เมื่อมองไปที่หยกสีเขียวในมือของจิ่นเกอ น้ำตาของสืออีเหนียงก็แทบจะไหลออกมา
ที่ผ่านมาสิ่งที่นางกังวลมากที่สุดคือการที่บุตรชายของนางถูกทุกคนเอาใจจนทำให้เขาเอาแต่ใจตัวเอง ไม่แยแสคนอื่น ไม่รู้จักบุญคุณคน และยิ่งไม่รู้ว่าความอดทนอดกลั้นคืออะไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม้ว่าบุตรชายของตนจะทั้งขี้หวงของและดื้อรั้น แล้วยังมีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เขาก็ไม่ได้สูญเสียจิตใจที่บริสุทธิ์
ความกังวลที่ติดอยู่ในหัวใจของนางมลายหายไป นางก้าวไปข้างหน้าแล้วโอบไหล่บุตรชายด้วยความชื่นชม
จิ่นเกอที่กำลังกลัวเพราะถูกมารดาดุเรื่องดึงดอกไม้ออกจากกระถาง แต่ตอนนี้มารดาโอบไหล่เขาเหมือนปกติ ก็อดเงยหน้ามองนางไม่ได้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
สืออีเหนียงก้มหน้ามองบุตรชายพลางส่งยิ้มให้เขา
มีความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ระหว่างมารดากับบุตร
ส่วนไท่ฮูหยินก็น้ำตาซึม พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เด็กดี ท่านย่าไม่ต้องการของของเจ้า ท่านย่ามีของจะมอบให้พี่ชายของเจ้าอยู่แล้ว” จากนั้นก็กำชับป้าตู้เสียงดังว่า “แกะใบบัวนั้นออกมา!” เมื่อเทียบกับน้ำเสียงที่ไม่ได้จริงจังเมื่อครู่นี้ ครั้งนี้น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่
ป้าตู้เองก็น้ำตาคลอเช่นกัน ยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วอุ้มกระถางหยกนั้นออกไป
อู่เหนียงเป็นกังวล
นางเหลือบมองบุตรชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสับสนด้วยความโกรธ
นางจ้องซินเกอตาเขม็ง อู่เหนียงรีบสาวเท้าเดินตามป้าตู้ไป ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด หน้าก็แดงจนแทบจะเป็นสีเลือดแล้ว “ไท่ฮูหยินเจ้าคะ เป็นข้าเองที่สอนลูกได้ไม่ดี ทำให้ไม่รู้จักผิดถูก…” พูดพลางหันไปมองจิ่นเกอ “เป็นพี่ชายของเจ้าที่ทำไม่ถูก เจ้าเก็บของของเจ้าเอาไว้เถิด”
สืออีเหนียงที่ไม่มีเรื่องค้างคาใจแล้ว ก็เลยมีความคิดดีๆ ขึ้นมา
นางตะโกนเรียก “ท่านแม่” แล้วพูดต่อไปว่า “ท่านอย่าแกะกระถางหยกนั่นเลยเจ้าค่ะ” แล้วพูดกับอู่เหนียงว่า “ท่านเองก็เลิกจ้องซินเกอได้แล้ว” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นเกอกัดคน เช่นนั้นจิ่นเกอก็เป็นคนผิด จิ่นเกอต้องขอโทษซินเกอ ส่วนซินเกอไปหยิบข้าวของของคนอื่น ก็เป็นซินเกอที่ทำไม่ถูก ซินเกอก็ต้องขอโทษจิ่นเกอเช่นกัน!” นางพูดพลางยิ้มแล้วนั่งยองๆ ข้างหน้าซินเกอ จับมือซินเกอเอาไว้ “ซินเกอ เจ้าว่าน้าหญิงพูดถูกหรือไม่”
ซินเกอรีบพยักหน้า “จิ่นเกอเขากัดข้า!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางกวักมือเรียกจิ่นเกอ “รีบขอโทษพี่ชายสิ!”
จิ่นเกอเบะปาก พูดกับซินเกออย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย “ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่กัดเจ้าอีกแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มพลางมองซินเกอ
ซินเกอก้มหน้า พูดเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าก็ไม่อยากได้ของของเจ้าแล้ว!”
สืออีเหนียงมือข้างหนึ่งโอบจิ่นเกอ อีกข้างหนึ่งโอบซินเกอ “พวกเจ้าเป็นเด็กดีกันทั้งคู่ เร็ว จับมือกันสิ ต่อไปอย่าทะเลาะกันอีก แล้วก็ห้ามตีกันด้วย เข้าใจหรือไม่”
ซินเกอยื่นมือมาขอจับมือจิ่นเกอก่อน
จิ่นเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยื่นมือไปจับมือซินเกอ
ไท่ฮูหยินเหลือบมองป้าตู้ ส่งสัญญาณให้นางนำกระถางหยกกลับไปวางไว้ที่เดิม
สืออีเหนียงจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมแล้ว หากนางดึงดันที่จะแกะใบบัวอีกก็มีแต่จะยิ่งทำให้เห็นว่าอู่เหนียงกับซินเกอเสียมารยาทเท่านั้น อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นคนสกุลเดิมของสืออีเหนียง หากพวกเขาเสียหน้า สืออีเหนียงก็จะเสียหน้าเช่นกัน นางจะทำให้สืออีเหนียงเสียหน้าได้อย่างไร
ไท่ฮูหยินหัวเราะ พูดขึ้นมาว่า “โชคดีที่สืออีเหนียงคิดหาวิธีได้ ทั้งไม่ได้ละเลยแขกของพวกเรา แล้วก็ไม่ได้ทำให้จิ่นเกอของพวกเรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ”
แม้ว่าคำพูดจะเข้าข้างจิ่นเกอเล็กน้อย แต่ก็โชคดีที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
อู่เหนียงพลันโล่งใจ
ถ้าหากต้องแกะใบบัวของไท่ฮูหยินให้ซินเกอจริงๆ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรแล้ว
บุตรชายของตนเป็นเด็กดีและรู้ความมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งโตก็ยิ่งไม่เชื่อฟัง ยิ่งโตก็ยิ่งดื้อดึง ถ้าหากเลี้ยงบุตรจนกลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักขอบเขต หากเฉียนหมิงกลับมาแล้วนางจะอธิบายอย่างไร อย่าลืมว่าเฉียนหมิงเขียนจดหมายมาเพื่อให้นางไปเติ้งโจวหลายครั้งแล้ว เป็นนางที่ไม่ชอบชีวิตที่ยากลำบากในเติ้งโจว…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็เดินเข้าไปดึงซินเกอ เตรียมจะพูดสองสามประโยคแล้วกล่าวลา ใครจะไปรู้ว่าสืออีเหนียงกลับพูดคุยกับซินเกอต่อ
“ซินเกอเป็นเด็กดีจริงๆ!” นางยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ท่านน้าหญิงจะให้รางวัลเจ้าหนึ่งอย่าง!” พูดจบก็กำชับจู๋เซียง “เจ้าไปเอาพระหัตถ์พระพุทธรูปหยกเหอเทียนบนโต๊ะทำงานของข้ามาให้คุณชายน้อย” เดิมทีนางคิดจะให้ซินเกอเลือกของที่อยากได้มาหนึ่งอย่าง แต่ก็กลัวว่าซินเกอจะยืนกรานอยากได้ใบบัวของจิ่นเกอ แล้วเกิดการแย่งกันขึ้นมาอีก จึงได้เลือกหยกชิ้นหนึ่งที่คล้ายกับของจิ่นเกอมอบให้ซินเกอ
ซินเกอยิ้มพลางพยักหน้า
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบศีรษะเขา จากนั้นก็พูดกับจิ่นเกอว่า “วันนี้จิ่นเกอไม่เพียงแต่ใจกว้าง ซ้ำยังรู้จักกตัญญูต่อท่านย่า ทำให้แม่มีความสุขอย่างมาก เลยจะให้รางวัลเจ้าหนึ่งอย่างเช่นกัน”
จิ่นเกอได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างจนดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว สลัดความทุกข์เมื่อครู่ออกไปจนหมด
เมื่อคิดได้ว่านางมักจะกดดันบุตรชายอยู่เสมอ ไม่ให้เขาทำโน่น ไม่ให้เขาทำนี่ สืออีเหนียงจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกมาสิว่าเจ้าอยากได้อะไร”
จิ่นเกอรีบพูดเสียงดังว่า “ข้าอยากไปเก็บส้มขอรับ”
วันเด็กปีที่แล้ว เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ สืออีเหนียงเลยพาจิ่นเกอไปเดินเล่นที่เรือนหลิงฉยงซาน จิ่นเกอสังเกตเห็นว่าข้างเรือนหลิงฉยงซานมีต้นส้มสีทอง จึงงอแงอยากจะไปเก็บส้ม สืออีเหนียงเห็นว่าต้นส้มที่เติบโตบนหน้าผานั้นอันตรายเกินไป และกลัวว่าบ่าวรับใช้จะไปเก็บส้มเพื่อเอาใจจิ่นเกอแล้วเกิดอันตรายขึ้น จึงไม่เพียงแต่ไม่ตกลง ซ้ำยังกำชับเป็นพิเศษว่าไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้ไปเก็บส้มเด็ดขาด จิ่นเกอเศร้าซึมเพราะเรื่องนี้อยู่หลายวัน จนกระทั่งเกาลัดในสวนหลังจวนสุก สืออีเหนียงจึงพาเขาไปเก็บเกาลัด เขาจึงได้ลืมเรื่องส้มเหล่านั้นไป พอมาปีนี้จิ่นเกอก็หลงใหลในการพายเรือ
คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังจำได้!
สืออีเหนียงตัดสินใจไม่ถูก
แต่ว่านางได้พูดออกไปแล้ว ย่อมจะทำให้จิ่นเกอสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวนางไม่ได้
“ได้ อีกสองวันข้าจะให้คนพาเจ้าไปเก็บส้ม!”
จิ่นเกอดีใจขึ้นมาทันที วิ่งไปหาไท่ฮูหยิน “ท่านย่า ท่านย่า พอข้าเก็บส้มแล้วก็จะเอามาให้ท่านถวายแด่พระโพธิสัตว์ด้วยขอรับ!”
ในวันที่หนึ่งของทุกเดือน ไท่ฮูหยินจะพาลูกสะใภ้และหลานๆ ไปจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์
“ไอ๊หยา!” ไท่ฮูหยินโอบกอดจิ่นเกออย่างมีความสุข “จิ่นเกอของพวกเราเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณจริงๆ!”
จิ่นเกอยิ้มสดใส เมื่อเงยหน้าก็เห็นฮูหยินสองยืนอยู่ข้างๆ เลยรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านป้าสอง ข้าก็จะเก็บมาให้ท่านถวายพระโพธิสัตว์เช่นกันขอรับ!”
เพราะว่าเป็นเรื่องในเรือนของสืออีเหนียง ฮูหยินสองจึงคอยยืนดูอยู่ข้างๆ เฉยๆ แม้ว่านางจะไม่ได้มีห้องพระ แต่เมื่อได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ และทนไม่ได้ที่จะปฏิเสธความหวังดีของจิ่นเกอ ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาสิ ป้าสองจะรอส้มจากเจ้า”
สืออีเหนียงปวดหัวขึ้นมาทันที
เจ้าเด็กคนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าส้มอยู่ที่ไหน ก็ไปให้สัญญากับใครต่อใครมั่วซั่ว
ยิ่งปวดหัวเพราะไม่รู้ว่าจะให้ใครเป็นคนพาจิ่นเกอไปเก็บส้มดี!
ที่นั่นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถไปได้!
ขณะที่กำลังครุ่นคิด จู๋เซียงก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
นางเอาหยกพระหัตถ์พระพุทธรูปขนาดเท่ารูปปั้นน้ำกลิ้งบนใบบัวของจิ่นเกอมา
สืออีเหนียงมอบให้ซินเกอ “ชอบหรือไม่”
ซินเกอรีบรับมา แกะใบไม้ที่พระหัตถ์ออก แล้วพูดขึ้นมาว่า “ชอบขอรับ!” จากนั้นก็ยิ้มพลางวิ่งไปหาอู่เหนียง “ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านดูสิ ท่านน้าหญิงมอบให้ข้า!”
อู่เหนียงมองสืออีเหนียงอย่างรู้สึกผิด ดันหลังบุตรชายเบาๆ “ยังไม่รีบขอบคุณท่านน้าหญิงอีก!”
ซินเกอขอบคุณสืออีเหนียงเสียงดัง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ซินเกอชอบก็ดีแล้ว”
อู่เหนียงรีบลุกขึ้นกล่าวลา
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สืออีเหนียงก็กล่าวลาไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองอย่างเกรงใจสองสามประโยค แล้วพาจิ่นเกอไปส่งอู่เหนียงกับซินเกอ
พอหันหลังกลับมาก็เจอเข้ากับสาวใช้น้อยสองคนของอวี้ป่าน
“ฮูหยินสี่” นางยิ้มพลางคำนับสืออีเหนียง “ไท่ฮูหยินบอกว่าท่านยังมีเรื่องต้องทำหลายอย่างจึงให้บ่าวมาพาคุณชายน้อยหกไป ท่านจะได้มีสมาธิทำงาน ไท่ฮูหยินก็จะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อนด้วยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินโปรดปรานจิ่นเกอ สืออีเหนียงรู้และไม่ได้คิดอะไร ยิ้มพลางกำชับหงเหวินกับอาจินสองสามประโยค แล้วมอบจิ่นเกอให้อวี้ป่านดูแล
เมื่อกลับมาถึงห้องโถงบุปผา คุณนายใหญ่สกุลหลินก็นำของขวัญมาแสดงความยินดีกับงานแต่งงานของสวีซื่ออวี้
“ยินดีด้วย เจ้าจะได้เป็นแม่สามีแล้ว!”
สืออีเหนียงเหงื่อตก “เช่นกัน เช่นกัน”
สองวันก่อนบุตรชายคนโตของคุณนายใหญ่สกุลหลินก็ได้หมั้นหมายแล้ว
ทั้งสองนั่งลงตามลำดับ พูดคุยกันได้ไม่กี่ประโยค คุณนายสี่สกุลถังก็มาพอดี
พวกนางพูดคุยเรื่องความหลัง จากนั้นคุณนายสามสกุลหวงก็มาเช่นกัน อีกทั้งยังเอารายการสินสอดทองหมั้นของสกุลเซี่ยงมาด้วย เพราะว่ามีคนนอก นางจึงนั่งรอจนคุณนายใหญ่สกุลหลินกับคุณนายสี่สกุลถังกล่าวลา สืออีเหนียงใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อดูรายการสินสอดทองหมั้น กว่าจะส่งคุณนายสามสกุลหวงกลับก็ถึงเวลาจุดโคมไฟแล้ว
สืออีเหนียงรีบถามกับบ่าวรับใช้ว่า “ท่านโหวกลับมาทานข้าวหรือไม่”
หลายวันมานี้เรือนนอกก็มีแขกมากมายเช่นกัน
“ท่านโหวไม่ได้ส่งคนมารายงานเจ้าค่ะ” ขณะที่จู๋เซียงกำลังเอ่ยตอบ ก็เห็นสวีลิ่งอี๋เข้ามาพอดี นางรีบกำชับให้สาวใช้น้อยจัดอาหาร แล้วไปปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋ล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้า
สืออีเหนียงนั่งคุยกับสวีลิ่งอี๋บนเตียงเตาริมหน้าต่างห้องด้านใน “…สินสอดทองหมั้นของสกุลเซี่ยงมีเงินเจ็ดแปดพันตำลึง พวกข้าวของเครื่องใช้มีไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่ดินทำเลดี รายได้ต่อปีมีไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” ล้างหน้าเสร็จก็เดินออกมา “สกุลเซี่ยงจัดการได้ดีมาตลอด การเตรียมการเช่นนี้นั้นก็ไม่แปลก” ขณะที่พูดก็เห็นว่าอาหารบนโต๊ะได้จัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่เห็นเงาของบุตรชาย อดถามไม่ได้ว่า “จิ่นเกอเล่า”
“ท่านแม่ให้อยู่เล่นที่นั่นต่อเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรับชามข้าวจากสาวใช้น้อยมาวางไว้ตรงหน้าสวีลิ่งอี๋ “บอกว่าให้พวกเราไปรับเมื่อไปคารวะตอนเย็น”
สวีลิ่งอี๋นั่งลง พูดกับนางเรื่องของบุตรชายขึ้นมา “ข้าอยากจะให้จิ่นเกอเริ่มเล่าเรียนปีหน้า เจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
เด็กทั่วไปจะเริ่มเรียนตอนอายุได้หกถึงเจ็ดปี บางคนก็เร็วกว่านั้นสองปี แต่บางคนก็ช้ากว่านั้นสองปี ต้องดูเป็นคนๆ ไป
ปีหน้าจิ่นเกอก็จะอายุห้าปีย่างหกปี ยังไม่ถึงกำหนดเข้าเรียนปฐมวัย
“จะเร็วเกินไปหรือไม่” สืออีเหนียงพูดพลางให้สาวใช้น้อยตักน้ำแกงให้ตัวเอง
“จิ่นเกอเป็นเด็กฉลาด ให้เขาได้เรียนรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มตอบ
“ร่างกายก็แข็งแรง พลังเต็มเปี่ยม หาอาจารย์ช่วยถ่ายทอดวิชากังฟูให้เขา หากสายกว่านี้กระดูกก็จะแข็งแล้ว ก็จะเรียนไม่ถึงทักษะที่แท้จริง!”
สืออีเหนียงหัวเราะ “ท่านโหวจะให้จิ่นเกอเรียนศิลปะการต่อสู้ หรือจะให้จิ่นเกอเรียนหนังสือกันแน่เจ้าคะ”
“เรียนทุกอย่าง!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “จะต้องรู้จักต่อสู้บนหลังม้าและจัดการเอกสารในกองทัพ”
น้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความคาดหวัง
ในหัวของสืออีเหนียงปรากฏภาพที่จิ่นเกอกำลังเล่นโคลน นึกถึงภาพจิ่นเกอที่สามารถเก่งทั้งบุ๋นและบู้ไม่ออกจริงๆ อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าเขาไม่ชอบเล่า”
“เด็กผู้ชายจะสามารถทำตามใจตัวเองได้อย่างไร” สวีลิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้น นึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงมักจะโอบกอดหรือไม่ก็หอมบุตรชาย เลยพูดขึ้นมาว่า “เจ้าจะตามใจเขาไม่ได้” จากนั้นก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็เอาตามนี้ ปีหน้าก็ให้เขาเริ่มเรียนหนังสือ” ท่าทางไม่อนุญาตให้สืออีเหนียงปฏิเสธ
เดิมทีสืออีเหนียงยังกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะเป็นคนที่ตามใจลูก
ในเมื่อเขาได้ตัดสินใจแล้ว นางก็ย่อมสนับสนุน
“เช่นนั้นก็ทำตามความตั้งใจของท่านโหวเถิด!” สืออีเหนียงยิ้มพลางดื่มน้ำแกง
ทั้งสองคนทานข้าวกันอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยิน