“พวกเจ้าสองคนไปเขียนหนังสือสัญญาให้ท่านย่าประเดี๋ยวนี้ สัญญาว่าต่อไปจะตั้งใจเรียนกับอาจารย์ ไม่ทำความผิดเช่นนี้อีก!” สืออีเหนียงมองดูสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยด้วยสีหน้าที่เข้มงวด
พวกเขาสองคนพยักหน้าแล้วขานรับ “ขอรับ” อย่างรู้ความ จากนั้นก็หันตัวเตรียมเดินออกไปเขียนหนังสือสัญญาที่ห้องหนังสือ
เดินมาถึงหน้าประตู แต่กลับถูกสืออีเหนียงเรียกให้หยุด “กลับมาก่อน ข้ายังมีอะไรจะถาม!”
พวกเขาสองคนรีบเดินกลับมา ยืนกุมมือด้วยท่าทีราวกับกำลังรอรับคำสั่ง
สืออีเหนียงจิบชาสองสามจิบแล้วพูดว่า “บันทึกบทเพลง ‘ตำนานหั่นเหยา’ มีราคามากหรือ”
เรื่องที่ควรจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว เรื่องที่ควรรับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบ ก่อนจะเผชิญหน้ากับเรื่องภายนอก ต้องจัดการเรื่องภายในของตัวเองก่อน ถึงตอนนั้นหากไม่มีบันทึกบทเพลงคืนหวังอวิ่น มันคงจะวุ่นวาย
สวีซื่อจุนมีสีหน้าไม่สบายใจ “มันคือบันทึกบทเพลง ‘ตำนานหั่นเหยา’ ที่สมบูรณ์แบบ ข้าพึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกขอรับ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกจู๋เซียงเข้ามา “เจ้าไปที่ตรอกกงเสียนแล้วบอกพี่ใหญ่ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ช่วยยืมบันทึกบทเพลง ‘ตำนานหั่นเหยา’ มาให้ได้ บอกว่าข้ารีบใช้”
คนของสำนักศึกษาฮั่นหลิน มีหลายคนเป็นนักเเสดงงิ้ว เขาน่าจะหาเจอ
“ท่านแม่ขอรับ!” สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเงยหน้าขึ้นมา สายตาของพวกเขาเป็นประกายด้วยความซาบซึ้ง ระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าก็ไม่ปาน
สืออีเหนียงทำสีหน้าเคร่งขรึม “อย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าสองคนคัดลอก ‘ตำราปฐมวัย’ สิบเล่มให้ข้า คิดให้ดีว่าตอนที่อาจารย์จ้าวสอนตำราเล่มนี้ให้พวกเจ้า เขาสอนอะไรบ้าง…”
เพิ่งจะพูดจบ พวกเขาสองคนก็พยักหน้าซ้ำๆ ทันทีด้วยสีหน้าที่ดีใจ
“พวกเจ้าอย่าพึ่งดีใจ” สืออีเหนียงยังคงทำสีหน้าเคร่งขรึม “ยังไม่รู้ว่าจะหายืมมาได้หรือไม่ ตอนนี้พวกเจ้ารีบไปเขียนหนังสือสัญญาเถิด เราจะได้ไปขอโทษท่านย่า”
พวกเขาสองคนขานรับ “ขอรับ” แล้วเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงได้ยินเสียงหัวเราะของสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยผ่านผ้าม่าน
สืออีเหนียงยิ้มมุมปาก
นางนั่งรอหนังสือสัญญาของพวกเขาอยู่ในห้องข้างใน
ปี้หลัวยกของว่างเข้ามาอย่างเบามือด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
จิ่นเกอนั่งเบิกตามองอยู่ตรงนั้น ทานของว่างได้อย่างนิ่งสงบชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็นั่งไม่ติดแล้ว
“ท่านแม่ขอรับ ข้าจะไปดูว่าพี่ๆ เขียนหนังสือสัญญาเสร็จแล้วหรือยัง!” พูดจบ เขาก็ลงจากเตียงเตาแล้ววิ่งออกไปทันที
สืออีเหนียงหัวเราะ
จากนั้นรอยยิ้มของนางก็ค่อยๆ จางลง นางนึกถึงเรื่องของสวีซื่อเจี้ยขึ้นมา
ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ไปก่อนเถิด!
อีกสองเดือนก็จะปีใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นให้สวีซื่อเจี้ยคารวะป้ายจารึกของถงซื่อ เรื่องบางเรื่องก็ควรเล่าให้เขาฟังได้แล้วกระมัง
คิดเช่นนี้ นางก็ถอนหายใจเบาๆ
เมื่อก่อนนางมักจะปกป้องเขาเสมอ เรื่องบางเรื่องที่ควรทำ นางกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ ทุกคนไม่กล้าทำให้นางเสียหน้า จึงพากันแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดเหมือนนาง แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องพูดแล้ว นางกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไร
โชคดีที่สวีลิ่งอี๋ช่วยออกความคิดเห็น
นางสงบสติอารมณ์ลงแล้วจิบชาสองสามจิบ
จิ่นเกอวิ่งเข้ามา
“ท่านแม่!” เขาปีนขึ้นมาบนเตียงเตา กอดคอสืออีเหนียงแล้วกระซิบเบาๆ “ข้าจะบอกอะไรให้ท่านฟังขอรับ พี่สี่และพี่ห้าเขียนหนังสือสัญญาไม่เป็นขอรับ!” เขาทำท่าทีฟ้องสืออีเหนียง “กำลังนั่งเป็นกังวลอยู่”
หนังสือสัญญา… มันคือของเล่นของนางในยุคนั้น ให้สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเขียนหนังสือสัญญา ทำให้พวกเขาลำบากใจจริงๆ แต่ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองดีกว่า โตขนาดนี้แล้ว มีเรื่องอันใดก็จะให้ผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ ต่อไปหากอยากจะปล่อยพวกเขาออกสู่สังคมภายนอกมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตบก้นจิ่นเกอเบาๆ “ไปหาหนังสือมาเล่มหนึ่ง เราเล่นหาคำกันเถิด”
จิ่นเกอดีอกดีใจ รีบตะโกนขานว่า “ขอรับ” ลงไปจากเตียงเตาแล้วหาหนังสือ ‘ตำราปฐมวัย’ มานั่งในอ้อมแขนของท่านแม่
สืออีเหนียงเปิดหนังสือ ชี้ไปที่คำว่า ‘แปด”’ ของประโยค ‘บุตรทั้งแปดคนของสวินซื่อ ถูกขนานนามว่ามังกรทั้งแปด’ จิ่นเกอก็ชี้คำว่า ‘สาม’ ของประโยค ‘บุตรทั้งสามของเสี่ยวโยว ถูกขนานนามว่าหงส์ทั้งสาม’ ทันที จากนั้นก็อ่านออกเสียง สืออีเหนียงชี้ไปที่คำว่า ‘ความยุติธรรม’ ของประโยค ‘สำหรับความยุติธรรม ไม่มีคำว่าส่วนตัว’ แล้วอ่านออกเสียง จิ่นเกอก็ชี้คำว่า ‘ส่วนตัว’ แล้วอ่านออกเสียง…พวกเขาสองคนพลิกหน้าหนังสือไปเรื่อยๆ อ่านไปประมาณสามสิบกว่าคำ จิ่นเกอก็นั่งไม่ติดอีกแล้ว “ท่านแม่ ข้าจะไปดูว่าพี่ๆ เขียนหนังสือสัญญาเสร็จแล้วหรือยัง”
เขาดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
อ่านหนังสือค่อนข้างน่าเบื่อ แล้วเขาก็ยังเด็ก แน่นอนว่าไม่มีทางนั่งได้นาน
“ได้สิ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้ววางหนังสือลง
จิ่นเกอวิ่งไปที่ห้องหนังสือของสวีซื่อจุนอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็กลับมาบอกสืออีเหนียง “พี่สี่บอกให้หวังซู่ไปหาอาจารย์จ้าวแล้วขอรับ บอกให้เขาถามอาจารย์จ้าวว่าหนังสือสัญญาเขียนเช่นไร!”
เมื่อมีแรงกดดันก็ย่อมมีแรงผลักดัน ในที่สุดสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็รู้จักที่จะคิดหาวิธีแก้ไขแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า นางหอมแก้มจิ่นเกอ “เราเล่นหาคำกันต่อดีหรือไม่”
จิ่นเกอพยักหน้า
สองแม่ลูกเล่นหาคำกันต่อ
เมื่อใกล้ถึงยามโหย่ว จิ่นเกอก็เบื่อเกมหาคำอีกแล้ว แล้วก็เบื่อพันด้าย ขว้างถุงทรายและกระโดดเชือก สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามา มอบหนังสือสัญญาที่ถือว่าเขียนได้ไม่เลวสองฉบับให้สืออีเหนียง
คำขอโทษอยู่ที่ความจริงใจ คิดว่าไท่ฮูหยินคงจะไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไร
สืออีเหนียงพาพวกเขาทั้งสองคนไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินมองดูหนังสือสัญญาแล้วถอนหายใจเบาๆ พูดแค่ว่า “ต่อไปจะทำเช่นนี้ไม่ได้อีก” จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ยกน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาและขนมมะม่วงหิมพานต์ที่พวกเขาชอบทานเข้ามาให้พวกเขา
สวีซื่อจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เลือกขนมมะม่วงหิมพานต์ที่มีเมล็ดงามากที่สุดให้สวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ เขานั่งทานขนมมะม่วงหิมพานต์ด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่แค่หมั่นโถวธรรมดาๆ ก็ยิ้มแล้วทานอย่างเอร็ดอร่อย
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ
การเติบโต มักมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย
หากเขาสามารถเรียนรู้อะไรได้จากเรื่องนี้ เช่นนั้นมันก็คุ้มค่า
นึกขึ้นมาได้ว่าที่โถงบุปผายังมีเรื่องอีกเยอะแยะ สืออีเหนียงนั่งต่อครู่หนึ่งจากนั้นก็ขอตัวลา
ไท่ฮูหยินบอกให้เด็กๆ อยู่ต่อ
เมื่อสืออีเหนียงจัดการเรื่องต่างๆ จนเสร็จแล้ว ก็พลบค่ำพอดี
เพราะว่ามันดึกเกินไป ผู้ดูแลหญิงต่างก็ยังไม่ได้ทานข้าว รีบจัดการเรื่องของวันนี้ให้เสร็จ ทั้งในและนอกจวนสกุลสวีสว่างไสว บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้เดินไปเดินมาอย่างเร่งรีบ
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็แปลกใจ
สืออีเหนียงทำอะไรรวดเร็วมาตลอด แต่เหตุใดตอนนี้คนในลานยังทำงานกันไม่เสร็จ
เติงฮวา บ่าวรับใช้ของสวีลิ่งอี๋สังเกตสีหน้าของเขา ก่อนจะพูดเบาๆ “ฮูหยินพึ่งจะมาสั่งงานเมื่อยามโหย่วขอรับ บรรดาป้ารับใช้ต่างก็รีบเก็บข้าวของ พรุ่งนี้จะได้เรียบร้อยขอรับ”
เรื่องที่ฮูหยินเฆี่ยนผู้ดูแลลานข้างนอกแพร่กระจายไปทั่วจวนตั้งนานแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องที่นางทำเกินหน้าที่ตัวเอง ต่อไปจะเป็นเช่นไรก็ไม่มีใครรู้ ทุกคนล้วนแต่จับตามองสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ เติงฮวาไม่เพียงแต่พูดเสียงเบา แล้วยังพูดอย่างระมัดระวัง
ถึงแม้ว่าจะโมโหเพราะเรื่องของจิ่นเกอ แต่สืออีเหนียงไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามอำเภอใจ ทำอะไรเห็นแก่ตัวโดยที่ไม่สนใจสถานการณ์โดยรวม ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันนี้วุ่นวาย เหตุใดถึงสั่งงานบรรดาบ่าวรับใช้ยามโหย่ว
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ
เข้ามาในห้อง เห็นสืออีเหนียงกำลังทานข้าว บนโต๊ะเตียงเตามีชามสี่ห้าชาม ไม่มีใครคอยรับใช้นาง ทำให้บรรยากาศในห้องดูว่างเปล่า
“เหตุใดท่านโหวถึงกลับมาเร็วเช่นนี้” นางเดินไปรับใช้สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า “ทานอะไรหรือยังเจ้าคะ พี่เขยเจ็ดและคนอื่นๆ กลับไปแล้วหรือ”
“ข้าทานแล้ว” สวีลิ่งอี๋บอกให้นางทานต่อ แล้วหันไปบอกให้ชิวอวี่เรียกสาวใช้น้อยเข้ามารับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า “ปลายเดือนนี้นายท่านผู้เฒ่าสกุลเซ่าจะฉลองวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปี พรุ่งนี้จ้งหรานต้องรีบกลับไป จูอานผิงและเจิ้นซิ่งนัดกันไปสกุลของจินฮั่นหลิน มีลูกศิษย์คนหนึ่งของจินฮั่นหลินพึ่งจะได้รับตำแหน่งข้าหลวงเฉวียนโจว เราจึงแยกย้ายกัน” เขาพูดพร้อมกับเดินไปยังห้องชำระ เมื่อล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา กลับเห็นสืออีเหนียงถือชามเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
เมื่อได้ยินเสียง นางก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้ม “ท่านโหวจะทานอะไรเพิ่มหรือไม่!”
“ไม่เป็นไร!” สวีลิ่งอี๋เดินไปนั่งบนเตียงเตา ยกถ้วยชาที่สาวใช้เตรียมไว้ให้เขาขึ้นมาจิบแล้วพูดว่า “เจ้าทานเถิด!”
สืออีเหนียงตอบรับ จากนั้นก็ก้มหน้าทานข้าวไม่พูดอะไรอีก
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ
ยามเช้าของวันนี้สืออีเหนียงจัดการผู้ดูแลเหล่านั้นด้วยวิธีที่รุนแรงเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะทำไปเพราะมีเหตุผล แต่มันไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ด้วยนิสัยของนาง เจอเขานางควรอธิบายให้เขาฟัง แต่กลับมีท่าทีใจลอยเช่นนี้?
พลันนึกถึงบรรยากาศระหว่างทางที่เดินมาเมื่อครู่…
หรือว่ามีเรื่องอันใดที่ตนไม่รู้
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะสำรวจมองสืออีเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า
นางม้วนผมเป็นมวยหลวมๆ มีเส้นผมสองสามเส้นห้อยอยู่ข้างแก้ม ถุงใต้ตามีสีเขียวจางๆ สีหน้าดูเหนื่อยล้า
“สืออีเหนียง!” เขาอดไม่ได้ที่จะพูดเบาๆ ยื่นมือออกไปจับเส้นผมที่อยู่ข้างแก้มไปทัดไว้หลังหูให้นาง “มีเรื่องอันใดหรือ”
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่สับสน ภายใต้แสงไฟสลัว ทำให้นางดูมีความอ่อนโยน
“เกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “ทำไมเจ้าดูเหนื่อยล้า!”
สืออีเหนียงกำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้
ไม่ได้ร้องงิ้วในเรือนเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้แอบออกไปดูงิ้วข้างนอก สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็แค่เขียนบันทึกบทเพลงอยู่ในห้อง แต่เก๋อจินกลับไปรายงานไท่ฮูหยินอย่างรวดเร็ว ไท่ฮูหยินไม่เพียงแต่มาที่เรือนต้านปั๋วไจด้วยตัวเอง แล้วยังตำหนิสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย...เก๋อจินรู้ได้เช่นไรว่าไท่ฮูหยินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้? เห็นได้ชัดว่านางทำตามคำสั่งของไท่ฮูหยิน…และสวีซื่อจุน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รังเกียจการฟังงิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น คนที่ไท่ฮูหยินสนใจไม่ใช้สวีซื่อจุนแต่คือสวีซื่อเจี้ย...ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว การมาของสวีซื่อเจี้ย สำหรับไท่ฮูหยินแล้ว เป็นเหมือนแค่การมีตะเกียบเพิ่มอีกคู่หนึ่ง นางไม่ได้ชอบเขา แต่ก็ไม่ได้รังเกียจเขา มอบรางวัลให้เด็กๆ ก็จะมีส่วนแบ่งของเขาตลอด แต่นางก็ไม่เคยสนใจเขามากขนาดนี้…ไท่ฮูหยินเริ่มให้ความสนใจกับสวีซื่อเจี้ยตั้งแต่เมื่อไรกัน หลังจากพิธีครบเดือนของหลานชายฮูหยินสาม? หรือว่าตั้งแต่ที่สวีซื่อเจี้ยไปฟังงิ้วกับฮูหยินสองสามคนนั้น?
ตอนที่ตนพาพวกเขาไปขอโทษไท่ฮูหยิน ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะไม่พูดอะไร แต่ในใจนางคิดอะไรอยู่กันแน่? ต่อไปนางจะหาข้ออ้างอย่างอื่นมาจัดการสวีซื่อเจี้ยหรือไม่
สืออีเหนียงไม่ค่อยแน่ใจ
ได้ยินสวีลิ่งอี๋เรียกชื่อของตัวเอง นางก็เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขา
นึกถึงแต่เรื่องของตัวเองจนลืมสวีลิ่งอี๋!
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนด้วยความรู้สึกผิด