เยี่ยนจิงในเดือนแปด ดอกไม้เบ่งบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ต้นส้มที่อยู่ข้างเรือนหลิงฉยงซานกลับพึ่งออกผล ยังเป็นสีเขียวอยู่ ยืนมองลงมาจากเรือนหลิงฉยงซาน ภายใต้ต้นไม้เขียวขจี ต้องจ้องมองดีๆ ถึงจะมองเห็นได้
สืออีเหนียงอดพูดไม่ได้ว่า “เหตุใดถึงไม่รออีกสักหน่อย หากเก็บตอนนี้เกรงว่าจะทั้งเปรี้ยวทั้งขม”
สวีลิ่งอี๋สวมเสื้อสีน้ำตาลที่ทำจากผ้าซงเจียง กระโดดออกจากศาลาด้วยความคล่องแคล่ว “ที่จริงรออีกสองวันค่อยมาเก็บก็คงจะดีกว่า!” จากนั้นก็หันกลับไปมองบุตรชายที่ยืนอยู่บนเก้าอี้เหม่ยเหรินในศาลา “มา จิ่นเกอ!”
จิ่นเกอยิ้มพลางซบลงบนหลังของสวีลิ่งอี๋ด้วยใบหน้าเบิกบาน
สืออีเหนียงรีบหยิบเชือกผ้าสีฟ้าออกมา “เอามัดไว้…ท่านจะได้แบกจิ่นเกอไปที่ต้นส้มได้ จิ่นเกอจะกอดคอท่านไว้ได้ตลอดหรือไม่ก็ไม่รู้ กันไว้หากท่านไปถึงต้นส้มแล้วเผื่อมือจิ่นเกอจะลื่นเอาได้…”
จิ่นเกอบิดตัวไปมา “ข้ากอดคอท่านพ่อได้! ข้าไม่ตกลงไปหรอกขอรับ!”
“เชื่อฟังท่านแม่เถิด” ครั้งนี้สวีลิ่งอี๋กลับไม่ได้ปฏิเสธคำแนะนำของสืออีเหนียง รับเชือกผ้ามาผูกกับตัวจิ่นเกอไว้
จิ่นเกอบุ้ยปาก แต่กลับไม่กล้าปฏิเสธ
สืออีเหนียงมองลงไปที่ด้านล่างเขา
องครักษ์ได้กางตาข่ายออกเตรียมไว้แล้ว
นางพลันโล่งใจ
มีสาวใช้น้อยตะโกนเสียงดังว่า “ไท่ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋ต่างก็ประหลาดใจ
อวี้ป่านกับจื่อหงพยุงไท่ฮูหยินขึ้นมาอย่างเหนื่อยหอบ
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน” นางโมโหเล็กน้อย “หากไม่ใช่เพราะองครักษ์ลากตาข่ายเข้ามา จนเรือนในต้องคอยใช้ผ้าล้อมไว้มาตลอดทาง ข้าก็คงจะไม่รู้ว่าวันนี้พวกเจ้ามาจิ่นเกอมาเก็บส้ม!”
สืออีเหนียงรีบเข้าไปพยุงไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินตอบเพียง “อืม” ด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง พูดขึ้นมาว่า “แม้ว่าจะต้องรักษาคำมั่นสัญญา แต่พวกเจ้าก็ไม่ควรไม่คำนึงถึงถูกผิด ตอบตกลงทุกคำขอ อย่างไรก็ต้องแยกแยะถูกผิด ควรไม่ควรไม่ใช่หรือ ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าถ้าผมของจิ่นเกอขาดไปแม้แต่เส้นเดียว ข้าไม่ยกโทษให้พวกเจ้าเด็ดขาด” พูดพลางเดินไปที่เก้าอี้เหม่ยเหริน “เด็กดี!” ไท่ฮูหยินสีหน้าผ่อนคลายลง เกลี้ยกล่อมจิ่นเกอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ให้พ่อเจ้าไปเก็บให้เจ้า เจ้าไม่ต้องไป นั่งดูอยู่ตรงนี้กับท่านย่าก็พอแล้ว!”
“ข้าจะไปขอรับ!” จิ่นเกอออดอ้อนท่านย่า กอดสวีลิ่งอี๋ไว้แน่นจนทำให้สวีลิ่งอี๋รู้สึกอึดอัด ราวกับกลัวว่าจะมีคนมาอุ้มเขาออกจากสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋ถูกจิ่นเกอรัดคอไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก “ข้าจะไปเก็บส้ม”
สวีลิ่งอี๋รีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ไม่ต้องห่วงขอรับ ท่านดูสิข้ามัดจิ่นเกอไว้กับตัวข้าแล้ว!”
สืออีเหนียงก็ช่วยเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ “เมื่อวานท่านโหวลองมาเก็บส้มดูแล้ว จะไปอย่างไรในใจท่านโหวรู้ดี เป็นข้าที่ไม่วางใจ เอาแต่บ่น ท่านโหวจึงได้ให้บ่าวรับใช้เข้ามากางตาข่าย ท่านแม่ ท่านให้จิ่นเกอลองดูสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินก็ยังไม่วางใจ จิ่นเกอตะโกนเสียงดังว่า “ท่านย่า” แล้วพูดต่อว่า “ข้าบอกแล้วว่าจะไปเก็บส้มมาให้ท่านย่าถวายพระโพธิสัตว์ เมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ มิเช่นนั้นก็ไม่มีใครฟังคำข้าแล้วนะขอรับ”
วันหนึ่งเขาเล่นอยู่กับเซินเกออย่างสนุกสนาน เอาดาบไม้เล่มเล็กที่สวีลิ่งอี๋ให้เขามอบให้เซินเกอ พอผ่านไปสองวันก็รู้สึกเสียดาย ไปขอคืนกับเซินเกอ แต่เซินเกอไม่ให้ ไท่ฮูหยินก็เลยใช้ประโยคนี้สอนจิ่นเกอ คิดไม่ถึงว่าจิ่นเกอจะใช้คำพูดดังกล่าวมาบอกกับนาง
ไท่ฮูหยินทั้งตกใจทั้งชื่นชม มองดูบรรดาองครักษ์ที่ร่างกายกำยำที่อยู่เชิงเขา กัดฟันพลางพยักหน้า “เจ้าสี่ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้ากำลังแบกจิ่นเกออยู่!”
สวีลิ่งอี๋กลัวว่าหากพูดต่อไปอีกไท่ฮูหยินจะเปลี่ยนใจ จึงรีบรับปาก แบกจิ่นเกอแล้วค่อยๆ เดินลงไปทางต้นส้ม
******
เหวินจู๋เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยน้ำสาลี่หิมะที่เคี่ยวเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม เมื่อเห็นว่าสวีซื่ออวี้ยังอ่านหนังสืออยู่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวกำลังพาคุณชายน้อยหกไปเก็บส้มที่เรือนหลิงฉยงซาน คุณชายน้อยสองก็พักสักหน่อยแล้วไปร่วมสนุกด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
สวีซื่ออวี้พึ่งจะสอบเสร็จ กำลังรอประกาศผล
“ข้ายังทำการบ้านไม่เสร็จ” ท่านพ่อพาจิ่นเกอไปเก็บส้ม จิ่นเกอจะต้องดีใจมากแน่ๆ เมื่อคิดเช่นนี้มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย “รอข้าท่องสองสามหน้านี้ได้จนคล่องแล้วค่อยไป” พูดพลางรับน้ำสาลี่หิมะมาดื่ม จากนั้นก็เริ่มท่องหนังสือต่อ
เหวินจู๋เห็นดังนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุข
ตราบใดที่คุณชายน้อยสองตั้งใจอ่านหนังสือ คงมีสักวันที่สอบผ่านจอหงวน เช่นนั้นก็จะมีอนาคตแล้ว
นางเก็บของอย่างเงียบเชียบ แล้วค่อยๆ ถอยออกไป
******
“จริงหรือ!” สวีซื่อจุนลุกขึ้น มองหวังซู่ด้วยแววตาเปล่งประกาย “ท่านพ่อพาน้องหกไปเก็บส้มหรือ!” จากนั้นก็หันกลับไปดึงสวีซื่อเจี้ย “พวกเราก็ไปเก็บส้มกันเถอะ”
หวังซู่รีบห้ามสวีซื่อจุน “ที่นั่นสูงชันมาก ได้ยินว่าท่านโหวต้องให้องครักษ์มากางตาข่ายที่เชิงเขาโดยเฉพาะขอรับ!”
“เช่นนั้นก็ยิ่งต้องไปดู!” สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดว่า “คราวที่แล้วที่ท่านแม่พาน้องหกไปเก็บเกาลัด ก็กางตาข่ายไว้ใต้ต้นไม้ด้วย น้องหกเห็นดังนั้นก็รู้สึกสนุก จึงกระโดดจากต้นไม้ลงมาบนตาข่าย จนน้องหกกระเด้งขึ้นไปกลางอากาศ!” น้ำเสียงฟังดูอิจฉาเป็นอย่างมาก
“ไม่ได้!” สวีซื่อเจี้ยรีบพูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้นน้องหกทำท่านแม่ตกใจจนหน้าซีด…”
“ข้ารู้ ข้ารู้” สวีซื่อจุนยิ้มพลางปลอบน้องชาย “ข้าไม่ทำเหมือนน้องหกหรอก ข้าแค่จะไปดูเฉยๆ!”
สวีซื่อเจี้ยเองก็อยากไปดูเช่นกัน
บรรดาสาวใช้ หญิงสูงวัยและบ่าวรับใช้พากันห้อมล้อมทั้งสองคนไปที่เรือนใน
หวังซู่เดินตามหลังสวีซื่อจุนอย่างใกล้ชิด
มีบ่าวรับใช้กวักมือเรียกเขา
เขาหาโอกาสเดินไปหาอย่างรวดเร็ว
“มีเรื่องอันใด” ท่าทางร้อนใจเล็กน้อย
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเหลือบมองเขาด้วยความกลัวเล็กน้อย ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเรื่องของพี่เถาเฉิง…” พูดพลางยัดถุงเงินใส่ไว้ในอุ้งมือของเขา
หวังซู่โยนถุงเงินคืนให้บ่าวรับใช้ผู้นั้น “ผู้ดูแลเถาเป็นผู้ติดตามของมารดาคุณชายน้อยสี่ ทั้งยังดูแลทรัพย์สินของคุณชายน้อยสี่ หากอยากจะพบคุณชายน้อยสี่ก็ให้เข้ามาทางประตูหลักอย่างเปิดเผยก็พอแล้ว ยังจะต้องกลัวว่าจะมีใครกล้ามาห้ามไว้อีกหรือ ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายน้อยสี่เท่านั้น ไม่กล้ารับของของเจ้าไว้หรอก!” แล้วพูดต่ออีกว่า “ข้าเห็นแก่ว่าพวกเราเป็นคนบ้านเดียวกัน ครั้งนี้จะปล่อยผ่านไป แต่หากเจ้ายังทำเช่นนี้อีก ข้าเองก็กลัวว่าจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คงทำได้เพียงเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านโหวแล้ว!” พูดจบก็หันหลังแล้วเดินจากไป
บ่าวรับใช้ผู้นั้นโกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง มองเขาด้วยส่ายตาโกรธแค้นพลางถ่มน้ำลาย พูดขึ้นมาว่า “อะไรกัน!” แล้วเอาถุงเงินยัดเข้าไปในแขนเสื้อตัวเอง “เจ้าไม่เอา แต่ข้าเอา!”
******
มือหนึ่งของสวีลิ่งอี๋จับกิ่งไม้ที่อยู่ข้างๆ ส่วนอีกมือหนึ่งประคองจิ่นเกอเอาไว้ เดินเข้าไปในป่ารกอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็หยุดแล้วชี้ไปที่ต้นไม้ที่อยู่รอบๆ หันกลับมาพูดอะไรบางอย่างกับจิ่นเกออยู่เรื่อยๆ จิ่นเกอหมอบตัวอยู่บนหลังของบิดา ยืดคอมองไปที่ทิศทางที่สวีลิ่งอี๋ชี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที
ไท่ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้เหม่ยเหรินจับมือสืออีเหนียงไว้แน่น พูดพึมพำว่า “ต้นส้มพวกนี้เก็บไว้ไม่ได้แล้ว รอผ่านไปอีกสักหน่อยก็ให้คนมาตัดมันทิ้งให้หมด”
สืออีเหนียงยิ้มกลบเกลื่อน แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความกังวลในใจของนางได้ มองเงาของสองพ่อลูกตาไม่กะพริบ
เห็นสวีลิ่งอี๋ที่หลังจากเดินไปถึงต้นส้มแล้วก็แก้เชือกที่มัดเอาไว้ออก ให้จิ่นเกอนั่งอยู่บนไหล่ของเขา
ผลไม้ห้อยอยู่ต่อหน้าต่อตาจิ่นเกอ เขายิ้มจนดวงตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
เขาออกแรงดึงผลส้มบนต้นไม้
กิ่งไม้ที่โน้มลงมาดีดขึ้นไปอีกครั้ง ตีโดนหน้าเขา แต่เขากลับร้องอุทานอย่างร่าเริง
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็รู้สึกปวดใจ “เจ้าสี่ เหตุใดถึงไม่ช่วยดึงลงมาให้ลูกสักหน่อย หากตีโดนตรงไหนอีกจะทำอย่างไร”
สืออีเหนียงเองก็มองจิ่นเกออย่างเป็นห่วง
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยมาถึงแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางของจิ่นเกอ สวีซื่อจุนก็หัวเราะ
เขาโบกมือพลางตะโกนเรียกจิ่นเกอ
จิ่นเกอจับผมของสวีลิ่งอี๋ นั่งบนไหล่ของสวีลิ่งอี๋พลางหัวเราะคิกคัก
สวีซื่อจุนตะโกนบอกเขา “เจ้าเก็บให้ข้าด้วยสักสองสามลูก!”
“ได้เลยขอรับ!” จิ่นเกอพยักหน้าแล้วหันไปเก็บส้มต่อ
******
เหวินอี๋เหนียงโยนสะดึงในมือลงบนเตียงเตา แล้วล้มตัวลงบนเตียงเตาด้วยร่างกายที่อ่อนล้าไปทั่วทั้งตัว
“ข้าไม่ไหวแล้ว!” นางพูดพึมพำว่า “ปักผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนได้เงินเพียงสองตำลึง เมื่อก่อนใช้เวลาเท่ากันข้าสามารถทำเงินได้สิบตำลึง ไม่สิ สามารถทำได้ยี่สิบตำลึงเสียด้วยซ้ำ”
ซย่าหงปิดปากหัวเราะ “อี๋เหนียง ท่านออกไปเดินเล่นข้างนอกดีหรือไม่ ท่านโหวพาคุณชายน้อยหกไปเก็บส้มที่เรือนหลิงฉยงซาน คนในเรือนเราต่างก็พากันวิ่งไปดูความครึกครื้นที่ศาลาปี้อีเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “เฉียวอี๋เหนียงก็ไปด้วยหรือ”
“ไม่ได้ไปเจ้าค่ะ!” ซย่าหงพูดต่อไปว่า “ได้ยินมาว่าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เฉิงกั๋วกงได้ย้ายผู้คนทั้งหมดที่เคยอาศัยอยู่ในเรือนตะวันออกและตะวันตกไปอยู่ที่หมู่บ้านที่ชานเมือง สาวใช้และบ่าวรับใช้อันไหนลดได้ก็ลด อันไหนปล่อยได้ก็ปล่อย นายหญิงเฉียวเป็นหญิงม่ายแม้ว่านางจะอยู่ต่อ แต่ก็ย้ายไปอยู่เรือนที่สวนหลังจวนอันห่างไกล ข้างกายเหลือเพียงสาวใช้น้อยหนึ่งคน และผู้ดูแลหญิงคอยรับใช้หนึ่งคน เฉียวอี๋เหนียงรื้ออุปกรณ์ตัดเย็บและผ้าออกมาจากหีบ ช่วยกันทำอยู่กับซิ่วหยวนทั้งวันทั้งคืน อยากจะช่วยทำเสื้อผ้าสี่ฤดูให้นายหญิงเฉียว ช่วงนี้ก็เลยไม่ได้ไปไหนเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจ
******
จิ่นเกอเทส้มลงบนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหมสู่จิ่น
มีส้มสีเขียวกลิ้งตกลงมา
อวี้ป่าน จื่อหง จู๋เซียงรีบเข้าไปเก็บส้ม
จิ่นเกอยืนเลือกอยู่บนเก้าอี้อยู่นานกว่าจะเลือกลูกใหญ่ได้หนึ่งลูก กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปหาไท่ฮูหยิน “ท่านย่ากินส้มสิขอรับ!”
“ไอ๊หยา!” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างมีความสุขพลางหอมแก้มจิ่นเกอ
จิ่นเกอกลับไปเลือกอีกสองลูก ให้สวีซื่อจุนหนึ่งลูก ให้สวีซื่อเจี้ยอีกหนึ่งลูก พูดขึ้นมาว่า “ท่านพี่กินส้มสิขอรับ” จากนั้นเขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ หยิบส้มมาหนึ่งผล แกะเปลือกออกแล้วเอาเข้าปาก
คนในห้องเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะ
เห็นว่าจิ่นเกอขมวดคิ้วอุทาน “แหวะ” แล้วคายส้มออกมา
“เปรี้ยวมาก เปรี้ยวมาก!” เขากุมแก้มพลางกระทืบเท้า ทำเอาจู๋เซียงตกใจจนหน้าซีด รีบเข้าไปพยุงเก้าอี้ เขากลับกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปที่ประตู
“ท่านแม่ ท่านแม่” เขามุดเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียงที่กำลังปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า “ส้มไม่อร่อยเลยขอรับ!”
ไม่ต้องบอกก็รู้
ผลไม้จะอร่อยหรือไม่อร่อยล้วนเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ดิน และการแพร่กระจายของละอองเกสรดอกไม้ ที่นั้นมีต้นส้มเพียงไม่กี่ต้น หลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ดีขนาดไหนก็ยากที่จะได้ส้มที่ดี
สืออีเหนียงยิ้มพลางโอบกอดจิ่นเกอ “เราใช้น้ำสะอาดป้วนปากกันเถิด!”
จิ่นเกอพยักหน้า ดวงตาหงส์กลมโตเปล่งประกาย ท่าทางเศร้าใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ที่เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าไหมพื้นสีน้ำเงินเดินอยู่ข้างๆ สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็อดพูดไม่ได้ว่า “ดูสิว่าเจ้ายังจะงอแงอยากไปเก็บส้มอีกหรือไม่!”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ตำหนิว่า “เด็กก็พึ่งจะได้รับบทเรียนมา เจ้ายังไปหยอกล้อเขาอีก” พูดพลางกวักมือเรียกจิ่นเกอ “มา มาหาย่าเร็วเข้า”