“เช่นนั้น…” สวีซื่อเจี้ยมองไปที่สะใภ้หนานหย่ง คำพูดติดอยู่ที่ปาก แต่เขากลับพูดไม่ออก
“ท่านโหวอุ้มท่านมาจากข้างนอกเจ้าค่ะ” สะใภ้หนานหย่งมองตาสวีซื่อเจี้ย “ตอนนั้น ท่านพึ่งจะสามขวบ เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย ผอมแห้งแรงน้อย เห็นอะไรก็อยากทานไปเสียหมด ท่านโหวให้ฮูหยินเป็นคนดูแลท่าน บอกว่า มารดาผู้ให้กำเนิดของท่านเสียชีวิตไปแล้ว ท่านไม่มีใครให้พึ่งพิง บอกให้ฮูหยินดูแลท่าน บ่าวเป็นคนของฮูหยิน ฮูหยินเห็นว่าบ่าวเป็นคนซื่อสัตย์ แล้วก็ยังมีบุตรสาวคนหนึ่งอายุราวๆ กับคุณชายน้อยห้า ฮูหยินจึงให้บ่าวมาดูแลคุณชายน้อยห้าเจ้าค่ะ”
“อุ้มมาจากข้างนอก…” สวีซื่อเจี้ยพูดเบาๆ เรื่องราวในอดีตที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นกลับชัดเจนขึ้นมาราวกับถูกปัดฝุ่นทิ้งไป
ห้องสีเทา ผ้าฝ้ายที่เก่าโทรม หลังคาที่รั่ว คนดื่มสุราทุบของอยู่ตรงนั้น มีเสียงร้องงิ้วดังออกมาจากเรือนข้างๆ…
“เช่นนั้นท่านแม่ผู้ให้กำเนิดข้า ท่านแม่ผู้ให้กำเนิดข้าเป็นคนเช่นไร” สวีซื่อเจี้ยพูดเบาๆ เขามองสะใภ้หนานหย่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความลังเล หวังว่าสะใภ้หนานหย่งจะบอกความจริงกับเขา แต่ก็กลัวว่าสะใภ้หนานหย่งจะพูดเหมือนคำตอบที่อยู่ในใจของตัวเอง
“บ่าวก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ!” สะใภ้หนานหย่งพูดอย่างตรงไปตรงมา “ท่านโหวบอกว่าเขาฝันว่าถงอี๋เหนียงที่เสียชีวิตไปแล้วทุกข์ทรมาน เสียชีวิตไปแล้ว แต่แม้แต่คนจุดธูปให้ก็ไม่มี มักจะเจอคุณชายน้อยห้าที่หน้าตาเหมือนท่านโหวอย่างกับแกะอยู่ที่วัด คิดว่ามันคือพรหมลิขิต จึงอุ้มท่านกลับมาเลี้ยงดู”
สวีซื่อเจี้ยสับสนไปหมด เขาไตร่ตรองตามคำพูดของสะใภ้หนานหย่ง จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ลง
ในเมื่ออุ้มเขามาจากวัด แล้วท่านพ่อรู้ได้เช่นไรว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเขาเสียชีวิตไปแล้ว เขาไม่มีคนให้พึ่งพิง?
ถึงแม้ว่าถงอี๋เหนียงจะเป็นอี๋เหนียง แต่เขาไม่เคยได้ยินว่าไม่มีใครจุดธูปให้ถงอี๋เหนียง
ก่อนที่เขาจะมาที่จวน ท่านพ่อมีบุตรชายตั้งสองคนแล้ว ท่านแม่ก็อายุยังน้อย เหตุใดยังต้องอุ้มเขากลับมาเลี้ยงด้วยเล่า…แล้วเขาเองก็ยังมีดวงตาที่เหมือนท่านพ่อ พี่สองและน้องหกอย่างกับแกะ…
ทันใดนั้น ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขา
“ท่านป้า!” สวีซื่อเจี้ยหน้าซีด “ข้าเป็นบุตรของภรรยานอกสมรสอย่างนั้นหรือ”
สะใภ้หนานหย่งมองเขาด้วยสายตาที่เห็นอกเห็นใจ นางถอนหายใจเบาๆ “คนข้างนอกพูดกันเช่นนี้เจ้าค่ะ”
ใช่แล้ว มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่อธิบายได้!
สวีซื่อเจี้ยยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
สะใภ้หนานหย่งสงสารเขา นางเข้าไปกอดเขาแน่น
หลังจากนั้นไม่นาน สวีซื่อเจี้ยก็ดิ้นออกจากอ้อมกอดของสะใภ้หนานหย่ง จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกด้วยท่าทีที่ผิดหวัง
สะใภ้หนานหย่งนึกถึงพฤติกรรมช่วงนี้ของสวีซื่อเจี้ย นางอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
เขาโตแล้ว ยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น สั่งสอนไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว…จู่ๆ เขาก็ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะทำเช่นไร
คิดเช่นนี้ สะใภ้หนานหย่งก็เรียกสวีซื่อเจี้ย “คุณชายน้อยห้า ท่านเชื่อบ่าวหรือไม่เจ้าคะ”
สวีซื่อเจี้ยหันกลับมามองสะใภ้หนานหย่ง
สะใภ้หนานหย่งเดินเข้าไปจับมือสวีซื่อเจี้ย “ป้าหนานของท่านเป็นคนซื่อสัตย์ บ่าวไม่สนใจว่าคนข้างนอกจะพูดเช่นไร ไม่สนใจว่าท่านโหวจะพูดเช่นไร แล้วก็ไม่สนใจว่าท่านจะคิดเช่นไร สำหรับบ่าวแล้ว ในเมื่อฮูหยินรับปากว่าจะเลี้ยงท่าน ก็หมายความว่าฮูหยินยอมรับท่าน ท่านคือบุตรชายของท่านโหว คือคุณชายน้อยห้าของจวนหลังนี้…”
นางยังพูดไม่ทันจบ สวีซื่อเจี้ยก็ยิ้ม “คุณชายน้อยห้า? คุณชายน้อยห้าอะไรกัน… ไม่แปลกที่คุณชายสกุลโต้วใช้งานข้าราวกับบ่าวรับใช้ ไม่แปลกที่ไท่ฮูหยินไม่ชอบข้า…ข้า…” เขายิ้มอย่างเย็นชา “บุตรชายของภรรยานอกสมรส…ข้าทำให้ท่านแม่ต้องอับอายขายขี้หน้า…”
“คุณชายน้อยห้าเจ้าคะ!” สะใภ้หนานหย่งได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็หม่นหมองลง พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ท่านพูดเช่นนี้ หากฮูหยินรู้เข้าฮูหยินจะเสียใจแค่ไหนกัน! ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฮูหยิน แต่ฮูหยินเลี้ยงท่านราวกับลูกแท้ๆ ของตัวเอง มีของของคุณชายน้อยสี่ มีของของคุณชายน้อยหก แล้วก็มีของของท่าน ท่านเอาแต่คิดเรื่องที่มาของตัวเอง ท่านเคยนึกถึงความรู้สึกของฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินเช่นนี้ก็ปวดใจ สีหน้าของเขามีความรู้สึกผิด “ข้า…ข้า…”
ในหัวของเขามีแต่ภาพของสืออีเหนียง คืนที่หิมะตก นางอ่านหนังสือภายใต้แสงไฟสลัวกับเขา…วันที่อากาศร้อน นางพัดให้เขาที่กำลังเขียนหนังสือ…ทำอะไรผิด นางก็สั่งสอนเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน…ได้รับคำชมจากอาจารย์ นางก็ดีใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก สายตาของนางเป็นประกาย แล้วยังกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขน…
“ป้าหนาน!” สวีซื่อเจี้ยพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสะใภ้หนานหย่งแล้วร้องไห้
ร้องไห้ออกมาเป็นเรื่องที่ดี!
ตนกลัวว่าเขาจะไม่ร้องไห้ ไม่ยอมฟังคำพูดของใคร
สะใภ้หนานหย่งกอดเขาแล้วตบหลังเขาเบาๆ ปลอบใจเขาเหมือนตอนที่เขายังเป็นเด็ก
สวีซื่อเจี้ยยิ่งร้องไห้หนักว่าเดิม
มีป้ารับใช้ที่อยู่ในลานเดียวกันได้ยินเสียงแล้วเดินเข้ามา “ไอ๊หยา เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เห็นว่าเป็นสวีซื่อเจี้ย ป้ารับใช้คนนั้นก็ยิ้ม
เป็นป้ารับใช้ผู้ดูแลที่เรือนของคุณชายน้อยมีข้อดี…ไม่ว่าเจ้านายจะอายุเท่าไร ก็มักจะนึกถึงตัวเองอยู่เสมอ…แต่น่าเสียดายที่ได้เป็นป้ารับใช้ผู้ดูแลที่เรือนของคุณชายน้อยห้า หากเป็นป้ารับใช้ผู้ดูแลที่เรือนของคุณชายน้อยสี่หรือว่าคุณชายน้อยหก ไม่ต้องพูดถึงห้องปีกทางทิศตะวันตก ต่อไปออกไปเป็นผู้ดูแลไร่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก!
คิดเช่นนี้ นางก็ทำท่าที ‘ไม่รบกวนพวกเจ้าดีกว่า’ ให้สะใภ้หนานหย่ง จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
สะใภ้หนานหย่งจึงพาสวีซื่อเจี้ยเข้าไปข้างใน
สวีซื่อเจี้ยซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของสะใภ้หนานหย่งแล้วสะอื้นไห้
สะใภ้หนานหย่งเห็นเขาค่อยๆ สงบลง จึงพูดปลอบใจเขา “คุณชายน้อยห้าเจ้าคะ ท่านโหวให้ฮูหยินเป็นคนเลี้ยงดูท่าน ฮูหยินโยนท่านให้ป้ารับใช้คนอื่นเป็นคนดูแลก็ได้ แล้วยังสามารถใช้ข้ออ้างเลี้ยงท่านในนามของถงอี๋เหนียง ให้ท่านไปอยู่ที่เรือนนอก แต่ท่านดูฮูหยินสิเจ้าคะ ดูแลเรื่องในจวน ยุ่งทุกวัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่เคยละเลยท่าน แล้วยังให้ป้าหนานมาดูแลท่าน เลี้ยงท่านที่เรือนหลัก อากาศหนาว ก็ทำเสื้อคลุมให้ท่าน อากาศร้อน ก็ให้ท่านไปหลบร้อนในห้องที่มีน้ำแข็ง แล้วยังเชิญอาจารย์จ้าวมาสอนหนังสือให้ท่านอีก ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกแท้ๆ ก็ทำแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านคือบุตรที่ท่านโหวอุ้มมาจากข้างนอก แต่ท่านดูท่านสิเจ้าคะ ทำอะไรลงไป ไม่รู้ว่าไปได้ยินอะไรมาจากที่ไหน ร้องไห้มาหาบ่าว โชคดีที่ปิดประตูเอาไว้ หากป้ารับใช้คนอื่นในจวนรู้เข้า พวกนางคงจะแอบหัวเราะเยาะฮูหยินที่เลี้ยงท่านมาเสียเปล่า”
สวีซื่อเจี้ยถูกสะใภ้หนานหย่งพูดจนหน้าแดงก่ำ เขาก้มหน้าลงแล้วไม่พูดอะไร
สะใภ้หนานหย่งเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางพูดอย่างอ่อนโยน “คุณชายน้อยห้าเจ้าคะ ป้าหนานไม่เคยร่ำเรียนหนังสือ ไม่รู้จักหลักการที่ยิ่งใหญ่ แต่บ่าวรู้ว่า หากเป็นเช่นนี้ ท่านก็ควรที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน ตั้งใจเล่าเรียนหนังสือ เป็นหน้าเป็นตาให้ฮูหยิน เช่นนี้ถึงจะไม่ทำให้ฮูหยินผิดหวังที่เลี้ยงท่านมา!”
หัวใจของสวีซื่อเจี้ยเต้นแรง เขาพยักหน้าซ้ำๆ “ข้าจะตั้งใจเล่าเรียนหนังสือ เป็นหน้าเป็นตาให้กับท่านแม่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” สะใภ้หนานหย่งกอดสวีซื่อเจี้ยด้วยความดีใจ “เอาล่ะ ท่านดูท่านสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ประเดี๋ยวก็ยิ้ม หน้าเลอะเทอะหมดแล้ว จะออกไปข้างนอกได้อย่างไรกัน บ่าวไปตักน้ำมาให้ท่านล้างหน้าล้างตา ต่อไปจะทำแบบนี้อีกไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ!”
สวีซื่อเจี้ยขานรับ เมื่อสะใภ้หนานหย่งไปตักน้ำ เขาก็นึกถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ ท่านแม่จึงไม่ชอบให้เขาร้องงิ้วอย่างนั้นหรือ
เขาตัดสินใจ
ต่อไปจะตั้งใจเรียน ให้ท่านแม่ภาคภูมิใจในตัวเขา!
คิดเช่นนี้แล้ว เขาก็อยากเจอหน้ามารดาขึ้นมาทันที
รีบล้างหน้า จากนั้นสวีซื่อเจี้ยก็ไปที่เรือนของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกำลังคุยเรื่องงานปีใหม่กับบรรดาผู้ดูแลหญิง เมื่อเห็นเขาเข้ามา นางก็หยุดพูด ยิ้มแล้วถามเขาว่า “มีอะไรหรือ”
สมุดบัญชีกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะเตียงเตา ผู้ดูแลหญิงเจ็ดแปดคนยืนกุมมืออยู่ตรงนั้นอย่างนอบน้อม รอให้สืออีเหนียงและสวีซื่อเจี้ยพูดคุยกันจบแล้วจะได้พูดเรื่องงานต่อ
สวีซื่อเจี้ยรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าสืออีเหนียง กอดขาสืออีเหนียงแล้ววางหัวลงบนเข่าของนาง
“ท่านแม่ขอรับ…” เรื่องราวในอดีตวนเวียนอยู่ในหัวของเขาราวกับขบวนแห่ ล้วนแต่เป็นภาพที่สืออีเหนียงสวมเสื้อผ้าหรือเล่นเกมกับเขาเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก
เขาพูดอะไรไม่ออก น้ำตาคลอเบ้า กลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเอง เขารีบหลับตาลง แต่จมูกกลับได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่เขาเคยได้กลิ่นมาตั้งแต่เด็ก
เขาสงบสติอารมณ์ลง แต่กลับรู้สึกว่าดวงตาของเขาเปียกชื้นมากกว่าเดิม
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็แปลกใจ คิดว่าเขาถูกรังแก เลยบอกให้ทุกคนออกไปรอที่ห้องปีก นางลูบผมสีดำขลับของสวีซื่อเจี้ยอย่างเบามือ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เกิดอะไรขึ้น เจี้ยเกอเจอเรื่องลำบากใจอะไรหรือ เอาแต่ร้องไห้จะมีประโยชน์อะไร ลุกขึ้นมาเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า”
ในที่สุดสวีซื่อเจี้ยก็กลั้นน้ำตาเอาไว้
เขายิ้มแล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ถูกชะโลมด้วยน้ำตาสดใสยิ่งกว่าเดิม
“ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ ข้าแค่คิดถึงท่านแม่!” เขาพูด จากนั้นก็วางหัวลงบนตักของสืออีเหนียงอีกครั้ง
สืออีเหนียงรู้สึกถึงความผิดปกติของเขา แต่กลับบังคับให้เขาพูดอะไรที่นี่ไม่ได้ นางยิ้มแล้วพูดว่า “โตขนาดนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็ก”
สวีซื่อเจี้ยยิ้ม อยู่กับสืออีเหนียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปจากโถงบุปผา “ท่านแม่ ท่านคุยงานเถิด! ข้ากลับไปอ่านหนังสือดีกว่า!”
สืออีเหนียงมองดูแผ่นหลังของเขาแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง บอกให้ชิววี่ไปเรียกสี่เอ๋อร์มา จากนั้นตัวเองก็คุยเรื่องงานกับบรรดาผู้ดูแลต่อ
และในเรือนต้านปั๋วไจที่อยู่ห่างจากโถงบุปผาของเรือนหลัก สวีซื่อจุนกำลังยืนอยู่ตรงข้ามเก๋อจิน
เก๋อจินมองดูสายตาที่มีความโมโหของสวีซื่อจุน นางถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ “บ่าวรู้ว่าคุณชายน้อยสี่โทษบ่าวที่บ่าวไปฟ้องไท่ฮูหยิน แต่เรื่องนี้คือเรื่องที่ไท่ฮูหยินกำชับตลอดเวลา แล้วบ่าวก็คิดว่าไท่ฮูหยินพูดมีเหตุผล ถึงแม้ว่าท่านและคุณชายน้อยห้าจะเป็นพี่น้องกัน แต่ท่านคือซื่อจื่อ ควรมีท่าทีของซื่อจื่อ คุณชายน้อยห้าเป็นบุตรอนุภรรยา ก็ควรมีท่าทีของบุตรอนุภรรยา ไม่เช่นนั้น ในสายตาของคนอื่น สกุลสวีก็คงจะกลายเป็นสกุลที่ไม่แบ่งแยกชนชั้น เช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ท่านถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ แม้แต่คุณชายน้อยห้า ก็อาจจถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ กลายเป็นตัวตลกของคนอื่นเอานะเจ้าคะ!”
สวีซื่อจุนนึกถึงโต้วจิ้ง นึกถึงบันทึกบทเพลง นึกถึงท่าทีเกรี้ยวโกรธของไท่ฮูหยิน และนึกถึงท่าทีเป็นห่วงของสืออีเหนียง…คำพูดนับพันติดอยู่ที่ปากของเขา
เขาถอนหายใจ
เก๋อจินเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองพูดแรงเกินไป นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “หากคุณชายน้อยสี่สงสารคุณชายน้อยห้าจริงๆ ท่านก็แอบทำดีกับคุณชายน้อยห้าเป็นการส่วนตัว หากทำประเจิดประเจ้อเช่นนี้ คนอื่นเห็นแล้วอาจจะนำไปพูดเสียๆ หายๆ ได้เจ้าค่ะ…”
นางเพิ่งจะพูดจบ สวีซื่อจุนก็ส่ายหน้าใส่นาง “พี่เก๋อจินไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นี่คือเรื่องของข้า ท่านคือคนของท่านย่า ข้าจึงเคารพท่านมาตลอด ครั้งนี้ข้าจะไม่คิดอะไร แต่หากต่อไปมีเรื่องอันใดอีก หวังเพียงว่าพี่เก๋อจินจะบอกข้าก่อน” พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในห้อง ทิ้งให้เก๋อจินที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว