หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1402 ที่แท้แล้วเป็นเจ้า

บทที่ 1402 ที่แท้แล้วเป็นเจ้า

ภายใต้การคาดเดามากมายภายนอกนี้ การต่อสู้ในสนามประลองยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าผู้เข้าร่วมประลองจะไม่น้อย แต่ทุกๆ ครั้งของการตัดสิน ต้องมีคนถูกคัดทิ้งไปกว่าครึ่ง ดังนั้นแล้วในไม่ช้า จำนวนของชิ้นส่วนพวกนี้จึงลดเหลือน้อยลง ส่วนจำนวนผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมประลองจากที่มีจำนวนมากก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเหลือ…แปดคน!

ทั้งแปดคนนี้เป็นที่สนใจจากผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักในพริบตาที่ได้รับคัดเลือกทันที

ไม่ว่าใครในบรรดาแปดคนนี้ ล้วนผ่านการต่อสู้มามากมาย และตั้งแต่แรกจนจบยังไม่พ่ายแพ้ ดังนั้นแล้วจึงได้ผู้แข็งแกร่งที่เห็นในตอนนี้ทั้งแปดท่านออกมา ตามกฎแห่งการทดสอบนั้น ขอเพียงแพ้ครั้งหนึ่งก็จะถูกเวทส่งตัวออกและหมดสิทธิในการเข้าทดสอบทันที

ดังนั้นแล้ว ผู้ที่สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของผู้ฝึกตนสามสำนัก!

และในบรรดาพวกเขานั้นก็มีห้ารายซึ่งสถานภาพไม่ได้เป็นที่ประหลาดใจแก่ผู้ฝึกตนจากสำนักทั้งสามเท่าไร ห้าคนนี้…ก็เป็นศิษย์จากสำนักทั้งสาม!

สือหลิงจื่อจากสำนักเหอเสียน เยว่หลิงจื่อจากสำนักเต๋าแห่งจังหวะดนตรี จงเหิงจื่อรวมถึงยิ่นสี่ และสุดท้ายแล้วก็คือเกราะขาวจากสำนักเหิงฉิน!

ในครั้งแรกสำนักเหิงฉินส่งศิษย์ทั้งสองรายเข้าร่วมการทดสอบนี้ ผู้หนึ่งก็คือปีศาจแดง อีกผู้หนึ่งคือเกราะขาว ทั้งคู่เป็นชายหนุ่มหล่อเหลางดงามเช่นกัน กระทั่งว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นไม่ได้เป็นความลับอะไร พวกเขาแม้มิใช่คู่เต๋าบำเพ็ญแต่ก็ความสัมพันธ์ดียิ่งกว่าคู่เต๋าบำเพ็ญเสียอีก

เพียงแต่ว่า..นักพรตปีศาจแดงทางด้านนั้นบังเอิญพบเข้ากับหวังเป่าเล่อจึงพ่ายแพ้ นี่ทำให้ศิษย์ทั้งหกซึ่งคาดว่ามีโอกาสเข้าสู่รอบแปดคนสุดท้ายได้ในตอนแรกนั้นไม่สัมฤทธิ์ผลแล้ว

หวังเป่าเล่อจึงเข้าแทนที่นักพรตปีศาจแดง กลายเป็นคนที่หกเข้าสู่ลำดับแปดผู้แข็งแกร่ง

นอกจากพวกเขาทั้งหกคนแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนอีกสองคน แม้ว่าจะไม่มีคะแนนเอาชนะนักพรตเต๋าเลย แต่พวกเขาก็อาศัยพละกำลังอันแกร่งกล้าไม่ด้อยกว่านักพรตเต๋า ชิงอันดับแปดคนสุดท้ายมา

แต่เปรียบเทียบกับชื่อเสียงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักของหวังเป่าเล่อแล้ว ชื่อเสียงของสองคนนี้นับว่าไม่ด้อยทีเดียว เพียงแค่ว่ากักตัวฝึกฝนมาหลายปี ดังนั้นแล้วผู้ที่จำพวกเขาได้ก็คือเหล่าศิษย์มีอายุ

คนทั้งสองนี้ หนึ่งมาจากสำนักเหิงฉิน อีกหนึ่งมาจากสำนักเต๋าแห่งจังหวะดนตรี อีกทั้งยังเป็นผู้พ่ายแพ้ในการแย่งชิงตำแหน่งเต๋ามาก่อนด้วย บัดนี้ผ่านไปหลายปี พวกเขาอุตสาหะพยายาม ทนความลำบากฝึกฝนก็เพื่อจะได้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง…

หลังจากที่ทั้งแปดคนปรากฏตัว ท่ามกลางสายตาของสามสำนักภายนอก ชิ้นส่วนเล็กเบื้องหน้าพวกเขาพลันหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นสนามประลองขนาดยักษ์

ในสนามประลองนี้ มีหอคอยสูงเสียดชั้นเมฆอยู่แปดหลัง หลังจากที่ส่องแสงสว่างแล้ว เงาร่างของพวกหวังเป่าเล่อทั้งแปดคนก็ถูกส่งไปยังหอคอยแตกต่างกัน

และเกือบจะในพริบตาที่ทั้งแปดมองเห็นอีกฝ่าย ต่างก็มีสีหน้าประหลาด หวังเป่าเล่อเองหรี่ตามอง เขามองเห็นเยว่หลิงจื่อที่โดดเด่นหาใดเปรียบ แล้วยังมองเห็นเยว่หลิงจื่อซึ่งกำลังจ้องศิษย์มีอายุที่บัดนี้กำลังลอยขึ้นมาเรื่อยๆ ของสำนักเต๋าแห่งจังหวะดนตรีคนนั้น

ดูท่าแล้ว…เหมือนว่าเขากำลังสงสัยว่าคนที่เจอกันเมื่อตอนต้นคงเป็นศิษย์อาวุโสผู้นี้

แล้วยังมีศิษย์จากสำนักเต๋าแห่งจังหวะดนตรีอีกสองคน ที่พิเศษอยู่คนหนึ่งนั้นคือผู้ฝึกตนอายุน้อยที่สวมชุดคลุมสีขาว ศีรษะไร้เส้นผม กระทั่งหัวคิ้วยังไม่มี คนผู้นี้เรียบนิ่งดุจน้ำ เขายืนอยู่ตรงนั้นหลอมรวมไปกับบรรยากาศรอบกาย เมื่อมองดูเขาแล้ว ทันใดนั้นในสมองก็จะได้ยินเสียงบทเพลงโบราณอมตะลอยขึ้นมา

ฉากนี้ ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อหดลีบ และในเวลาเดียวกัน คนอื่นๆ ก็ลอบสำรวจเช่นกัน โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อนับเป็นคนแปลกหน้าตรงนี้ พวกเขายิ่งให้ความสนใจมากหน่อย

ยิ่งไปกว่านั้น…เท่าที่คนกลุ่มนี้ทราบก็คือพวกเขาไม่ได้พบปีศาจแดง การที่ปีศาจแดงไม่ปรากฏตัวย่อมหมายความว่า ในบรรดาพวกเขามีคนกำจัดปีศาจแดงได้

ผู้ที่ทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่อาจประมาทได้สักนิด

และก็เพราะเหตุนี้เอง ผู้ที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงที่สุดในตอนนี้…ก็คือเกราะขาวของสำนักเหิงฉิน

เขาหันไปมองคนอื่นๆ อีกเจ็ดคนทันที เมื่อไม่พบเงาร่างของปีศาจแดงนั้น นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นชาคมปลาบ มองข้ามหวังเป่าเล่อและศิษย์อาวุโสอีกสองรายหันไปทางยิ่นสี่และเยว่หลิงจื่อ

 เป็นใครในพวกเจ้า ที่ทำให้ปีศาจแดงตกรอบกัน? 

เท่าที่เกราะขาวทราบ แม้ว่าปีศาจแดงจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ไม่ใช่พวกที่จะตกรอบไปแน่นอน ส่วนโอกาสที่เขาทำตัวเองตกรอบนั้นย่อมมีไม่มาก การเอาชนะปีศาจแดงจุดนี้ย่อมยากอย่างมาก ดังนั้นแล้วในบรรดาเจ็ดคนรอบตัว เขารู้สึกว่า…ผู้ที่สามารถทำได้มากสุด เกรงว่าจะมีแค่ยิ่นสี่และเยว่หลิงจื่อ

 ข้าไม่ได้พบเขา  ยิ่นสี่สีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะเอ่ยปาก

เมื่อเขาพูดออกมา เกราะขาวก็เชื่อทันที แม้เขาไม่เชื่อยิ่นสี่ แต่เขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ดังนั้นแล้วในพริบตานั้นเขาก็ทอดสายตามองไปยังตัวเยว่หลิงจื่อ ดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบรุนแรง

 ไม่เกี่ยวกับข้า  เยว่หลิงจื่อเอ่ยปากเย็นชา และไม่ได้สนใจท่าทางเป็นศัตรูของเกราะขาวเลย

เมื่อนางเอ่ยออกมาก็ทำให้เกราะขาวขมวดคิ้ว เขาเบนสายตาไปยังคนอื่นๆ รวมถึงตัวหวังเป่าเล่อและศิษย์อาวุโสสองคนตรงนั้น จิตสังหารในดวงตานั้นรุนแรงขึ้นช้าๆ

สองคนด้านหลังสีหน้าเรียบนิ่ง และไม่ได้เอ่ยสิ่งใด หวังเป่าเล่อคิดๆ แล้วก็หันมายิ้มกับเกราะขาวด้วยสายตาเป็นมิตร บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มนี้ค่อนข้างดูจริงใจ ดังนั้นแล้วสายตาของเกราะขาวจึงหันกลับไปมองศิษย์อาวุโสสองคนอีกครั้ง

และในยามนี้ ยังไม่ทันที่เกราะขาวจะได้ถาม สือหลิงจื่อจากสำนักเหอเสียนกลับอดถามก่อนไม่ได้ เขามองศิษย์อาวุโสจากสำนักเหิงฉินรายนั้น ก่อนจะกัดปากเอ่ยขึ้นมา

 เป็นเจ้าหรือไม่!! 

ประโยคนี้พูดไม่มีหางเสียง ฟังดูครั้งแรกยังคิดว่าเยว่หลิงจื่อช่วยเกราะขาวสอบถาม แต่มีเพียงหวังเป่าเล่อที่รู้…คำถามนี้แฝงความนัยลึกซึ้ง หลังจากคิดๆ แล้วสีหน้าของเขาก็ยิ่งรักษารอยยิ้มเป็นมิตร แล้วมองดูเรื่องวุ่นวายนี้

เพียงแค่ว่า…หอคอยทั้งแปดที่พวกเขาอยู่นี้ ไม่เหมือนบรรยากาศในสนามประลองอยู่บ้าง สถานที่แห่งนี้ได้จัดไว้โดยเฉพาะให้เป็นที่พบปะกันระหว่างแปดผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นแล้วเสียงจากภายในจึงไม่ตกอยู่ในข้อจำกัดของกฎ และได้ยินไปถึงภายนอก….

ดังนั้นแล้ว…จิตสังหารจากแววตาของเกราะขาวที่จับจ้องพวกหวังเป่าเล่อและรอยยิ้มอันเป็นมิตรของหวังเป่าเล่อนั้น ทำให้เหล่าศิษย์จากสำนักทั้งสามแต่ละคนล้วนแสดงสีหน้าประหลาด

 เจ้าหมอนี่… 

 เขาถึงกับกล้าปิดบัง… 

 หน้าไม่อาย!! 

ท่ามกลางการถกเถียงภายนอก หวังเป่าเล่อย่อมไม่ได้ยิน ยามนี้เขาจึงยิ้มมองเรื่องสนุก ทันใดนั้นพลันรู้สึกถึงบางอย่าง จึงแหงนหน้ามองไปยังตำแหน่งที่สองทางขวามือ เขามองเห็นดวงตาคู่นั้นของยิ่นสี่

ดวงตาคู่นี้มีระลอกคลื่นแห่งความประหลาดใจแฝงอยู่ และมันกำลังจ้องหวังเป่าเล่อ

 คนผู้นี้…น่าสนใจ  หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากสบตากับยิ่นสี่อยู่หลายขณะก็ค่อยเบนสายตากลับมา แล้วจากนั้น…การประลองรอบรองชนะเลิศของการทดสอบครั้งนี้ จึงได้เริ่มต้นขึ้น

หอคอยที่ทั้งแปดคนอยู่ล้วนพากันแผดแสงรุนแรง ในระหว่างนั้นแสงที่แผ่ออกมาก็ค่อยๆ ประสานทับกันระหว่างสองเส้น เช่นหวังเป่าเล่อทางด้านนี้ แสงจากหอคอยของเขานั้น ก็เริ่มผสานเข้ากับแสงของเยว่หลิงจื่อ

เมื่อประสานกันก็หมายถึงการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาแต่ละคนต้องเตรียมตัวให้ดี ลำดับถัดมานั้นคือการคัดเลือกสี่ผู้แข็งแกร่ง

แต่ว่ายามนี้…แสงจากหอคอยของเกราะขาวที่แต่เดิมนั้นกำลังจะผสานเข้ากับหอคอยของสือหลิงจื่อ เกราะขาวพลันแหงนหน้ามองไปยังท้องฟ้าพลางเอ่ยเสียงดัง

 เจ้าแห่งปรารถนาเสียง ข้ายินยอมละทิ้งลำดับหนึ่ง ขอแลกเป็นต่อสู้กับผู้ที่ทำให้ปีศาจแดงตกรอบ! 

 ขอเจ้าแห่งปรารถนาเสียงส่งเสริมด้วย! 

เมื่อเกราะขาวเอ่ยคำนี้ออกมา เหล่านักพรตจากทั้งสามสำนักก็เฝ้ารออย่างตื่นเต้น กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่เหลือแปดคนนั้นต่างก็หันหน้าไปมองอย่างสนใจใคร่รู้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเพียงผู้เดียวที่ถอนหายใจแล้วพึมพำประโยคหนึ่ง

 นี่มันขี้โกงชัดๆ… 

ด้วยความรวดเร็ว น้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับฟ้าผู้มีอำนาจก็ได้ก้องไปทั่ว

 อนุญาต ! 

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็มองแสงจากหอคอยตัวเองอย่างเบื่อหน่าย เขาเห็นมันถูกลากออกจากการผสานกับเยว่หลิงจื่อ ก่อนจะหันไปผสานกับทางเกราะขาวในพริบตาถัดมา

 ที่แท้แล้วเป็นเจ้า!!  เกราะขาวตวัดสายตามองหวังเป่าเล่อทันที จิตสังหารในดวงตานั้นเข้มข้น

………………………………………………………………….

 

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท