ยังค่อนข้างเช้าอยู่ บ่าวรับใช้กำลังจัดวางจานชามอย่างเป็นระเบียบ ย้ายต้นไม้ดอกไม้ สองคนที่ดูเหมือนผู้ดูแลอยู่กับพ่อบ้านไป๋เพื่อตรวจสอบ เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามา บ่าวรับใช้ก็พากันคำนับ พ่อบ้านไป๋เดินเข้าไปคำนับสืออีเหนียง ผู้ดูแลทั้งสองรีบก้มหน้าแล้วเดินหลีกไปอยู่ที่นอกห้องโถงเล็ก
“สองวันนี้ลำบากท่านแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มพลางทักทายพ่อบ้านไป๋
“นี่เป็นหน้าที่ของข้าขอรับ” พ่อบ้านไป๋ตอบด้วยรอยยิ้ม คำนับจิ่นเกอกับเซินเกอ พูดอย่างสนิทสนมว่า “คุณชายน้อยหกกับคุณชายน้อยเจ็ดตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ!”
จิ่นเกอยืนอยู่ข้างสืออีเหนียงอย่างเชื่อฟัง “ท่านแม่บอกว่าวันนี้พี่สะใภ้สองจะยกถ้วยชาคำนับผู้อาวุโสทุกท่าน จึงต้องตื่นแต่เช้า”
ส่วนเซินเกอบอกว่า “พี่หกบอกว่าพวกเราต้องมาแต่เช้า เมื่อถึงเวลานั้นจะได้อั่งเปาเยอะๆ!”
พ่อบ้านไป๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยหกพูดได้มีเหตุผล”
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มของนางจางลงเล็กน้อย
จิ่นเกอยิ่งโตก็ยิ่งมีเหตุผลที่แปลกประหลาดมากมาย แต่ทุกคนกลับคิดว่านี่เป็นความไร้เดียงสาของเด็ก บางครั้งก็เพียงแค่หัวเราะกลบเกลื่อนแล้วก็ผ่านไป บางครั้งก็ทำตามความคิดของเขาโดยไม่คิดอะไร แต่กลับไม่รู้เลยว่าทุกอย่างมักเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนมีคนมากมาย ตั้งแต่เจ้านายยันบ่าวต่างพากันรักและเอ็นดู นางไม่สามารถไปพูดให้ผู้อื่นยอมรับมุมมองของนางทีละคนได้ ความคิดของนางเป็นเสียงส่วนน้อย ไม่แน่คนอื่นอาจจะคิดว่านางทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
นางเลยคิดว่าให้จิ่นเกออยู่ข้างกายจะดีกว่า หากมีสิ่งที่ผิดหรือมุมมองที่ผิดก็จะสามารถแก้ไขได้ทันเวลา ค่อยๆ สะสมไปทีละขั้น ไม่ให้ดูรีบร้อนมากเกินไป
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็เห็นบุตรชายของตนจับจ้องเซินเกอ
เซินเกอรีบเอามือปิดปาก อธิบายให้พ่อบ้านไป๋ฟังเสียงดัง “พวกเราไม่ได้ทำเพื่อเงิน พวกเรามาเพื่อคารวะบรรดาท่านป้าท่านน้าและพี่สะใภ้!”
เป็นการแก้ตัวที่ทำให้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริง
พ่อบ้านไป๋พยายามอดกลั้นแล้วแต่ก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่ามีรอยยิ้มเจื่อนๆ บนใบหน้าของสืออีเหนียง เขาก็รีบหุบยิ้ม พูดขึ้นมาว่า “คุณชายน้อยเจ็ดพูดถูกแล้ว” จากนั้นก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม ถามสืออีเหนียงอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยิน ท่านว่าในห้องนี้มีอะไรจะต้องปรับปรุงหรือไม่ขอรับ ข้าจะได้ให้ผู้ดูแลช่วยจัดการให้”
การจัดแต่งห้องโถงสำหรับพิธีมงคลสมรสนั้นจะต้องพิถีพิถัน อย่าว่าแต่สืออีเหนียงเลย แม้แต่พ่อบ้านไป๋เองก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองเข้าใจในเรื่องนี้ สิ่งเหล่านี้ถูกจัดการโดยผู้ดูแลที่คุ้นเคยในการรับผิดชอบการจัดพิธีของศาลบรรพชน
สืออีเหนียงรู้ว่าเขากำลังเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางก็ไม่ต้องการพูดเรื่องนี้อยู่พอดี ยิ้มพลางมองสำรวจห้องโถงเล็ก พูดคุยเรื่องบรรยากาศในงานกับพ่อบ้านไป๋ ป้าซ่งมารายงานว่า “ฮูหยินห้าพาคุณนายสามท่านที่มาจากหนานจิงมาทางนี้แล้วเจ้าค่ะ”
นางออกไปต้อนรับ พึ่งจะพูดได้สองประโยค ฮูหยินสามก็พาบุตรชายและลูกสะใภ้มา
ทุกคนคำนับซึ่งกันและกัน พูดคุยหัวเราะพลางเดินเข้าไปในห้องโถงเล็ก
หวงฮูหยิน ฮูหยินห้า ชีเหนียงและคนอื่นๆ ทยอยกันมาแล้ว
บรรดาคนที่มาในงาน บางคนก็กำลังทักทายสืออีเหนียง บางคนก็พูดคุยรำลึกความหลัง บางคนก็หยอกล้อเด็กๆ
ห้องโถงเล็กบรรยากาศครื้นเครง มีเสียงพูดคุยหัวเราะดังไปทั่วห้องโถง
พี่น้องสกุลสวีพาโจวซื่อเจิง หย่งชังโหวซื่อจื่อนามว่าหวงจื่อฉี หลัวเจิ้นซิ่ง อวี๋อี๋ชิง จูอานผิง เซ่าจ้งหรานและคนอื่นๆ ทยอยกันเข้ามา บรรดาสตรีพาเด็กๆ หลบไปอยู่ทางด้านตะวันตก ผู้ดำเนินพิธีเข้ามาเชิญให้ทุกคนนั่งลงตามลำดับความอาวุโส สวีซื่ออวี้พาเจ้าสาวเข้ามายกถ้วยน้ำชาและโขกศีรษะคำนับทุกคน
คนที่รับผิดชอบเป็นเฉวียนฝูเหรินอย่างคุณนายสามสกุลหวงพาสวีซื่ออวี้กับเซี่ยงซื่อไปหาสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง
ตอนคำนับฟ้าดินต้องสวมผ้าคลุม สืออีเหนียงที่เป็นแม่สามีไม่ได้ไปดูตัวเจ้าสาวในวันที่เข้าจวนมา เวลานี้จึงอดไม่ได้ที่จะสำรวจมองเซี่ยงซื่ออย่างละเอียด
นางเติบโตเป็นสาวแล้ว รูปร่างสูง สวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีแดงปักลายวิหคร้อยตัวบินไปทางหงส์ เอวบางแต่กลับมีทรวดทรง ใบหน้ากลมขาว สีหน้ามีความเขินอายที่ไม่สามารถปกปิดไว้ได้
สืออีเหนียงยิ้มพลางรับถ้วยชาจากนาง มอบทองเก้าสิบเก้าชั่งเป็นของขวัญต้อนรับ จากนั้นก็ให้อั่งเปาที่มีตั๋วเงินมูลค่าเก้าสิบเก้าตำลึงหนึ่งใบ
เซี่ยงซื่อโขกศีรษะคำนับด้วยใบหน้าแดงก่ำ
โจวฮูหยินที่อยู่ด้านข้างปิดปากหัวเราะ
สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่นาง
นางรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” แล้วพูดต่อไปว่า “แค่คิดว่าฮูหยินสี่ก็แต่งลูกสะใภ้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าลูกสะใภ้ของจวนเราไปอยู่ที่ไหน!”
นางไม่พูดก็ดีไป แต่พอนางพูดเช่นนี้ทุกคนก็อดมองสำรวจสืออีเหนียงไม่ได้
อาจเป็นเพราะจะต้องเป็นแม่สามีแล้ว ชุดที่สวมใส่เป็นชุดที่ไม่เหมือนใคร ต่างจากชุดที่สง่างามและหรูหราทั่วไป วันนี้นางสวมเสื้อคลุมยาวสีแดงปักลายมงคล เกล้าผมขึ้นแล้วปักปิ่นปักผมทองคำ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและแน่วแน่ แต่ดวงตากลับเป็นประกายราวกับภาพวาด ทำให้นางดูสดใส เผยความงามที่ไม่สามารถจับต้องได้ ดูอ่อนวัยกว่าเซี่ยงซื่อที่ยืนตรงหน้านางอย่างนอบน้อมสองถึงสามปี ทำให้ผู้คนต่างก็ลอบยิ้มทันที
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ใครจะกล้าพูดหยอกล้อแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ แม้ว่าจะกลั้นรอยยิ้มไว้ แต่สีหน้ากลับดูประหลาดอยู่เล็กน้อย
สืออีเหนียงแอบรู้สึกแปลกๆ ในใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ส่วนเซี่ยงซื่อใจเต้นแรง นึกย้อนถึงทุกการเคลื่อนไหวตั้งแต่เข้าจวนจนมาถึงตอนนี้ ก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองมีพฤติกรรมที่เสียมารยาทตรงไหน
ทั้งสองคนต่างคนต่างคิด แต่ว่าพิธีก็ยังคงดำเนินการต่อไปจนกระทั่งเสร็จสิ้นอย่างพิถีพิถัน
คุณนายสามสกุลหวงพาบ่าวสาวไปทางทิศตะวันออกเพื่อทักทายแขกที่เป็นบุรุษเพื่อทำความรู้จักเครือญาติ จากนั้นก็ไปทางทิศตะวันตก
ในพิธีแต่งงานจะเป็นท่านเขยและพี่ชายของภรรยาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ตอนทำความรู้จักเครือญาติก็จะเริ่มตั้งแต่คุณหนูและคุณนายทั้งหลาย
เนื่องจากคุณนายใหญ่สกุลหลัวและคุณนายสี่สกุลหลัวไม่ได้อยู่ในเยี่ยนจิง คู่บ่าวสาวจึงไปโขกศีรษะคำนับคุณนายสามสกุลหลัว และเนื่องจากบุตรสาวสกุลสวีเป็นถึงฮองเฮา ไม่ใช่คุณหนูธรรมดาทั่วไป ได้ส่งคนนำของขวัญแสดงความยินดีมาให้แทน คู่บ่าวสาวจึงโขกศีรษะคำนับไปทางทิศตะวันออกสามครั้ง มีสืออีเหนียงเป็นคนมอบหยกหรูอี้หนึ่งคู่ให้กับคู่บ่าวสาวแทนฮองเฮา
บรรยากาศในห้องพลันครึกครื้นขึ้นมา
คุณนายใหญ่สกุลหงจับมือฮูหยินสาม บอกว่าอยากดูของขวัญของฮูหยินสาม ฮูหยินสามบอกคุณนายใหญ่สกุลหงว่าต้องให้แขกคนไกลมอบของขวัญก่อน คุณนายใหญ่สกุลหงจึงจับมือเซี่ยงซื่อแล้วพูดหยอกล้อว่า “เจ้าคอยดูก็แล้วกัน คนที่ไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียวก็คือท่านป้าสามของเจ้า” จากนั้นก็หยิบกำไลทองคำคู่หนึ่งออกมา จี้หยกอีกหนึ่งอันมอบให้เซี่ยงซื่อเป็นของขวัญต้อนรับ ยิ้มพลางพูดกับฮูหยินสามว่า “ข้าจะรอดูของขวัญของเจ้าก็แล้วกัน!”
ในฐานะที่เป็นญาติห่างๆ ของขวัญเช่นนี้ค่อนข้างมากไปหน่อย อย่าว่าแต่เซี่ยงซื่อที่พึ่งเข้าจวนมาจึงไม่เข้าใจสถานการณ์ แม้แต่สืออีเหนียงที่รู้ว่าฮูหยินห้าต้องการแกล้งฮูหยินสามก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮูหยินสามที่รอยยิ้มดูแข็งทื่อในทันที
เซี่ยงซื่อแอบสำรวจดูสีหน้าสืออีเหนียง เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงนั่งยิ้มอยู่ตรงนั้น จึงได้เข้าไปรับของขวัญแล้วมอบให้สาวใช้ข้างกาย จากนั้นก็โขกศีรษะคำนับคุณนายใหญ่สกุลหง
ฟังซื่อที่อยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นก็แอบถอนหายใจในใจ
นางเตือนสามีตั้งนานแล้ว ให้สามีเกลี้ยกล่อมแม่สามีอย่างอ้อมค้อม แม้ว่าสวีซื่ออวี้จะเป็นบุตรชายอนุ แต่ก็เป็นบุตรชายคนโต นี่เป็นครั้งแรกที่สวีลิ่งอี๋แต่งลูกสะใภ้ ด้วยความที่สวีลิ่งอี๋เป็นคนมีเมตตา คนที่เคยได้รับความเมตตาจากเขาในอดีตได้ใช้โอกาสนี้ในการชดใช้คืนให้ พิธีจะไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าของสวีซื่อจุนที่เป็นซื่อจื่อในอนาคต แต่ก็ไม่มีทางที่จะจัดอย่างเล็กๆ แน่นอน ให้แม่สามีเตรียมของขวัญต้อนรับให้ดี จะได้ไม่ถูกบรรดาสะใภ้สกุลอื่นกลั่นแกล้งเอาได้ เมื่อถึงเวลานั้นเตรียมของขวัญได้ไม่ดีพอจะทำให้ถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้
แต่ดูแล้ว เกรงว่าแม่สามีจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
นางแอบกวักมือเรียกจินซื่อ เล่าความกังวลของตัวเองให้นางฟังเบาๆ ก่อนจะดึงปิ่นปักผมบนหัวของตัวเองออกมา “มอบสิ่งนี้ให้แม่สามีอย่างเงียบๆ ใช้รับมือไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
จินซื่อเห็นว่าไข่มุกแต่ละอันมีขนาดเท่าเล็บมือ ล้วนเป็นประกายแวววาว อดถามฟังซื่อด้วยความปวดใจไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ไข่มุกพวกนี้ของท่านเป็นเงินเท่าไรหรือ พวกเราออกกันคนละครึ่งดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก!” แม่สามีเอาแต่สู้รบปรบมือกับนางอยู่ทุกวัน ฟังซื่อเพียงแค่หวังว่าจินซื่อจะคอยดูเฉยๆ อยู่ด้านข้าง ยิ้มพลางพูดหยอกล้อว่า “หากต่อไปเจอสถานการณ์เช่นนี้อีกค่อยดึงปิ่นปักผมบนหัวเจ้ามาใช้!”
จินซื่อได้ฟังแล้วก็หลุดหัวเราะ
อดคิดไม่ได้ว่าหากพบสถานการณ์เช่นนี้อีกจริงๆ จะไม่ยอมให้ฟังซื่อช่วยแม่สามีเช่นนี้อีกแล้ว แต่ว่าเครื่องประดับของนางถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เพราะท่านแม่ของนางกลัวว่าหากสินเดิมน้อยจะทำให้ผู้อื่นดูหมิ่น หากให้มอบให้คนอื่นเช่นนี้ นางจะทำใจได้อย่างไร!
เมื่อคิดเช่นนี้ก็อดบ่นแม่สามีในใจไม่ได้
นางมักจะเป็นคนตระหนี่เช่นนี้อยู่เสมอ สุดท้ายก็เป็นพวกนางที่เป็นลูกสะใภ้ต้องมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ กลับไปก็ไม่เห็นว่าแม่สามีจะชดใช้สิ่งของให้พวกนาง จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้สินเดิมของลูกสะใภ้
เมื่อเห็นว่าแม่สามีเอาไข่มุกของฟังซื่อไปใช้แก้ขัดจริงๆ ในใจของนางก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้น
เวลากลับไปส่งของขวัญตรุษจีนให้สกุลเดิมก็อดที่จะบ่นกับมารดาของตัวเองไม่ได้
นายหญิงจินเป็นสตรีที่เติบโตในตระกูลของทหารเก่า เติบโตมาในค่ายทหาร ขี่ม้ายิงธนูกับพี่ชายมาตั้งแต่เล็ก นิสัยเหมือนบุรุษ ต่อมาสามีรับผิดชอบกิจการในตลาด คนไปมาหาสู่ล้วนเป็นสตรีที่ทำมาค้าขาย มีนิสัยกล้าหาญตรงไปตรงมา เมื่อได้ยินบุตรสาวพูดเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทันที “เจ้าเก็บของของเจ้าเอาไว้ให้ดี หากพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าอยากจะทำตัวเป็นคนดีมีคุณธรรมก็ปล่อยนางไป หากแม่สามีเจ้ากล้าวางแผนจะทำอะไรเจ้า เจ้าอย่าไปเผชิญหน้ากับแม่สามีของเจ้าโดยตรง ให้รีบไปบอกไท่ฮูหยิน เจ้าอย่าลืมว่างานแต่งของเจ้าเป็นการตัดสินใจของไท่ฮูหยิน”
จินซื่อลังเลเล็กน้อย “พี่สะใภ้ใหญ่ดีกับข้าเสมอมา เมื่อไม่กี่วันก่อนแม่สามีถามข้าว่าทำไมยังไม่ตั้งครรภ์ พี่สะใภ้ใหญ่ยังช่วยพูดให้ข้า หากข้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เช่นนี้…”
เมื่อนายหญิงจินได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกสงสารทันที “แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังไม่ตั้งครรภ์ บุตรเขยดีกับเจ้าหรือไม่”
“เขาดีกับข้าเจ้าค่ะ!” จินซื่อหน้าแดง “แม่สามีต้องการให้สาวใช้ข้างกายมาอยู่ที่เรือนข้า ท่านพี่ก็บอกว่าไม่ต้องการ จึงถูกแม่สามีเฆี่ยนตีตั้งหลายที!” ขณะที่พูดก็มีสีหน้าเจ็บปวดใจ
นายหญิงจินได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเดิม “นางเป็นแม่สามีประสาอะไรกัน ถึงมายุ่งเรือนในเรือนของลูกสะใภ้” ด่าก็อยู่ส่วนของด่า แต่ในใจก็ยังรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดสนับสนุนบุตรสาว “นับว่าเจ้าฉลาด รู้จักกลมเกลียวกับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า ข้าว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว ต่อไปมีเรื่องอันใดเจ้าก็เชื่อฟังพี่สะใภ้ใหญ่ ส่วนปิ่นไข่มุกนั้นเจ้าก็หักเป็นเงินให้พี่สะใภ้ใหญ่เจ้า” จากนั้นก็ถามลักษณะปิ่นปักผมไข่มุกของฟังซื่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน
เมื่อจินซื่อได้รับการสนับสนุนจากมารดา ก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก เล่าให้นางฟังถึงลักษณะของปิ่นปักผมอันนั้นอย่างเกินจริงไปเล็กน้อย หลังจากเล่นอยู่ที่เรือนเป็นเวลานานก็กลับมาที่ตรอกซานจิ่งอย่างมีความสุข ซ้ำยังคำนวณเงินแล้วนำไปที่เรือนของฟังซื่อ
เมื่อนายหญิงจินส่งบุตรสาวกลับไปแล้วก็เปลี่ยนชุดแล้วฝากข้อความให้ร้านเครื่องเงินใหญ่ในเยี่ยนจิง ขอให้เถ้าแก่ช่วยทำปิ่นปักผมไข่มุกที่เหมือนกันให้ แต่ในช่วงของตรุษจีนไม่ใช่ฤดูกาลที่จะมีไข่มุกใหม่มาขายในตลาด อีกทั้งจินซื่อก็ได้บอกลักษณะปิ่นปักผมไข่มุกที่เกินจริงเล็กน้อย ในเวลานี้จะหาจากที่ไหนได้ เถ้าแก่จึงอดถามอย่างละเอียดไม่ได้ นายหญิงจินจึงเล่าให้ฟังว่าฮูหยินสามเป็นคนตระหนี่แค่ไหน เมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ บรรดานายหญิงของขุนนางในเยี่ยนจิงต่างก็ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้กันหมด เรื่องที่ฮูหยินสามคิดจะฮุบสินเดิมของลูกสะใภ้ค่อยๆ เผยแพร่ออกไป เมื่อฮูหยินสามได้รู้เรื่องนี้จากพี่สะใภ้สกุลเดิมก็กัดฟันโกรธ รู้สึกว่าฟังซื่อหน้าไหว้หลังหลอก ที่ให้ปิ่นปักผมไข่มุกตัวเองในวันนั้นก็เพื่อที่จะทำร้ายตัวเอง ไปคิดบัญชีกับฟังซื่อ เมื่อเห็นว่าฟังซื่อดูไม่ได้เดือดร้อน ซ้ำยังปฏิบัติตามกฎ ยอมให้นางด่าทอได้ตามใจโดยไม่ตอบโต้แม้แต่น้อย ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าฟังซื่อหน้าซื่อใจคด ผ่านมาเพียงไม่กี่วันนางก็โกรธจนล้มป่วยนอนเตียง
เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายภาคหน้า
สวีซื่ออวี้และภรรยาไปสักการะที่วัดในเช้าวันรุ่งขึ้น ทานอาหารกลางวันที่เซี่ยงอี้เจียส่งมาให้ แล้วไปที่สกุลเซี่ยง
สืออีเหนียงพึ่งจะมีเวลามาจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้