ผ่านไปเนิ่นนานสีหน้าหวังเป่าเล่อถึงกลับมาเป็นปกติ ดวงจิตเทพยังคงไม่สามารถกำหนดเป้าอีกฝ่ายได้ แต่เขาสัมผัสได้ว่าหากเกิดเรื่องแบบนี้หลายๆ ครั้ง ตนก็จะตามหาเบาะแสได้อย่างแน่นอน
“เกิดการต่อต้าน แสดงว่าการหลอมรวมของข้ายังไม่สมบูรณ์…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะใช้เคล็ดวิชาครองร่างกลับคืนอีกครั้งเพื่อเริ่มหลอมรวมร่างกายใหม่
เป็นเช่นนี้จนหนึ่งวันผ่านไป
เวลาเดียวกันจู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น สีหน้าพลันซีดขาว พลังต่อต้านแบบเดิมระเบิดขึ้นอีกครั้ง ครานี้แม้เขาจะสะกดวิญญาณเทพไว้แน่นหนาแล้ว แต่ก็ยังถูกขับออกไปสามส่วน อีกทั้งระยะเวลายังเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่หนึ่งชั่วยามแต่เพิ่มเป็นหนึ่งเท่าตัวหรือสองชั่วยามนั่นเอง
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ณ เวลานี้คงจะรับไม่ไหวและคงถูกขับออกจากร่างกายไปแล้ว แต่หวังเป่าเล่อนั้นมีความโดดเด่น ครั้งนี้เขาก็ยังคงยืนหยัดจนถึงสองชั่วยาม
หลังจากพลังต่อต้านหายไป หวังเป่าเล่อกายสั่นเทาเกือบล้มลง สีหน้ายิ่งขาวซีด ความโกรธในดวงตาก็ปะทุขึ้นอย่างไม่อาจปกปิด เขาแผ่ดวงจิตเทพออกค้นหาอีกครั้ง
แต่…ก็ยังคงไม่พบอะไร
“เว้นแต่ว่าข้าจะค้นหาตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ตอนที่ถูกต่อต้าน…ดูจากสถานการณ์เมื่อวานและวันนี้แล้ว พรุ่งนี้เวลาเดิมก็คงเกิดขึ้นอีก” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก เขาไม่มีเวลาออกไปไหน ตอนนี้ทั้งร่างกายและจิตใจจมดิ่งอยู่กับการหลอมรวมอย่างเต็มที่
เขามีลางสังหรณ์ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ระยะเวลาของพลังต่อต้านอาจยาวนานถึง 20 ชั่วยาม หากเวลานั้นมาถึงตนคงทนรับไม่ไหวและถูกขับไล่ออกจากร่างกายนี้ กลายเป็นดวงวิญญาณเทพแน่นอน
แบบนี้ไม่เพียงสูญเสียทุกสิ่งที่ช่วงชิงมา เขาจะสูญเสียสิ่งที่เขาครอบครองอยู่ก่อนแล้วด้วย
นั่นเป็นเรื่องที่หวังเป่าเล่อรับไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนี้ทุกครั้งที่ร่างกายเกิดการต่อต้าน เดิมทีเขาคิดว่าการหลอมรวมอย่างสมบูรณ์จะนำไปสู่จุดที่เข้ากันไม่ได้ที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่ทุกครั้งที่นำจุดที่เข้ากันไม่ได้นี้มาหลอมรวมกัน เขากลับควบคุมร่างกายนี้ได้ดีขึ้น
“ก็ดีเหมือนกัน!” ขณะหวังเป่าเล่อหลับตา ตบะในร่างพลันไหลเวียนอย่างเต็มที่จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งวัน เวลาเดิมของวันที่สาม ในชั่วพริบตาก่อนที่มันจะมาถึง หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น ดวงตาแน่วแน่ เตรียมพร้อมอย่างดี
พริบตาต่อมาพลังต่อต้านก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้หวังเป่าเล่อสะกดไปพลางควบคุมจิตใต้สำนึกอย่างยากลำบากเพื่อจะออกค้นหา แต่กลับไม่สามารถทำได้
ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถมอบหมายให้เป็นหน้าที่พวกเจ้าแห่งสุขเช่นกัน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถสัมผัสเชื่อมต่อได้ แต่สภาพในตอนนี้ของตนไม่อาจวอกแวกได้เลย ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงระงับความหงุดหงิดใจไว้และพยายามสะกดการต่อต้านอย่างเต็มที่
ครั้งนี้พลังต่อต้านกินเวลาไปถึงสามชั่วยาม นั่นทำให้หวังเป่าเล่อโล่งใจ สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือเวลาที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากเพิ่มแค่หนึ่งชั่วยามก็จะให้เวลาเขาได้พักบ้าง
หลังจากสามชั่วยามผ่านไปแล้ว หวังเป่าเล่อพลันเหนื่อยล้าเพลียแรงไปทั้งร่าง แต่เขากลับกัดฟันเริ่มหลอมรวมใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้จนวันที่สี่ วันที่ห้า วันที่หก วันที่เจ็ด…
เวลาของพลังต่อต้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสามชั่วยามกลายเป็นสี่ชั่วยาม ตามด้วยห้าชั่วยาม หกชั่วยาม จนกระทั่งวันที่เจ็ด มันก็นานถึงเจ็ดชั่วยาม
นั่นหมายความว่าเวลาที่หวังเป่าเล่อใช้รักษาตัวและหลอมรวมร่างกายก็น้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน อย่างเช่นในวันที่เจ็ด หลังจากเจ็ดชั่วยามผ่านไป เขาเหลือเวลาห้าชั่วยามในการรักษาตัวเท่านั้น และก็ต้องเผชิญกับพลังต่อต้านของวันที่แปดแล้ว
แต่ผลที่ได้รับ…ก็มหาศาล เพราะในเจ็ดวันนี้การหลอมรวมร่างกายของหวังเป่าเล่อได้มาถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ มากกว่าความสมบูรณ์แบบที่ตนมีในวันที่หนึ่งมาก
ขณะเดียวกันในเจ็ดวันนี้ระหว่างสู้กับพลังต่อต้านนั้น เขาก็ได้พยายามลองแผ่ดวงจิตเทพออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าและสามารถแผ่มันออกไปได้เล็กน้อยแล้ว อีกทั้งตอนที่แผ่ออกไป หวังเป่าเล่อยังสัมผัสได้ถึงตำแหน่งบางอย่างในเมืองปรารถนาทัศน์ที่เป็นต้นกำเนิดพลังต่อต้านนี้
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถกำหนดเป้าหมายของตำแหน่งนั้นได้ เพียงแค่สัมผัสได้เท่านั้นว่าอีกฝ่ายอยู่ในเมืองปรารถนาทัศน์
“อีกสองวัน…ข้าจะต้องหาเจอแน่!” หวังเป่าเล่อกัดฟัน เส้นเลือดในดวงตาแผ่ขยาย สำหรับเขาแล้วช่วงเวลานี้ช่างทุกข์ทรมาน จิตสังหารภายในใจกำลังจะควบคุมไม่อยู่แล้ว
ขณะนี้เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ รับรู้ว่าไม่อาจเสียเวลาได้จึงรีบหลอมรวมทันที เป็นเช่นนี้จนวันที่แปดมาถึง เมื่อพลังต่อต้านแปดชั่วยามระเบิดขึ้น ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อก็เกือบจะถูกขับออกจากร่างอยู่หลายครั้ง
แต่หลังจากเขายืนหยัดอย่างยากลำบากจนครบแปดชั่วยาม พริบตาที่พลังต่อต้านหายไป หวังเป่าเล่อก็ต้องตกใจ เขาสัมผัสได้ถึงปราณกังวานแผ่วเบาสายหนึ่งอยู่ในร่างกาย
ราวกับว่าหลังจากขับไล่เขามานานและหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ร่างกายนี้ก็ค่อยๆ ขจัดสสารบางอย่างออกไปและเผยให้เห็นสารัตถะแท้จริงของร่างนี้ มันเกิดการสะท้อนระหว่าง…สารัตถะและหวังเป่าเล่อ
ความรู้สึกที่มีต้นกำเนิดเดียวกันดูเหมือนจะเป็นการเพรียกหาอย่างหนึ่ง
ราวกับว่าร่างกายนี้ปรารถนาที่จะหลอมรวมเข้ากับหวังเป่าเล่ออย่างสมบูรณ์ เพียงแต่มีสิ่งกีดขวางอยู่ตรงกลาง และสิ่งกีดขวางนี้ก็คือ…เจ้าปรารถนาทัศน์
ถึงอย่างไรเจ้าปรารถนาทัศน์ก็ครอบครองร่างนี้มาเนิ่นนาน แม้จะถูกหวังเป่าเล่อช่วงชิงปราณโลหิตไปได้ แต่รอยประทับของเขาก็ยังคงอยู่ในปราณโลหิต
นั่นหมายถึงรอยประทับเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นสิ่งกีดขวาง
และรอยประทับเหล่านี้ก็กลายเป็นพลังต่อต้านในช่วงเวลานี้เช่นกัน แต่ว่า…เมื่อการต่อต้านผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเป่าเล่อก็หลอมรวมได้สมบูรณ์แบบขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุด…ปราณกังวานก็เผยออกมา
“เวลาที่พลังต่อต้านครั้งต่อไปปรากฏคือเวลาที่ข้าจะหาเจ้าพบ” หวังเป่าเล่อดวงตาเย็นเยียบ ก่อนจะหลับตาปรับแต่งส่วนต่างๆ ในร่างกายที่ไม่เข้ากัน
ครั้งนี้แม้เวลาจะเนิ่นนาน แต่ก็เป็นครั้งที่ส่วนที่ไม่เข้ากันนั้นเกิดขึ้นน้อยที่สุด
เพียงหนึ่งชั่วยามหวังเป่าเล่อก็ปรับแต่งเสร็จ ปราณกังวานและเสียงเพรียกหาจากในร่างกายก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“การต่อต้านอ่อนแรงลงแล้ว…”
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ครู่หนึ่งก็หยิบแผ่นหยกออกมาส่งเสียงไปหาพวกเจ้าแห่งสุข แล้วหลับตารอคอยเงียบๆ
เป็นเช่นนี้จนมาถึง…วันที่เก้า
พลังต่อต้านปรากฏในร่างกายหวังเป่าเล่อแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ มันอ่อนลงไปมากราวกับว่าการควบคุมร่างกายของหวังเป่าเล่อเพียงพอที่จะควบคุมพลังต่อต้านได้แล้ว ดวงตาของเขาลืมขึ้น ก่อนที่ดวงจิตเทพจะแผ่ออกมาอย่างรุนแรง มันเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่นและกำหนดตำแหน่งหนึ่งในเมืองปรารถนาทัศน์
“เจอตัวแล้ว!” จิตสังหารที่ข่มกลั้นมาเก้าวันพลันปะทุขึ้นมาในพริบตา หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นก่อนจะทำลายความว่างเปล่าและหายตัวไปทันที เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง…เขาก็อยู่เหนือบ่อน้ำโบราณแล้ว
“อยู่ที่นี่เอง!” เส้นเลือดแผ่ขยายเต็มดวงตาหวังเป่าเล่อ ร่างพุ่งตรงไปยังบ่อน้ำ พริบตาเดียว…ก็มาปรากฏตัวในวังใต้ดินใต้บ่อน้ำโบราณแล้ว!
ยามที่ปรากฏตัวเขาก็เห็นร่างแยกของเจ้าปรารถนาทัศน์กำลังจ้องมองมาอย่างโกรธจัดอยู่ไกลๆ รวมถึงขวดโหลเลือดที่วางอยู่ในสระโลหิตเบื้องหน้า!