เซียนคือเต๋าพิเศษชนิดหนึ่งและยังเป็นเหตุผลที่หวังเป่าเล่อไม่ถูกแทรกซึม จนทำให้มหาเทพเกิดตัวแปรไม่คาดฝันที่ใหญ่ที่สุดขึ้น!
เรียกได้ว่าหากไม่มีเต๋าชนิดพิเศษอย่างเซียนในมหาจักรวาล บางทีหวังเป่าเล่อก็อาจไม่ใช่หวังเป่าเล่อ เขาอาจเป็นเหมือนดวงจิตเทพอีก 99,999 ดวงที่มหาเทพแบ่งออกมา สุดท้ายก็หวนกลับไปเป็นวิญญาณจักรพรรดิ และมหาเทพก็จะสมบูรณ์ได้ด้วยเหตุนี้
ทว่ากลับมีเซียนปรากฏขึ้น
มันส่งอิทธิพลต่อหวังเป่าเล่อจนเปลี่ยนแปลงกระบวนการเดิม หากมองย้อนไปตอนที่กู่และหลัวฉวยโอกาสมหาเทพดึงดูดหายนะไม้สีดำมาและกักตนจนหนีออกมาจากมิติเต๋าต้นกำเนิดได้ราวกับมีแรงผลักดันอยู่เบื้องหลัง
มิเช่นนั้นแล้ว…เหตุใดหลังจากหลัวและกู่หนีออกจากมิติเต๋าต้นกำเนิดได้ถึงเจอกับวิชาสืบทอดเซียน…และเพราะการพบเจอครั้งนั้นจึงทำให้กู่และหลัวเกิดสงครามแย่งชิงกัน
เป็นผลให้เกิดการซ่อนตัวของกู่ ผนึกจากฝ่ามือข้างขวาของหลัว รวมถึง…การกลับมายังมิติเต๋าต้นกำเนิดอีกครั้งของหลัวและพยายามท้าสู้กับมหาเทพที่บาดเจ็บจากหายนะไม้อีกครั้ง และพ่ายแพ้ไป
ต้นเหตุของทุกสิ่งดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับวิชาสืบทอดเซียน
และนี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดอยู่ตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นยุคแรกของมหาจักรวาลจากในภาพความทรงจำของมหาเทพ ดูเหมือนมันจะมีอะไรพิเศษเพราะมันสามารถบังคับให้โลงศพหลอมรวมและกลายเป็นสารัตถะเต๋าธาตุไม้ของตัวมันเองได้
แล้วยังแทรกแซงแผนการฟื้นคืนชีพของมหาเทพทำให้มหาเทพจำต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้น
“เป็นไปได้ไหมว่า…เหตุผลที่มหาจักรวาลผืนนี้พิเศษตั้งแต่ยุคแรกนั้นเป็นเพราะ…นี่คือจักรวาลที่สามารถถือกำเนิดเซียนได้!” หวังเป่าเล่อใจกระตุกวูบ ความคิดนี้โลดแล่นอยู่ในหัว
เพราะหากอธิบายแบบนี้ เรื่องทุกอย่างก็ดูจะลงล็อคไปหมด
ความพิเศษของจักรวาลผืนนี้ มาจากความจริงที่ว่ามันคือแหล่งกำเนิดเซียน
เต๋าพิเศษอย่างเซียนได้ถูกกำหนดให้ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ดังนั้น…แผนการอันแข็งแกร่งในสถานที่แห่งนี้ของมหาเทพจึงล้มเหลว
เมื่อครุ่นคิดต่อไป…จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็คิดขึ้นได้อีกว่า มันเป็นไปได้ไหม…ที่หายนะสวรรค์ที่มหาเทพจงใจชักนำมาไม่ใช่แค่หายนะไม้ในที่แจ้งเท่านั้น…
ยังมีหายนะเซียนในที่มืดด้วย!!
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาไม่ได้รีบร้อนเพราะสัมผัสได้ว่าความจริง…กำลังจะเผยออกมาในไม่ช้า คำตอบของทุกอย่างนั้นใช้เวลาอีกไม่นานเขาก็จะเข้าใจมันกระจ่างแล้ว
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเงยหน้ามองโลกาชั้นแรกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้งอย่างสงบ
ตลอดทางที่ผ่านมาโลกแต่ละชั้นเหมือนกับตุ๊กตาแม่ลูกดก หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจอีกแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามีเพียงซากปรักหักพังที่เปลี่ยนไปของโลกชั้นนี้
เนื่องจากกาลเวลาต่างกัน โลกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในตอนนี้จึงดูเหมือนเพิ่งจะกลายเป็นซากปรักหักพัง และยังมองเห็นควันดำลอยขึ้นมาอยู่ไกลๆ
นอกจากนี้สัญญาณชีวิตก็ดูเหมือนจะชัดเจนกว่าในตอนแรก หากหวังเป่าเล่อสังเกตดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็คงจะหาสิ่งมีชีวิตอื่นของที่นี่เจอแน่
และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็สามารถอยู่รอดได้ในช่องว่างเวลาอันน้อยนิดเท่านั้น
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขารวบรวมสมาธิ ฐานการฝึกฝนในร่างกายไหลเวียนขณะเดินไปยังรูปปั้นอันคุ้นเคย
เขาระมัดระวังมาก เพราะปรารถนาในสี่ด่านที่ผ่านมารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าหากพลาดไปเพียงนิดเดียวเขาอาจจะจมดิ่งอยู่ที่นี่จริงๆ
อีกอย่าง…เขามีลางสังหรณ์ว่าปรารถนาที่ต้องเผชิญในครั้งนี้น่าจะเป็นปรารถนาสัมผัส
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะอาศัยวิธีการยืมความเจ็บปวดของปรารถนาสัมผัสมาจัดการปรารถนาอื่นได้อย่างก่อนหน้านี้
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อก้าวเท้าออกไปก้าวแรก หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่พัดมาจนผิวหนังของเขาเย็นเยียบ
ความหนาวนี้ยังแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขาอย่างรวดเร็วจนไม่อาจบรรยายได้ หวังเป่าเล่อตาวาววับ กฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัสในร่างสำแดงฤทธิ์
“แค่ก้าวแรก กฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัสก็เทียบเท่าเจ้าปรารถนาสัมผัสในตอนนั้นแล้ว…” หวังเป่าเล่อสีหน้ามืดมน เขาครุ่นคิดก่อนจะก้าวต่อไปเป็นก้าวที่สอง
เมื่อวางเท้าลงในสายลมก็ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเพิ่มเข้ามา มันตกกระทบกับร่างหวังเป่าเล่อ ดูเหมือนมือเล็กๆ กำลังลูบไล้ร่างกายของเขาเบาๆ นั่นทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นทันที หลังจากเงียบไปชั่วครู่ก็แค่นเสียงเย็นชาแล้วก้าวต่อไป
ในก้าวที่สามเขาได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิง ในก้าวที่สี่ก็ได้กลิ่นกายเพิ่มเข้ามา ในก้าวที่ห้าก็เกิดความหิวกระหายอย่างรุนแรง
ทุกอย่างมารวมตัวกันในก้าวที่หก หญิงสาวถือร่มผู้นั้นพลันปรากฏตัวอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ นางยกนิ้วลูบไล้เขาผ่านลำคอเบาๆ
การรวมตัวของห้าปรารถนาก่อเกิดความผันผวนมหาศาลที่เหนือกว่าด่านที่ผ่านมา ทำให้ในก้าวที่หกนี้จิตใจหวังเป่าเล่อปั่นป่วนอย่างรุนแรง ลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาแดงก่ำ ดวงวิญญาณเทพจมดิ่ง
แต่หัวใจของเขายังคงสงบนิ่ง
เพราะว่า…ทันทีที่ก้าวเข้ามาในด่านนี้ได้ หวังเป่าเล่อก็คิดวิธีรับมือไว้แล้ว
หลักการเดิมคือสยบปรารถนาด้วยปรารถนา อย่างเช่นในขณะนี้กฎเกณฑ์ปรารถนาอารมณ์ในร่างหวังเป่าเล่อพลันปะทุขึ้น ปรารถนานี้คือโลภในชื่อเสียง โลภในเสียงและรูปลักษณ์ โลภในความรัก
เรียกได้ว่าปรารถนาที่หกนี้คือปรารถนาที่สำคัญที่สุดและเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดของทุกชีวิต เพราะมันเป็นมายาเลื่อนลอย แบ่งแยกไม่ได้ ความโลภแปลงมาจากมันนั้นยิ่งมีอานุภาพมากจนถึงขีดสุด
มันกำลังปะทุขึ้นอยู่ในร่างกายหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวราวกับเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้า
ท่ามกลางความปรารถนาอันแรงกล้านี้ ปรารถนาสัมผัสก็ดูเหมือนจะไม่มีค่าอะไรเลย เหมือนกับมีคนประเภทหนึ่งอยู่บนโลกซึ่งคนเหล่านี้มักมีความทะเยอทะยานสูงส่ง เวลาแสวงหาสิ่งใด พวกเขาก็สามารถระงับความปรารถนาอื่นๆ ได้เพื่อความทะเยอทะยาน
หวังเป่าเล่อก็กำลังใช้วิธีนี้
ทันใดนั้นร่างของผู้หญิงก็หายไป กลิ่นกายก็หายไป ความหิวกระหายก็หายไป เสียงหัวเราะก็หายไป แม้แต่สัมผัสจากปลายนิ้วก็หายไป หลังจากควบคุมได้ทั้งหมดแล้วหวังเป่าเล่อก็ออกเดินเป็นก้าวที่เจ็ด
เมื่อวางเท้าลง ความปรารถนารอบด้านก็กำลังจะหวนกลับมาและดูเหมือนจะมาในลักษณะที่รุนแรงขึ้นด้วย แต่…ท่ามกลางอิทธิพลของกฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัส หวังเป่าเล่อยิ่งดวงตาแดงก่ำ เค้นเสียงคำรามต่ำออกมา
“ไสหัวไป!”
คำพูดของเขาดูเหมือนจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทั่วไป พริบตาเดียวก็ทำให้ความปรารถนารอบตัวแตกสลายในทันที มีเพียงปรารถนาอารมณ์ของเขาเท่านั้นที่แรงกล้ามาก ดูจากที่ไกลๆ มันดูเหมือนเปลวเพลิงที่สามารถแผดเผาทุกสิ่งได้
หลังจากก้าวที่เจ็ด หวังเป่าเล่อท่ามกลางเปลวเพลิงก็ก้าวเข้าสู่กลางหว่างคิ้วของรูปปั้น
พริบตานั้นความปรารถนาทั้งหมดสูญสลาย ภาพความทรงจำส่วนที่ห้าของมหาเทพพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!