คำว่า ‘ส่ง’ ยังดูสวยหรูเกินไปด้วยซ้ำ สัตว์อสูรสองตนยืนขนาบนางเอาไว้ทั้งจากข้างหน้าและข้างหลัง นางดูเหมือนคนที่กำลังถูกคุมตัวและเนรเทศมากกว่า
เมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กำมือแน่นพร้อมกับหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วบอกกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า “ถ้าท่านทำเช่นนี้เพราะเรื่องมงกุฎ ข้าซ่อมมันจนใกล้เสร็จแล้ว”
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเมินเฉยต่อนางราวกับได้ตัดสินใจไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยบรรยากาศเย็นเยียบ เครื่องหน้างดงามลึกล้ำราวกับมีดอันคมกริบ บรรยากาศที่แผ่ออกมาทั่วร่างทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาในระยะหนึ่งช่วงแขน เขาสั่งว่า “ส่งตัวนางกลับไป”
“พ่ะย่ะค่ะ” สัตว์อสูรพวกนั้นไม่เปิดโอกาสให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้พูดอะไรอีก เพราะเมื่อดูจากปฏิกิริยาของฝ่าบาทแล้ว เขาดูจะเกลียดชังผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างยิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่าเขาไม่ค่อยมีความอดทนต่อสิ่งที่เขาไม่ชอบ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกันนั้นจากเขา…
อกของนางบีบรัดด้วยความเจ็บปวดมหาศาลราวกับถูกเข็มทิ่มแทงไปทั่ว
ดอกปี่อั้นหลายพันดอกเริงระบำอยู่ในสายลมเอื่อย กลิ่นหอมจางๆ จากดอกไม้พวกนั้นลอยอบอวลอยู่รอบตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับความรู้สึกสิ้นหวัง หากบอกว่านางไม่เสียใจก็คงจะเป็นเรื่องโกหก
แต่ความเศร้าโศกเสียใจไม่อาจแก้ปัญหาใดได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองท้องพระโรงที่ไกลออกไปทีละก้าว
ในที่สุดนางก็ตัดสินใจที่จะตอบโต้ นางหรี่ตาลงและเล็งไปที่เป้าหมาย จากนั้นจึงยกขาเรียวยาวของตัวเองขึ้นถีบเข้าที่ใบหน้าของสัตว์อสูรที่กำลังพานางออกจากเมืองด้วยความชำนาญ
โครม!
การเคลื่อนไหวอันรุนแรงนั้นย่อมเรียกความสนใจจากสัตว์อสูรอีกตนที่อยู่ด้านหน้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทันทีที่สัตว์อสูรตนนั้นกำลังจะหันกลับมา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เตะเข้าที่ข้างลำตัวของมัน ลูกเตะนั้นส่งให้สัตว์อสูรลอยไปไกลหลายฉื่อ
สัตว์อสูรทั้งสองถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเพราะไม่เคยเห็นหญิงใดมีฝีมือการต่อสู้เก่งกาจเช่นนี้มาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มลง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่อยากทำร้ายพวกเจ้าเพราะพวกเจ้าเป็นคนของเขา แต่ข้าจะกลับไปคนเดียวแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นข้าคงต้องขอให้พวกเจ้าหลับไปสักพักก็แล้วกัน”
ทันทีที่พูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ลงมือจัดการสัตว์อสูรเหล่านั้นด้วยตัวคนเดียวจนพวกมันหมดสติไปในที่สุด นางจับหนึ่งในสัตว์อสูรเหล่านั้นถอดชุดออก เพื่อปลอมเป็นพวกมันและกลับไปที่วังปีศาจโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
นางไม่รู้ว่าทำไมไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถึงต้องการที่จะส่งนางกลับอย่างกะทันหัน
ลางสังหรณ์ของนางบอกนางว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น และสาเหตุของมันไม่ได้มาจากเรื่องมงกุฎเพียงอย่างเดียว
…
เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วพระราชวังอันว่างเปล่า
“ฝ่าบาท พิธีคัดเลือกราชินีกำลังจะเริ่มแล้ว นี่เป็นชุดที่บรรดาแม่มดเตรียมไว้ให้ท่านขอรับ” ชิงหลงเดินเข้ามาพร้อมกับชุดสีดำประดับอัญมณีสีเข้มราวกับน้ำหมึก
อัญมณีพวกนั้นเป็นชนิดเดียวกันกับแหวนที่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ในแดนปีศาจ ยิ่งอัญมณีมีสีเข้มเพียงใด พลังเวทของมันก็ยิ่งลึกลับมากขึ้นเท่านั้น
นายท่านมักจะเก็บแหวนวงนี้เอาไว้ในที่ปลอดภัยมาโดยตลอด แม้กระทั่งชิงหลงเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เป็นนายถึงคิดที่จะนำมันออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองอัญมณีที่ส่องแสงอยู่บนแหวนที่นิ้วหัวแม่มือ สีหน้าของเขากลับมาสงบดังเดิม จากนั้นจึงประกาศว่า “แจ้งพวกเขาซะว่าจะไม่มีพิธีการใดๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น”
คงไม่มีใครคิดกระมังว่าครั้งหนึ่งเขาเคยโง่พอที่จะมอบอัญมณีอันล้ำค่าของตัวเองให้กับมนุษย์
เขาอยากให้ทั่วทั้งแดนปีศาจได้รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นมากกว่าเหยื่อธรรมดาตัวหนึ่ง
แต่ผลสุดท้าย…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเยาะยิ้ม มุมปากของเขาหยักขึ้นเล็กน้อย “กิเลน ออกไปนอกเมืองแล้วตรงไปที่แม่น้ำหมิง นำคำสั่งของข้าไปแจ้งกับพวกเขาว่าห้ามมิให้ผู้ใดออกไปจากแดนปีศาจ”
“ขอรับ” กิเลนอัคคีรับคำสั่งด้วยความเคารพ แม้ลึกลงไปในใจนั้นเขาจะคิดว่าฝ่าบาทเสียสติไปแล้วก็ตาม เขาเป็นคนที่ต้องการให้ส่งมนุษย์คนนั้นกลับไปที่โลกมนุษย์ แต่ตอนนี้เขากลับไม่อนุญาตให้ใครออกไปจากแดนปีศาจ เห็นได้ชัดว่าเขาก็แค่ไม่อยากให้คุณหนูเวยเวยไปจากที่นี่!
“แล้วคุณหนูเวยเวยล่ะขอรับ” ต่อให้กิเลนอัคคีจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นดี แต่มันก็ยังต้องการความมั่นใจว่าสุดท้ายมันจะไม่ถูกผู้เป็นนายลงโทษด้วยอาหารพิเศษเพราะเรื่องนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวเท้าเดินอย่างไม่รีบร้อนพลางตอบว่า “ข้าปล่อยนางไปก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นางจะออกไปได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
นายท่าน... ท่านไร้ยางอายถึงเพียงนี้เชียวหรือขอรับ!
“ไปได้แล้ว! เจ้าอยากให้ข้าเพิ่มหัวไชเท้าให้เจ้ากินหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองกิเลนอัคคีอย่างไร้อารมณ์ เปลวเพลิงของกิเลนอัคคีสะท้อนอยู่บนใบหน้าของเขา ขับเน้นให้เครื่องหน้าอันสมบูรณ์แบบนั้นยิ่งดูอันตราย
กิเลนอัคคีไม่กล้าอืดอาดแม้แต่วินาทีเดียว มันแปลงร่างแล้วรีบบินไปที่คูเมืองทันที แต่ผ่านไปหนึ่งก้านธูปมันก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของเฮ่อเหลียนเวยเวย สุดท้ายมันจึงอัญเชิญสัตว์อสูรสองตัวนั้นออกมา เมื่อเห็นรอยฟกช้ำที่อยู่บนใบหน้าของพวกมัน กิเลนอัคคีก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“คุณหนูเวยเวยอยู่ที่ไหน” กิเลนอัคคีถามด้วยความหวาดกลัว หวังว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่มันคิด ไม่อย่างนั้นนายท่านได้ฆ่ามันแน่!
สัตว์อสูรพวกนั้นยังอยู่ในอาการสับสน พวกมันมองไปทางซ้ายทีขวาทีก่อนจะตอบเสียงเบาว่า “ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายพวกข้า จากนั้นก็หายตัวไปขอรับ!”
“ลูกพี่ ท่านคิดว่านางหนีไปแล้วหรือเปล่าขอรับ!?” หนึ่งในสัตว์อสูรถามขึ้น
“พวกข้าไม่ได้คิดที่จะกินนางเสียหน่อย ทำไมนางต้องหนีด้วย?!” สัตว์อสูรอีกตัวบอก
กิเลนอัคคีเริ่มรู้สึกปวดหัวเมื่อได้ฟังบทสนทนาระหว่างสัตว์อสูรทั้งสอง มันคิดกับตัวเองว่า แย่ล่ะ จบสิ้นแล้ว คราวนี้พวกมันได้ตายจริงๆ แน่!
หากพิจารณาจากการกระทำของฝ่าบาทแล้วละก็ เขาย่อมไม่ได้มีเจตนาที่จะปล่อยคุณหนูเวยเวยไปอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้คุณหนูเวยเวยกลับไปจากที่นี่เสียแล้ว! แล้วจะอธิบายกับองค์ราชาอย่างไรดีล่ะ!
ที่วังปีศาจ ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงเสพสุขสำราญอยู่ในค่ำคืนอันเงียบสงัด
จะมีก็แต่ร่างเพรียวสูงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เท่านั้นที่กำลังหมุนแก้วในมือเล่นด้วยดวงตาเหม่อลอย
กิเลนอัคคีรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มันพยายามสรรหาข้อแก้ตัวดีๆ มารายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นนายฟัง “นายท่าน ข้าหาตัวคุณหนูเวยเวยไม่เจอขอรับ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าหาตัวนางไม่เจอ” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเยือกเย็นเหมือนที่เขาพูดในเวลาปกติ และนั่นทำให้กิเลนอัคคีกล้าเล่าความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง “คุณหนูเวยเวยทำร้ายสัตว์อสูรสองตนนั้นแล้วหายตัวไปขอรับ บางที… นางอาจจะหนีไปแล้ว”
นางหนีไปแล้วหรือ
ทันใดนั้นรอบตัวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เหมือนมีกำแพงน้ำแข็งอันยากจะทำลายปรากฏขึ้น เขากระตุกมุมปากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาปราศจากอารมณ์ แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเย็นชาสุดขีด ทันทีที่เขาตวัดสายตากดดันมามองกิเลนอัคคี มันก็รู้สึกเสียววาบไปทั้งหนังศีรษะ กิเลนอัคคีก้มหน้าลงด้วยความกลัว
ในเวลานี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงนึกถึงสิ่งที่เขาได้ยินตอนอยู่ในคุกขึ้นมาได้
คนที่ประมาทคือเขาเอง
นางวิ่งไล่ตามเขา แสดงออกว่ารักเขามาอย่างเนิ่นนาน เขาถึงกับคิดจริงๆ ว่านางรักเขา และไม่อยากไปจากที่นี่ แต่ชายที่นางรักจริงๆ นั้นกลับไม่ใช่เขา…
ลมหายใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเริ่มแรงขึ้นเมื่อเขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่ชายที่นางรัก เขากำสิ่งเดียวที่อยู่ในมือของตัวเองแน่น
เพล้ง!
เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับแก้วที่แตกออกเป็นเสี่ยง
แก้วในมือแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ในมือของเขา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
กิเลนอัคคีตื่นตระหนก แต่มันก็หวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้ชายผู้โกรธเกรี้ยว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเช็ดเลือดที่เปื้อนอยู่บนนิ้วอย่างสง่างาม แล้วเดินออกไปจากห้อง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอันเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้นหรือ