หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1411 ยิ่นสี่ (องก์ 2)

บทที่ 1411 ยิ่นสี่ (องก์ 2)
ไม่นานร่องรอยสุดท้ายของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงภายในร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีก็ถูกหวังเป่าเล่อกลืนกิน ร่างอวตารเจ้าปรารถนาเสียงตรงหน้ากายสั่นเทิ้มทันที จากนั้นจึงกลายเป็นไอลอยไป
ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียงมลายไปชั่วนิรันดร์ ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ก็ถูกฉีกขาดไปมากกว่าสามส่วนตลอดกาล นางไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป
และที่สำคัญที่สุดก็คือ…อำนาจที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมอบให้แก่เจ้าปรารถนาเสียงนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปป ไม่ได้เป็นของเจ้าปรารถนาเสียงแต่ผู้เดียวอีกแล้ว แต่แบ่งปันมันร่วมกับ…หวังเป่าเล่อ
กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของหวังเป่าเล่อเกือบจะสมบูรณ์
ในระดับหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า เขาเป็นเจ้าปรารถนาเสียงแล้วครึ่งหนึ่ง
“ไม่!!” ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียงที่ด้านนอกแผดเสียงคำราม ต่างก็ได้รับแรงสะท้อนกลับกระอักเลือดสดๆ ออกมา และในขณะเดียวกันที่ด้านนอกปากภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ในดวงตาของยิ่นสี่ฉายแววเศร้าโศก มหาศิษย์เต๋าคนอื่นๆ ที่ถูกเขาขัดขวาง ต่างก็ไม่พยายามลงมืออีก ท่ามกลางอารมณ์ที่ขมขื่นนั้น ยังมีมีความงงงันอยู่บ้าง
จากนั้น…ก็มีเสียงจากปากภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ดังก้องไปทั้งโลกปรารถนาเสียง
“ผนึกแห่งสุข ปลดปล่อย”
เกือบจะในทันทีที่คำกล่าวของหวังเป่าเล่อเปล่งออกมา คนนอกก็ไม่อาจเข้าไปย่างกรายได้ และไม่อาจมองเห็นภายในโลกแห่งเสียงอีก ตอนนั้นเองปรากฏเกี้ยวแดงหกหลังขึ้นหกจุด เวลานี้เกี้ยวเหล่านั้นก็สั่นสะท้านขึ้นพร้อมกัน
สีแดงโลหิตของมันจางลงอย่างรวดเร็ว ความเน่าเสียแผ่กระจายไปบนตัวมัน พริบตาเดียว เกี้ยวทั้งหกก็ไม่เป็นสีเลือดอีกต่อไป จากนั้นจึงกลายเป็นเถ้าปลิวไปทีละน้อย
ในไม่ช้า มือซ้ายก็หลุดพ้น ตามด้วยมือขวา สองขา และร่างกาย…กระทั่งเกี้ยวที่ศีรษะของเจ้าแห่งสุขอยู่ หลังจากสลายไปกับสายลมแล้ว ดวงตาของเจ้าแห่งสุขก็ลืมขึ้น
ทันทีที่ลืมตาขึ้น ร่างที่ถูกกระจายไปของนาง ก็ส่งเสียงร้องมาจากทุกทิศทาง ตรงเข้าไปใกล้ ประกอบรวมเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นร่างขึ้นมา
งามสง่าหาใดเปรียบได้!
เสื้อคลุมยาวสีแดงทั้งร่าง รูปลักษณ์งดงาม ทำให้เวลานี้เจ้าแห่งสุข คล้ายจะโดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวในโลกผืนนี้
“ยังไม่สมบูรณ์” เจ้าแห่งสุขที่ยืนอยู่ตรงนั้น สูดหายใจเข้าลึก ยกมือซ้ายของตนขึ้นดู
มือซ้ายของนางเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นนิ้วมือทั้งห้าที่สมบูรณ์แบบ แต่ทันทีที่กล่าวออกมา มือซ้ายของนางก็ยกขึ้น แล้วชี้ไปยังความว่างเปล่า ทันใดนั้นเอง…
ด้านนอกโลกแห่งเสียง และนอกปากภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ร่างยิ่นสี่ที่ยืนขวางทางกลุ่มมหาศิษย์แห่งเต๋าก็ตัวสั่นสะท้าน เมื่อเงยหน้าขึ้น นิ้วหนึ่ง…ก็บินออกจากหว่างคิ้วของเขา และหายไปในทันที
ยิ่นสี่คล้ายกับหมดเรี่ยวแรง ตามนิ้วที่หายไป ทว่าแววตากลับเป็นเช่นเดิม ยังคงยืนหยัดอยู่อย่างดื้อรั้น เพื่อทำภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น
เดิมทีเขา นามของเขาไม่ใช่ยิ่นสี่
เขาจำได้หลายปีก่อน ตอนที่ตนยังไม่ได้ปลุกความทรงจำในอดีต มีวันหนึ่งที่เจ้าปรารถนาเสียงเรียกเขาเข้าพบ แล้วผนึกนิ้วหนึ่งไว้ในร่างของเขา จากนั้นก็ได้มอบสมญานามเต๋าแก่เขา
ยิ่นสี่
เขาไม่อาจลืมมันได้ไปชั่วชีวิต เมื่อนิ้วได้หลอมรวมเข้าสู่หว่างคิ้วของตนนั้น เสียงพึมพำของเจ้าปรารถนาเสียงก็ดังก้องอยู่ในสมองของเขาด้วย
“มีเพียงยืมพลังของเจ้าแห่งสุขเท่านั้น ข้าจึงจะสามารถมีช่วงเวลาการฟื้นตื่นได้ ต่อไปข้าจะยังคงจมอยู่ในภวังค์ ไม่อาจจำการสั่งเสียนี้กับเจ้าได้ เจ้า…เป็นศิษย์ผู้เดียวของข้า อดีตชาติก็เป็น ชาตินี้ก็เป็น…”
“เจ้าต้องจำไว้ว่า หากมีวันหนึ่ง เจ้าฟื้นตื่นแล้วและถูกผลกระทบ เช่นนั้นก็จงทำตามใจของเจ้า จะผนึกข้าไว้ก็ดี กำราบไว้ก็ดี หรือทำลายก็ดี…อาจารย์..ต้องการหลุดพ้น”
“อาจารย์…” ภาพในความทรงจำลอยอยู่ในจิตใจของยิ่นสี่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ร่างของเขายังคงสั่นเทา เสียงก็เป็นเช่นเดียวกัน มีเพียงดวงตาทั้งคู่ ที่ยังคงแน่วแน่
ส่วนนิ้วนั้น หลังจากที่หายไป พลังประหลาดวูบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ ผู้ฝึกตนเจ็ดอารมณ์ทั้งหมด ล้วนล่าถอยทันทีและกลับไปที่ประตูแสง แต่ผู้ฝึกตนของสามสำนักแต่ละคนร่างกายสั่นเทา ไม่อาจควบคุมรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าได้
ขณะเดียวกันความยินดีก็ปรากฏไปทั้งสนามรบ สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ ก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ทำให้สองร่างอวตารของเจ้าปรารถนาเสียง มาสมทบกันด้วยสีหน้ายากบรรยาย มองไปทางความว่างเปล่าที่ไกลออกไป
หวังเป่าเล่อก็เป็นเช่นนี้ ร่างของเขาได้สลายไปภายในปากภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรีแล้ว และเมื่อปรากฏตัวขึ้น…เขาก็ลอยอยู่กลางอากาศ ขณะที่มองทั้งหมดนี้ ก็สังเกตเห็นว่าสายตาร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียงกำลังจ้องมองอยู่ ความเกลียดชังจากนัยน์ตานั้น ได้เคลื่อนย้ายทั้งหมดมาที่ร่างของตน
จากนั้น…ในความว่างเปล่าที่เขาเห็นทั้งหมด เงาร่างสีแดงสายหนึ่ง ก็ค่อยๆ เผยเค้าร่างออกมา เด่นชัดขึ้นทีละน้อย และท้ายที่สุดก็กลายเป็นร่างงามสง่าหาใดเทียบเทียม
“เจ้าแห่งสุข!” ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียง กล่าวขึ้นพร้อมกัน ท่าทีเต็มไปด้วยความโกรธ
แต่กลับกันท่าทีของเจ้าแห่งสุข นางถูกผนึกแยกส่วนมาหลายปีเช่นนี้ เวลานี้หลังจากผ่านพ้นความยากลำบากกลับไม่ได้มีความขุ่นเคืองต่อเจ้าปรารถนาเสียงแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม…ดวงตากลับสับสนอยู่บ้าง
“เจ้าลืมไปว่า ปีนั้น…เจ้าเชิญข้ามาช่วยเจ้า…”
ทันทีที่กล่าวออกมา หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็หรี่ตาลง สำหรับเจ้าปรารถนาเสียงนั้นนั้น กลับเกิดรอยยิ้มเศร้าสร้อย
“เหลวไหล!” กล่าวพลาง ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียงก็หลอมรวมเข้าด้วยกันในทันที พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงอันทรงพลัง ปะทุขึ้นเทียมฟ้า
เดิมทีท้องนภา ณ เวลานี้ ราตรีกาลกำลังจะผ่านพ้นไป ทว่า ด้วยการหลอมรวมของร่างอวตารงเจ้าปรารถนาเสียง ม่านหมอกแห่งความมืดก็ครอบคลุมไปทั่วสารทิศ ทำให้ค่ำคืนยังคงดำเนินต่อไปได้
และขณะดำเนินต่อไปนี้เอง ดวงจิตสายหนึ่งที่มาจากโลกบน ราวกับว่ารับรู้ได้ มันแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณอย่างเงียบเชียบ
นี่คือวิธีการช่วยตนเองครั้งสุดท้ายของเจ้าปรารถนาเสียง นางต้องนำทุกอย่างที่นี่ประกาศออกไป มิใช่เพื่อจะจับเป็นหวังเป่าเล่อ แต่เพื่อตัวนางเอง
นางรู้ดีว่า ด้วยสภาพของตนเองในตอนนี้ การเผชิญกับเจ็ดอารมณ์ทั้งสี่รวมทั้งคนนอกที่ช่วงชิงอำนาจของนางนั้น นางไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกแล้ว หากไม่ช่วยตนเอง เช่นนั้นมีความเป็นไปได้ว่านางอาจสิ้นสูญที่นี่ได้
หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้า นางคงไม่หวาดหวั่น เพราะนางจะไม่มีวันสิ้นสูญ อย่างมากก็เพียงถูกผนึกเท่านั้น แต่ตอนนี้…การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อนั้นต่างออกไป นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เป็นเจ้าปรารถนาเสียงมา เป็นครั้งแรก…ที่นางสัมผัสถึงวิกฤตของความเป็นความตาย
ดังนั้น นางต้องป่าวประกาศสาส์นนี้ออกไป แม้สาส์นนี้อาจถูกขัดขวาง แต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในโลกาชั้นสองไม่มีทางปกปิดได้แน่
ขอเพียงค่ำคืนของเมืองปรารถนาเสียงไม่หายไปตามสถานการณ์ปกติ แต่ดำเนินต่อไป เช่นนั้น…ก็จะดึงดูดความสนใจของอาณาจักรด้านบนได้แน่นอน
ความสนใจนี้ก็จะนับเป็นการช่วยเหลือตนเองของนาง
กล่าวได้ว่า สิ่งนี้ได้ผลอย่างยิ่ง สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ต่างหน้าเปลี่ยนสี มีเพียงเจ้าแห่งสุขที่สีหน้ายังคงเป็นปกติ เพียงเหลือบมองเจ้าปรารถนาเสียงอย่างลึกซึ้ง แล้วถอนหายใจเบาๆ หันกายแล้วพุ่งตรงไปที่ประตูแสงในทันที
สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ก็เหาะออกไปเช่นกัน ยังมีผู้หนึ่งที่กระโดดขึ้นปากภูเขาไฟในยามนี้ นั่นคือยิ่นสี่ เขามองไปที่อาจารย์ด้วยแววตาสับสน จากนั้นก็ตามเจ้าแห่งสุข แล้วเหาะไปทางประตูแสง
ด้านหวังเป่าเล่อ หลังจากกะพริบตาปริบๆ กลับไม่ได้ตามออกไปด้วย ร่างกายของเขาเลือนราง ตอนนี้เขาเป็นกึ่งเจ้าปรารถนาเสียงแล้ว หากคิดจะหนีออกจากที่นี่ นั่นไม่ใช่เรื่องยาก
อีกอย่างเจ้าแห่งสุขก็ไม่ได้เรียกหาหวังเป่าเล่อ ราวกับนางมองไม่เห็น นางหลอมรวมเข้าไปภายในประตูแสงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับผู้ฝึกตนเจ็ดอารมณ์อื่นๆ ในขณะที่ดวงจิตที่มาจากอาณาจักรด้านบนยิ่งแข็งกล้าขึ้นเรื่อยๆ เจ้าแห่งสุขก็ย่างเข้าสู่ภายในประตูแล้วอันตรธานหายไป
ท้ายที่สุดประตูแสงก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง ที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในกระบวนการทั้งหมดนี้ เจ้าปรารถนาเสียงยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้ายากจะบรรยาย ไม่ได้ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเห็นลำแสงไกลออกไปแล้ว นางก็กวาดมองไปทั่วสารทิศอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว จึงได้กระอักเลือดออกมาเต็มปาก ร่างกายไม่อาจยืนหยัดหลอมรวมอยู่ได้ แล้วกระจายออกเป็นร่างอวตารทั้งสองร่างใหม่ แต่ละร่างนั้นเหี่ยวแห้งพุ่งตรงไปที่ภูเขาไฟสำนักเหิงฉินและสำนักเหอเสียน เพื่อกักตนรักษาอาการบาดเจ็บ
ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บในครั้งนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท