหวินจู๋ให้ จะว่าไปแล้วก็นับว่าเป็นบุญคุณของท่าน”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ หันไปหาฮูหยินสองที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “เด็กคนนี้ก็รู้จักพูดเอาใจคนเป็นกับเขาด้วย!”
ฮูหยินสองยิ้มพลางมองสวีซื่ออวี้ ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเหมือนสายตาที่แม่ยายใช้มองลูกเขยอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งถูกใจ
จิ่นเกอเห็นดังนั้นก็กระโดดลงมา
“พี่สอง” เขาดึงแขนเสื้อของสวีซื่ออวี้ “ท่านกลับมาได้เอาของมาฝากข้าหรือไม่ขอรับ!” ถามสวีซื่ออวี้อย่างตรงไปตรงมา
ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ สวีซื่ออวี้เองก็หัวเราะเช่นกัน “เอามาแล้ว เอามาแล้ว ของอยู่ในหีบ เมื่อวานไม่ทันได้จัดการ อีกสักครู่ข้าจะส่งไปให้เจ้าดีหรือไม่”
จิ่นเกอยิ้มตาหยี แสดงท่าทางพอใจราวกับจะบอกว่า ‘แบบนี้ค่อยยังชั่ว’ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสามคนในห้องระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
ฮูหยินสองพูดกับสวีซื่ออวี้ว่า “เพื่องานแต่งของเจ้าแล้ว แม่ของเจ้ายุ่งตั้งแต่หลังเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างมาจนถึงตอนนี้ เจ้าควรจะไปขอบคุณนางถึงจะเหมาะสม”
สวีซื่ออวี้หน้าแดงเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเขินอาย “ขอรับ”
จิ่นเกอมองสวีซื่ออวี้ตาโต ราวกับว่าสับสนกับท่าทีของเขา
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสี่พานายหญิงเฉียนกับคุณชายเฉียนมาเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพูดว่า “รีบเชิญเข้ามาเร็ว” จิ่นเกอวิ่งไปหาไท่ฮูหยิน กอดแขนไท่ฮูหยิน ก่อนจะเอาศีรษะเล็กๆ พิงแขนไท่ฮูหยินไว้
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว!” ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็กอดจิ่นเกอไว้
จิ่นเกอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไท่ฮูหยินอุ้มไม่ไหวตั้งนานแล้ว เขารีบถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียงเตาอย่างคล่องแคล่ว
ไท่ฮูหยินโอบเขาไว้ในอ้อมแขนทันที “จิ่นเกอของพวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร…อย่างไรเสียก็มีท่านย่าอยู่!” พูดพลางตบหลังจิ่นเกอเบาๆ
จิ่นเกอพยักหน้า แต่กลับขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน ท่าทางก็ไม่ได้ดูผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย
สวีซื่ออวี้อดแอบประหลาดใจไม่ได้
ท่านแม่เป็นคนที่อ่อนโยนอย่างมาก เวลาพูดคุยกับสาวใช้น้อยเหล่านั้นก็มักจะพูดเสียงเบา เหตุใดน้องหกถึงได้มีท่าทางหวาดกลัวมากขนาดนี้
ขณะที่กำลังครุ่นคิด สืออีเหนียงก็พาอู่เหนียงกับซินเกอเข้ามา
ซินเกอเด็กกว่าซินเจี่ยเอ๋อร์หนึ่งเดือนกว่า หน้าตาคล้ายเฉียนหมิง รูปงาม เวลาทุกคนพูดคุยกันเขาก็จะนั่งอยู่เงียบๆ แต่ดวงตากลับกลอกกลิ้งไปมา มีสีหน้าตื่นเต้นเป็นระยะๆ ดูก็รู้ว่าซุกซนเป็นอย่างมาก เป็นเด็กที่ไม่สามารถนั่งนิ่งได้
หลังจากที่มองสำรวจในห้องแล้ว สายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่รูปปั้นน้ำกลิ้งบนใบบัวขนาดเล็กเท่ากำปั้นเด็กทารกที่ทำจากหยกสีเขียวและหยกลายน้ำที่อยู่บนโต๊ะบนเตียงเตา
ใบบัวสีเขียว หยดน้ำสีขาว หากมองจากตำแหน่งที่ซินเกอนั่งอยู่ ใบบัวนั้นจะเป็นสีเขียวมันวาว มีหยดน้ำใสกระจายอยู่บนใบบัวเหมือนจริงราวกับพึ่งหยิบมาจากสระบัวก็ไม่ปาน
เขาเหลือบมองมารดา
อู่เหนียงกำลังยิ้มพลางพูดคุยกับไท่ฮูหยิน “…นับว่าไม่ได้ผิดต่อพระมหากรุณาธิคุณ ไม่มีข้อผิดพลาดเกินขึ้น เพียงแต่ว่าเป็นพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารเล็กน้อย ซินเกอก็เริ่มเข้าสู่วัยที่ต้องเรียนหนังสือ เตี้ยนเจี่ยเอ๋อร์เองก็ยังเล็ก หากสามารถเปลี่ยนที่ได้ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว…” ไม่ได้สังเกตเขาเลยแม้แต่น้อย
เขามองไปที่ท่านน้าหญิง
ท่านน้าหญิงนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ลูกพี่ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าเขาสองปี แต่กลับสูงเท่าเขายืนอยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟัง กำลังตั้งใจฟังมารดาของเขาและไท่ฮูหยินพูดคุยกัน
เขามองไปที่สตรีผู้นั้นที่ถูกมารดาของเขาเรียกว่า ‘ฮูหยินสอง’
นางกับไท่ฮูหยินนั่งอยู่ข้างกัน
ซินเกอนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเบื่อหน่าย
มารดาของเขายังพูดต่ออีกว่า “…นายท่านบอกว่าเขาใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะซ่อมแซมคลองเก่าได้ เห็นว่าปีหน้าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จึงอยากอยู่ต่ออีกหนึ่งวาระ…”
ซินเกอกวาดสายตาไปหยุดอยู่ที่รูปปั้นน้ำกลิ้งบนใบบัวบนโต๊ะเตียงเตาที่อยู่ด้านหลังฮูหยินสองอีกครั้ง
เขาค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ไท่ซือ ประเดี๋ยวจับตานกน้อยที่สลักบนเก้าอี้ไท่ซือ ประเดี๋ยวก็ไปจับดอกกล้วยไม้หยกที่ปลูกอยู่ข้างเตียงเตา พอไปอยู่ข้างฮูหยินสองก็เอื้อมมือไปหยิบรูปปั้นใบบัวนั้นมา
รู้สึกหนักเล็กน้อย มีความเย็นแผ่ออกมา
เขามองซ้ายขวาแล้วออกแรงแกะหยดน้ำบนใบบัว
ทันใดนั้นเสียงไพเราะที่แฝงไว้ด้วยความโกรธของจิ่นเกอก็ดังขึ้นในห้อง “นั่นของข้า! เจ้าห้ามแตะนะ!”
ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้น ก็ถูกเขาขัดจังหวะการสนทนาอย่างฉับพลัน สายตาทุกคู่ต่างไปหยุดอยู่ที่ซินเกอ
ซินเกอกำลังใช้ฟันกัดใบบัว
สีหน้าไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
อู่เหนียงพลันกระอักกระอ่วน ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว
ซินเกอชอบวิ่งซุกซนมาตั้งแต่เล็ก มีหลายครั้งที่ตามอู่เหนียงไปเป็นแขก หากไม่ทำข้าวของแตกก็วิ่งเล่นไปทั่วงานเลี้ยงโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม ไม่ว่าอู่เหนียงจะสอนอย่างไรก็แก้ไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยพาบุตรชายออกนอกจวน ครั้งนี้เป็นเพราะแม่นมของเตี้ยนเจี่ยเอ๋อร์ล้มป่วยกะทันหัน จั๋วเถาจึงต้องคอยดูแลเตี้ยนเจี่ยเอ๋อร์ แต่นางต้องนำของขวัญแสดงความยินดีสำหรับงานแต่งของสวีซื่ออวี้มามอบให้ และก็อยากให้ซินเกอกับจิ่นเกอไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จึงได้พาบุตรชายมาด้วย
“ซินเกอ!” อู่เหนียงตะโกนเสียงดัง สีหน้าดูอับอายเล็กน้อย “ยังไม่รีบวางลงอีก…”
เพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นเงาเล็กๆ วิ่งผ่านไปแล้ว
“ของข้า ของข้า” จิ่นเกอพอเข้าไปถึงก็คว้าข้อมือของซินเกอ อีกมือหนึ่งก็จับนิ้วที่ซินเกอกำลังแกะหยดน้ำเอาไว้แน่น
“ข้าก็แค่ดูเฉยๆ!” ซินเกอผลักจิ่นเกอออก “ข้าไม่ได้จะเอาไปสักหน่อย”
“แต่นี่มันของข้า!” จิ่นเกอถูกผลักจนเซ อ้าปากกัดข้อมือของซินเกอ
ซินเกอรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที ร้องเสียงดังพลางปล่อยมือ กำลังยกมือจะตีไปที่หัวของจิ่นเกอ
จิ่นเกอก้มตัวหลบ กำปั้นของซินเกอจึงทุบลงที่หลังของเขาแทน เขาอาศัยจังหวะนี้พุ่งเข้าไปที่ตัวของซินเกอแล้วใช้แรงดันซินเกอไปที่เตียงเตา ด้านหน้าเป็นจิ่นเกอที่ออกแรงน้อยๆ อย่างสุดกำลัง ส่วนด้านหลังก็เป็นเตียงเตา ซินเกอถูกดันจนน้ำตาไหลออกมา ตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่านแม่” จากนั้นก็ร้องไห้เสียงดัง
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
ฮูหยินสองที่อยู่ใกล้กับพวกเขามากที่สุดรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางลุกขึ้นทันที ดึงจิ่นเกอมาไว้ข้างหลังตัวเอง ถามซินเกอว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” อู่เหนียงที่ถูกบุตรชายร้องเรียก ‘ท่านแม่’ ราวกับใจจะขาดก็ได้สติกลับมาแล้วเช่นกัน นางกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปกอดซินเกอไว้ในอ้อมแขน “ลูกชายข้า เจ้าเจ็บตรงไหน” พูดพลางถกแขนเสื้อของซินเกอขึ้นดูตรงที่ถูกจิ่นเกอกัด
ซินเกอซุกอยู่ในอ้อมแขนของท่านแม่ ร้องไห้พลางฟ้องว่า “เขากัดข้า เขากัดข้า!”
จิ่นเกอที่ถูกฮูหยินสองดึงมาไว้ด้านหลังได้ฟังดังนั้นก็ตอบโต้อย่างโกรธเคืองว่า “ก็เจ้าไปหยิบของของข้าก่อน”
สืออีเหนียงที่รีบวิ่งตามมาส่งสายตาดุบุตรชาย พลางกำชับสวีซื่ออวี้ “รีบไปเชิญหมอหลวงมา” พลางก้มสำรวจแขนของซินเกอ “พี่หญิงห้า แผลเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
อู่เหนียงไม่มีเวลามาตอบ ถกแขนเสื้อบุตรชายขึ้นด้วยมือที่สั่นระริก แขนที่เล็กและเปราะบางนั้นแดงบวม ซ้ำยังมีรอยฟันเล็กๆ
โชคดีที่ไม่มีบาดแผล!
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก เรียกจู๋เซียงให้ไปนำน้ำมันชิงเหลียงมา “…ทำให้หายบวมก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
อู่เหนียงพยักหน้า
จิ่นเกอที่ถูกสืออีเหนียงจ้องตาเขม็งไปหลบอยู่ด้านหลังฮูหยินสอง จากนั้นก็เห็นทุกคนไปรุมล้อมซินเกอ สืออีเหนียงก็ไม่ได้สนใจเขาอีก จึงมองไปที่ซินเกอด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อเห็นว่าแขนของซินเกอบวมขึ้นมา เขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย พูดเสียงดังว่า “ก็เขามาแย่งของข้าก่อน!”
ไท่ฮูหยินที่นั่งอยู่เงียบๆ บนเตียงเตาได้ยินดังนั้นก็รีบดึงจิ่นเกอมาหาตัวเอง มองหลานชายด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่า ‘อย่าส่งเสียง’ สายตาของคนในห้องหันมามองจิ่นเกอ โดยเฉพาะสืออีเหนียงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม และท่าทีเข้มงวด ทำเอาจิ่นเกอหวาดกลัวจนตัวสั่น จับมือไท่ฮูหยินเอาไว้แน่น
ไท่ฮูหยินทำสีหน้าเคร่งขรึม ตำหนิจิ่นเกอว่า “ซินเกอแย่งของของเจ้า ก็เป็นเขาที่ทำไม่ถูก แต่เจ้าไปกัดซินเกอ ก็กลายเป็นเจ้าที่ทำไม่ถูก ยังไม่รีบไปขอโทษพี่ชายของเจ้าอีก”
อู่เหนียงหน้าแดง รีบพูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ซินเกอของข้าก็ผิดเช่นกัน…”
ซินเกอได้ยินน้ำเสียงของมารดาที่แฝงไว้ด้วยความสมานฉันท์ ก็ร้องไห้ขึ้นมาเสียงดังทันที “ข้าไม่ได้ไปแย่งของของเขา ข้าแค่จะดูเฉยๆ…”
ไม่ว่าอย่างไรจิ่นเกอก็เป็นคนกัด
สืออีเหนียงกำชับบุตรชาย “เจ้าเป็นคนกัด ยังไม่รีบไปขอโทษพี่ชายของเจ้าอีก!”
จิ่นเกอไม่พูดอะไรสักคำ ยืนเบะปาก หางตากลับมีน้ำใสๆ ไหลออกมา เข้มแข็งแต่ก็เปราะบาง ทำเอาไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็ปวดใจ
“เอาล่ะ เอาล่ะ เด็กน้อยทะเลาะกัน ไหนเลยจะแยกได้ใครถูกใครผิด!” ไท่ฮูหยินพูดพลางหัวเราะ ถามซินเกอ “เจ้าชอบรูปปั้นน้ำกลิ้งบนใบบัวนั้นมากใช่หรือไม่”
เด็กน้อยมักจะเก่งเรื่องสังเกตสีหน้า
ซินเกอได้ฟังดังนั้นก็หยุดร้องไห้ เหลือบมองจิ่นเกอ ใบหน้าที่มีคราบน้ำตาแฝงไว้ด้วยความได้ใจ
เขาพยักหน้า พูดออกมาเสียงดังว่า “ชอบขอรับ”
จิ่นเกอถือรูปปั้นใบบัวนั้นไว้แน่น ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความระแวดระวัง
“ป้าตู้” ไท่ฮูหยินพูดเสียงดังว่า “ให้คนแกะรูปปั้นน้ำกลิ้งบนใบบัวแกะสลักที่อยู่บนกระถางดอกบัวของร้านตัวเป่าเก๋อนำมาให้ซินเกอ”
“จะรับไว้ได้อย่างไรเจ้าคะ!” อู่เหนียงได้ฟังเช่นนี้ก็รีบห้ามป้าตู้ “ท่านทำแบบนี้ ข้าก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ!”
“เด็กเล็กก็เพียงแค่ชอบเล่นสนุกเท่านั้น” ไท่ฮูหยินพูดอย่างไม่เห็นด้วยอีกว่า “แค่พวกเขามีความสุขก็พอแล้ว!” จากนั้นก็ส่งสายตาให้ป้าตู้ ป้าตู้ยิ้มพลางเดินอ้อมอู่เหนียงไปยกกระถางหยกมา
สืออีเหนียงไม่เคยลังเลเหมือนตอนนี้มาก่อน
ผิดก็คือผิด การที่จิ่นเกอกัดคนนั้นถือว่าทำไม่ถูก สิ่งที่ควรขอโทษก็ควรขอโทษ แต่ซินเกอก็มีส่วนผิด ไม่ควรเป็นเพราะว่าซินเกอร้องไห้เช่นนี้ ก็เลยต้องให้จิ่นเกอยอมให้ ไม่ยุติธรรมกับจิ่นเกอเลย
ถ้าหากยอมให้ไท่ฮูหยินขอโทษซินเกอแทนจิ่นเกอ จะทำให้จิ่นเกอจะคิดว่าตัวเองมีเหตุผลหรือไม่ แล้วจะยิ่งเอาแต่ใจมากกว่าเดิม แต่ถ้าหากห้ามไม่ให้ไท่ฮูหยินขอโทษแทนจิ่นเกอ อู่เหนียงก็จะคิดว่าลูกตัวเองถูกรังแกหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะลูกสะใภ้ ต้องยืนมองแม่สามีของตัวเองไปหาของมาโอ๋หลานสกุลเดิมของตน ทำให้ตนรู้สึกว่ายากที่จะรับได้!
ในขณะที่กำลังลังเลใจอยู่นั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูดอย่างน้อยใจของจิ่นเกอดังขึ้นในห้อง “ท่านย่า ไม่ต้องแกะของของท่านหรอกขอรับ ข้าจะให้รูปปั้นน้ำกลิ้งบนใบบัวกับเขาเอง!”