บ่าวรับใช้บางคนสะดุ้งด้วยความตกใจ ในขณะที่บางคนเพียงแค่กลั้นยิ้ม
จิ่นเกอกระโดดออกมา ยืดอกพลางพูดว่า “เป็นความคิดของข้าเอง!”
ขณะที่กำลังพูด สายตาของสวีซื่อเจี้ยกวาดมองกลุ่มบ่าวรับใช้เหล่านั้น พบว่าไม่มีใครที่เขารู้จักเลย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก ถามจิ่นเกอว่า “คนเหล่านี้มาจากไหน”
จิ่นเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกเขาเป็นคนที่จะมาช่วยข้าเก็บประทัด!”
“เก็บประทัด?” สวีซื่อเจี้ยมองจิ่นเกอด้วยความประหลาดใจ “เก็บประทัดอะไร ไปเก็บมาจากไหน”
“เหล่าผู้ดูแลไม่ให้ประทัดข้า ข้าเห็นบ่าวรับใช้เรือนนอกกำลังเก็บประทัดบนพื้น” ขณะที่จิ่นเกอกำลังพูด สีหน้าก็เผยให้เห็นความภาคภูมิใจเล็กน้อย “ข้าก็เลยยืนตะโกนอยู่บนบันไดว่าถ้าใครเก็บประทัดให้ข้า ข้าจะให้รางวัลคนนั้นหนึ่งตำลึง” พูดพลางชี้ไปที่กลุ่มบ่าวรับใช้ “พวกเขามาเพื่อเอาประทัดมาให้ข้า”
เลียนแบบท่าทางเก็บประทัดของบ่าวรับใช้ แล้วยังให้รางวัลเป็นเงินหนึ่งตำลึง
สวีซื่อเจี้ยได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร “เจ้าไปเอาเงินมาจากไหน” แล้วพูดต่อว่า “แล้วพวกหงเหวินไปไหน” แล้วก็ไม่เห็นแม่นมกับสาวใช้ของเซินเกอ “แล้วก็ป้าอู๋ด้วย พวกนางไปไหนกันหมด”
เขาเป็นคนอ่อนโยนเสมอมา ไม่ค่อยจะมีสีหน้าที่เคร่งขรึมเช่นนี้ เซินเกอเลยรู้สึกกลัวเล็กน้อย รีบโยนธูปทิ้งแล้วไปหลบอยู่ข้างหลังจิ่นเกอ
จิ่นเกอคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ไม่ตอบคำถามสวีซื่อเจี้ย แต่กลับกำชับเซินเกอว่า “เจ้าเอาธูปของเจ้าให้พี่ห้า” จากนั้นก็เอาประทัดในมือจำนวนมากที่กระจัดกระจายไม่เป็นพวงส่งให้สวีซื่อเจี้ย “พี่ห้ามาจุดประทัดกับพวกเราเถิด สนุกจะตายไปขอรับ!”
เซินเกอรีบหยิบธูปที่โยนทิ้งบนพื้นขึ้นมาแล้วส่งให้สวีซื่อเจี้ย เมื่อสวีซื่อเจี้ยเห็นมือเล็กๆ ที่สกปรกของพวกเขา ก็นึกขึ้นได้ว่าปกติท่านแม่จะทะนุถนอมเขาเหมือนสมบัติล้ำค่า…อย่างว่าแต่น้องหกเลย แม้แต่เวลาที่ตัวเองสกปรก ท่านแม่ก็จะช่วยปัดฝุ่นให้ ถ้าหากเห็นสภาพน้องหกเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเสียใจแค่ไหน…สวีซื่อเจี้ยคว้าประทัดในมือเขาแล้วทิ้งลงบนพื้น “เร็ว รีบไปล้างมือกับข้า!” ไม่ได้สนใจเซินเกอ
จิ่นเกอมองดูประทัดที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ร้องออกมาเสียงดังด้วยความเสียดาย พยายามดิ้นแล้วสะบัดมือของสวีซื่อเจี้ยออก “ข้าจะจุดประทัด!”
เขายังไม่ทันพูดจบ ก็มีบ่าวรับใช้สองคนค่อยๆ วิ่งเข้าไป รีบเก็บประทัดที่สวีซื่อเจี้ยทิ้งลงพื้นขึ้นมา ตะโกนบอกจิ่นเกออย่างเอาใจว่า “คุณชายน้อยหก นี่คือประทัดของท่านขอรับ!” ไม่ได้เห็นความโมโหของเขาอยู่ในสายตา
สวีซื่อเจี้ยโมโห แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสั่งสอนบ่าวสองคนที่ไม่รู้จักขอบเขตนี้อย่างไร คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดตำหนิว่า “นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรทำหรือ การปรนนิบัติรับใช้คุณชายน้อยหกย่อมมีคนข้างกายคุณชายน้อยหกคอยดูแลอยู่แล้ว พวกเจ้ามาเล่นไร้สาระอะไรกัน ยังไม่รีบกลับไปทำงานอีก! ระวังผู้ดูแลรู้เข้าแล้วจะใช้ไม้กระดานเฆี่ยนพวกเจ้า” น้ำเสียงฟังดูไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็มีบ่าวรับใช้สองคนก็รีบวิ่งออกไปด้วยความกลัว แต่ส่วนใหญ่กลับยืนมองเขาด้วยสีหน้าลังเล
บ่าวรับใช้ที่เอาประทัดให้จิ่นเกอกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ยิ้มอย่างร่าเริงพลางพูดว่า “คุณชายน้อยห้า เก็บประทัดหรือจุดประทัด ล้วนเป็นความคิดของคุณชายน้อยหก พวกเราก็แค่อยากให้คุณชายน้อยหกมีความสุข พวกเราบรรดาบ่าวรับใช้ ก็ควรทำสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือ ท่านอย่าโกรธเลย ในเมื่อคุณชายน้อยหกชวนท่านมาจุดประทัดด้วยกัน ท่านก็มาเล่นกับคุณชายน้อยหกดีกว่าขอรับ” ขณะที่พูดก็เห็นว่าธูปในมือของเซินเกอดับแล้ว รีบหันไปบอกบ่าวรับใช้อีกคนหนึ่งว่า “เจ้ายังไม่รีบไปจุดธูปอีก คุณชายน้อยห้าก็จะจุดประทัดด้วย”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นส่งสายตาให้กันพลางวิ่งไปจุดธูป
เมื่อสวีซื่อเจี้ยเห็นว่าบ่าวรับใช้ผู้นั้นเอาแต่พูดว่า ‘เป็นความคิดของคุณชายน้อยหก’ จิ่นเกอก็เอาแต่พยักหน้าอยู่ตลอด ก็รู้สึกว่าจิ่นเกอกำลังถูกบ่าวรับใช้ผู้นี้ยุยง เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความโกรธ “ยังจะมัวพูดจาเหลวไหลอยู่อีก ระวังข้าจะบอกพ่อบ้านไป๋ให้เฆี่ยนพวกเจ้า” จากนั้นก็หันไปมองบรรดาบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ไกลๆ แล้วพูดเสียงดังว่า “ยังไม่รีบแยกย้ายกันไปอีก” หันกลับไปดึงจิ่นเกอ “พวกเราไปล้างหน้าล้างมือที่ห้องชำระ สินสอดทองหมั้นของพี่สะใภ้ใหญ่กำลังจะมาถึงแล้ว อีกสักครู่ข้าจะพาเจ้าไปดูความครึกครื้น”
จิ่นเกอกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน มีหรือที่เขาจะยอมไป
“อาจินบอกว่าสินสอดทองหมั้นของพี่สะใภ้ใหญ่จะเข้าจวนได้หลังจากผ่านยามโหย่วไปแล้ว” เขาบิดตัวไปมาเพื่อสะบัดออกจากมือของสวีซื่อเจี้ย “รอให้บรรดาบ่าวรับใช้เริ่มจุดโคมไฟก่อนแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว คุณชายน้อยห้า คุณชายน้อยหกกำลังสนุกเลย ท่านอย่าได้ขัดความสุขของคุณชายน้อยหกเลยขอรับ!”
ล้วนเป็นความผิดของบ่าวรับใช้ที่ชอบสร้างความวุ่นวายผู้นี้
สวีซื่อเจี้ยจ้องเขา “เจ้ากล้ายุยงเจ้านายหรือ!”
บ่าวรับใช้ที่ไปจุดธูปได้ยินดังนั้นก็หดตัวลง แต่บ่าวรับใช้ที่ต่อต้านสวีซื่อเจี้ยยังคงทำท่าทางไม่เห็นด้วย “คุณชายน้อยห้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ตอนที่พวกเราเข้าจวนมา บรรดาผู้ดูแลบอกไว้ว่า อันดับแรกคือต้องเชื่อฟัง พวกเราก็แค่ทำตามคำสั่งของคุณชายน้อยหกเท่านั้น ท่านจะมาบอกว่าพวกเรายุยงเจ้านายได้อย่างไรขอรับ…”
เพิ่งจะพูดจบ ก็มีน้ำเสียงเย็นชาของสตรีดังขึ้น “หากพูดเช่นนี้ ก็นับว่าเจ้ามีเหตุผลอยู่ไม่น้อยสินะ!”
ทุกคนต่างมองไปตามเสียง
เมื่อหันไป สวีซื่อเจี้ยก็เห็นหงเหวินสาวใช้ใหญ่ข้างกายจิ่นเกอที่เหงื่อออกเต็มหน้าผาก ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“ไสหัวออกไปจากที่นี่ให้หมด!” นางจ้องไปที่บ่าวรับใช้ผู้นั้นด้วยแววตาเฉียบคม “ที่นี่คือเรือนหลัก! อย่าคิดว่าหมาแมวที่ไหนก็เข้ามาได้ ใช่ว่าพอคุยถูกคอกับคุณชายน้อยหกแล้วจะมีหน้ามีตา หลงระเริงจนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหน” พูดจบก็ตะโกนเสียงดังว่า “ใครที่ทำงานอยู่ในเรือนนี้ ยังไม่รีบโผล่หัวออกมาให้ข้าเห็นอีก ฮูหยินสี่มีเมตตา ให้พวกเจ้าได้ไปร่วมพิธีมงคลของคุณชายน้อยสอง เหลือเพียงสองคนไว้ดูแลเรือน พอเป็นเช่นนี้พวกเจ้ากลับกล้าอู้งานลับหลังฮูหยินสี่ รอให้ข้าได้รายชื่อคนเข้าเวรมาจากพี่จู๋เซียงก่อน จะได้รู้ว่าวันนี้ใครเข้าเวร หากไม่ถลกหนังพวกเจ้าออกมา…”
ขณะที่กำลังด่า มีบ่าวรับใช้สองคนวิ่งออกมาจากหลังประตูเก๋อซ่านด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“แม่นาง แม่นาง” ทั้งสองคนอ้อนวอนของความเมตตา “พวกเราไม่ได้แอบอู้ ไม่ใช่ว่าคุณชายน้อยหกอยากจุดประทัดหรอกหรือ…”
หงเหวินไม่รอให้พวกนางพูดจบ สบถใส่พวกนาง “ถุย” แล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่ดีพอจะเป็นแม่นางของพวกเจ้า! คุณชายน้อยหกอยากจุดประทัด พวกเจ้าก็แค่ไปขอจากฮูหยินสี่ก็ได้แล้ว เหตุใดถึงได้ให้บ่าวรับใช้ที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามารับใช้คุณชายน้อยหก ถ้าหากคุณชายน้อยหกไปชนหรือหกล้มขึ้นมา พวกเจ้าจะตายสักพันครั้งก็เทียบไม่ได้กับนิ้วเพียวนิ้วเดียวของคุณชายน้อยหก ยังไม่รีบไปรายงานพ่อบ้านไป๋อีก ให้คนมัดพวกคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหล่านี้ไปส่งให้ท่านโหว หากพ่อบ้านไป๋ถาม เจ้าก็บอกว่าหงเหวินที่อยู่เรือนคุณชายน้อยหกให้พวกเจ้ามัดคนเหล่านี้”
เมื่อป้ารับใช้ทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็หันหลังแล้ววิ่งเหยาะๆ ออกจากลานไป
บ่าวรับใช้สองสามคนที่ยืนดูอยู่ได้วิ่งหนีไปตั้งแต่ตอนที่หงเหวินเริ่มด่าแล้ว บ่าวรับใช้สองคนที่เอาใจจิ่นเกอสีหน้าซีดเล็กน้อย หันไปมองจิ่นเกอราวกับขอความช่วยเหลือ
จิ่นเกอไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขา มองหงเหวินด้วยสีหน้านับถือ “พี่หงเหวิน ท่านด่าคนได้เก่งมาก!”
หงเหวินใจเต้นแรง
นางพูดพันคำหมื่นคำก็ไม่สู้คุณชายน้อยหกพูดเพียงแค่คำเดียว แต่คุณชายน้อยหกอายุยังน้อย ยังไม่รู้จักคบคน ส่วนบ่าวรับใช้พวกนั้นมองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกับการประจบประแจง หาโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับเจ้านาย หากคุณชายน้อยหกต้องการเก็บบ่าวรับใช้เหล่านี้ไว้ข้างกายในเวลานี้ นางก็คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน คิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยหกจะพูดประโยคนี้ออกมา
หงเหวินยิ้มเจื่อนๆ
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว ก็พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมต่อ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
บ่าวรับใช้ที่ให้ธูปกับสวีซื่อเจี้ยรีบชิงเล่าเรื่องราวให้หงเหวินฟัง
หงเหวินฟังพลางครุ่นคิดไปด้วย
แม้ว่านางจะพึ่งเข้ามา แต่แค่มองสถานการณ์ก็รู้ได้ว่าคุณชายน้อยหกกำลังคึกคะนอง ดังนั้นจึงได้ดื้อรั้นกับคุณชายน้อยห้า ในเมื่อแม้แต่คำพูดของคุณชายน้อยห้าคุณชายน้อยหกก็ไม่ฟัง ตัวเองที่เป็นสาวใช้ ก็ยิ่งไม่สามารถบอกกับคุณชายน้อยหกว่าไม่อนุญาตให้เขาจุดประทัดได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางจึงเกลี้ยกล่อมจิ่นเกอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านเป็นคุณชายน้อยของจวน ในเมื่อผู้ดูแลไม่ให้ประทัดกับท่าน ท่านก็ไม่จำเป็นต้องไปถือสาพวกเขา ควรจะไปหาพ่อบ้านไป๋ที่คอยดูแลผู้ดูแลเหล่านั้นให้สั่งสอนพวกเขาจึงจะถูก ท่านจะไปเก็บประทัดจากพื้นเหมือนบ่าวรับใช้เรือนนอกเหล่านั้นได้อย่างไร หากแขกที่มาดื่มสุรามงคลในจวนเห็นเข้าจะไม่หัวเราะเยาะท่านหรือ!”
จิ่นเกอได้ฟังดังนั้นก็หน้าแดง โยนประทัดในมือลงบนพื้น
หงเหวินรีบไปจูงมือเขา “พวกเราไปหาผู้ดูแลกัน ดูว่าใครมันบังอาจกล้าไม่ให้ประทัดกับท่าน!”
จิ่นเกอไม่ต้องการให้หงเหวินจูงมือ พูดขึ้นมาว่า “ข้าไปเอง ไม่ต้องให้ท่านพาไปหรอก” พูดจบก็วิ่งออกไปข้างนอก
เซินเกอรีบวิ่งตามไปทันที
หงเหวินตะโกนเสียงดังว่า “คุณชายน้อยหก มีเจ้านายที่ไหนที่วิ่งไปซักไซ้หาความกับผู้ดูแลกัน ท่านดูฮูหยินสี่สิเจ้าคะ ฮูหยินสี่เคยวิ่งไปหาผู้ดูแลเสียเมื่อไรกัน! ท่านต้องค่อยๆ เดินไปเจ้าค่ะ!”
จิ่นเกอได้ฟังดังนั้นก็หยุดฝีเท้าลงทันที หันกลับมามองหงเหวิน “จริงด้วย ท่านแม่ไม่เคยวิ่งเลย!” คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อก็ไม่เคยวิ่ง”
เซินเกอเห็นดังนั้นก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน
หงเหวินจึงได้ถอนหายใจยาว
รอยยิ้มหวานปรากฏบนหน้านาง พูดเสียงดังว่า “คุณชายน้อยหก บ่าวจะเป็นคนปรนนิบัติพาท่านไปพบผู้ดูแลเองเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดเบาๆ กับสวีซื่อเจี้ยว่า “คุณชายน้อยห้า พวกเราตามหาคุณชายน้อยหกกับคุณชายน้อยเจ็ดจนทำให้ในจวนวุ่นวายไปหมดแล้ว รบกวนท่านช่วยส่งคนไปบอกกับแม่นมของคุณชายน้อยเจ็ดสักหน่อย บรรดาฮูหยินทั้งหลายจะได้ไม่ต้องตกใจเจ้าค่ะ…” พูดพลางมองสวีซื่อเจี้ยด้วยแววตาอ้อนวอน
น้องหกเป็นเด็กซุกซน ทุกคนในจวนต่างก็รู้ดี ปกติในเรือนไม่มีเรื่องอันใดเขาก็ทำให้เป็นเรื่องได้ ไม่ต้องพูดถึงวันนี้ที่มีแขกมาที่จวนมากมาย
เขาพยักหน้า “ข้าจะส่งคนไปรายงานแม่นมของน้องเจ็ดประเดี๋ยวนี้”
“ขอบคุณคุณชายน้อยห้าเจ้าค่ะ!” หงเหวินรีบคำนับสวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็หันหลังแล้วพาจิ่นเกอกับเซินเกอเดินจากไป
ที่ลานเงียบสงบขึ้นมาทันที เสียงกลองที่ดังมาจากไกลๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น
เขากวาดตามองอีกครั้ง ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้สองคนที่มาเล่นสนุกกับจิ่นเกอวิ่งหนีไปไหนแล้ว
สวีซื่อเจี้ยสีหน้าหม่นหมอง
ตัวเองยังสู้หงเหวินไม่ได้เลย แม้แต่บ่าวรับใช้เรือนนอกที่ไม่มีระดับก็ควบคุมไม่ได้…
แม้ว่าในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ก็แอบรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนที่ผิดปกติ บอกไม่ถูก รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ แน่นหน้าอกเหมือนหายใจไม่ออก
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ตอนกลางวันของเดือนสิบ แม้ว่าดวงอาทิตย์จะสดใส แต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนระอุเท่าฤดูใบไม้ร่วง
ตรงมุมกำแพงมีต้นชิวไห่ถัง ใบเขียวชอุ่ม ออกดอกเล็กๆ สีชมพูสองดอก
สวีซื่อเจี้ยยิ้มพลางเดินเข้าไป ก้มลงเด็ดดอกไม้
มีน้ำเสียงเศร้าสร้อยที่ไม่ค่อยชัดเจนของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น “…เขาวางแผนร้ายโดยไม่สนใจใยดี…ข้าต้องมารับความอยุติธรรมโดยไม่รู้เรื่อง…ข้าผู้น่าสงสารที่มีความคับข้องใจจะสามารถบอกใครได้…ในหูได้ยินเสียงบอกเวลายามไฮ่มาแต่ไกล…ค่ำคืนมืดมิด ผู้คนเงียบสงบ…”
เขายืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
เมื่อยืดตัวขึ้นอีกครั้ง ก็อดมองไปทางห้องโถงเตี่ยนชุนไม่ได้ ดวงตาสับสนเล็กน้อย มุมปากของเขาขยับขึ้นโดยไม่รู้ตัว