ทุกคนต่างก็รู้ว่าคำว่า ‘เย้ายวน’ เป็นคำต้องห้ามสำหรับฮองเฮา ที่ผู้หญิงจากตระกูลมู่หรงคนนั้นได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็เพราะรูปร่างหน้าตาอันแสนเย้ายวนของนาง
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของอวิ๋นปี้ลั่วไม่ต่างจากการผลักเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าสู่กองไฟ…
เป็นอย่างที่คาดไว้ ทันทีที่ฮองเฮาได้ยินคำพูดของอวิ๋นปี้ลั่ว นางก็ขยี้ชาดในมือทีละน้อย ใบหน้างดงามของนางดำทะมึน
จากนั้นนางก็หัวเราะออกมาราวกับเพิ่งนึกอะไรได้ “องค์ชายใหญ่เสียขันทีไปคนหนึ่ง แม้มันจะไม่ใช่ความผิดของเจวี๋ยเอ๋อร์ แต่เขาก็คงหัวเสียน่าดู ส่งสาวใช้ไปให้องค์ชายใหญ่ผ่อนคลายอารมณ์ซะ รอยยิ้มอันอ่อนหวานย่อมสามารถลบล้างได้ทุกความเกลียดชัง” สิ่งสำคัญคือการป้องกันไม่ให้นางกำนัลผู้นี้เข้าใกล้ฮ่องเต้ได้ หญิงแพศยาเช่นนั้นควรถูกไล่ออกไปเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อความสบายใจของทุกคน!
เมื่อได้ยินความคิดนั้น อวิ๋นปี้ลั่วก็เข้าใจสิ่งที่ฮองเฮาต้องการสื่อได้ในทันที แม้จะรู้สึกพอใจ แต่นางก็เอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “แล้วถ้าองค์ชายไม่อนุญาตเรื่องนี้ล่ะเพคะ เมื่อเขาได้ตัดสินใจเรื่องใดลงไปแล้ว ย่อมไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจเขาได้”
“ไม่ต้องห่วง เราเพียงแค่ต้องหาโอกาสให้องค์ชายใหญ่ได้เห็นนางเท่านั้น” ฮองเฮาเป่านิ้วของตัวเอง “ถ้าเขาพอใจแล้วเลิกหาเรื่องกวนใจฮ่องเต้ได้ ข้าก็มีวิธีการของข้าที่จะทำให้เจวี๋ยเอ๋อร์ยอมตกลง อย่างไรเสียนางก็เป็นแค่นางกำนัลธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
“เพคะ” อวิ๋นปี้ลั่วรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที นางเพิ่มแรงจับที่ขาซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกน้ำแข็งกัดเมื่อคราวก่อน ตราบใดที่ฮองเฮามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผู้หญิงคนนั้นย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปจากที่นี่!
ฟ้าเริ่มมืด วันต่อมา ณ ลานฝึกภายในวังหลวง
ในวันนี้ของทุกปี วังหลวงจะคึกคักไปด้วยความตื่นเต้นจากเหล่าขุนนางที่มารวมตัวกันเพื่อเทศกาลล่าสัตว์ที่กำลังจะมาถึง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหายจากอาการป่วยทันเวลา ดังนั้นเขาจึงต้องเข้าร่วมการล่าสัตว์ครั้งนี้เช่นกัน
แต่ก็เป็นเหมือนเช่นทุกครั้ง ข้างกายเขาไม่ได้มีคนอยู่มากนักในเทศกาลนี้
แม้เขาจะมีฐานะสูงส่ง แต่สถานะของเขากลับค่อนข้างกระอักกระอ่วนทีเดียว
บรรดาขุนนางเหล่านั้นล้วนแต่มีแผนการเป็นของตัวเอง ดังนั้นคนพวกนั้นจึงไม่เฉียดเข้ามาใกล้เขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ในมุมร้างผู้คนด้วยสีหน้าเย็นชาแต่กลับเต็มไปด้วยความสง่างาม เขาถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยดึงตัวออกไปเพื่อสอนทักษะพื้นฐานด้านกังฟูให้
การก้าวเท้าของเขาจัดว่าดีทีเดียว แต่หมัดของเขายังเบานัก มันไม่เจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ นางก้มตัวลงเช็ดเหงื่อให้กับเขา จากนั้นจึงป้อนขนมให้เขาหนึ่งคำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ชอบของหวาน โดยปกติแล้วขนมที่เขาทานจึงมักจะมีรสชาติจืดชืด
แต่ห้องเครื่องย่อมไม่มีทางพยายามทำอาหารให้ถูกปากองค์ชายที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากผู้ใดเช่นเขา
ดังนั้นจำนวนครั้งที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกินขนมจึงสามารถนับด้วยนิ้วได้
ทั้งยังไม่มีใครทำขนมให้เขากินเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ามีคนมองเห็นค่าของเขา และยังมีขนมกับผลไม้ให้กินอีกด้วย…
“อะ องค์ชายสามเพคะ…”
เด็กชายจดจ่ออยู่กับขนมที่เฮ่อเหลียนเวยเวยป้อนให้ แต่ตอนนั้นเองที่เด็กผู้หญิงในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์เดินเข้ามาหาเขา นางหวาดกลัวเกินกว่าจะสบตากับเขา มือที่ยื่นกล่องไม้มาให้เขาสั่นระริก “ทะ ท่านแม่บอกให้ข้านำสิ่งนี้มามอบให้ท่านเพคะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปรับกล่องมา
เด็กผู้หญิงคนนั้นดูโล่งใจ นางหันหลังกลับ แล้ววิ่งไปทางเด็กชายอีกคนหนึ่ง และแลบลิ้นออกมา “หัวใจข้าแทบจะหลุดออกจากอกแน่ะ”
“น่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” เด็กชายหัวเราะ เขาพยักหน้าให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจากไกลๆ เป็นการแสดงความเคารพ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเด็กทั้งสองเดินจากไป นางหันกลับมาแล้วหรี่ตาให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “นี่ เจ้าสนใจเด็กผู้หญิงคนนั้นหรือ เจ้าถึงได้รับสิ่งที่นางนำมาให้เสียทุกครั้ง”
“มันเป็นขนมไข่” เด็กชายตอบอย่างเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำตาโต “แล้วอย่างไร?” มันก็เป็นแค่ขนมไข่ ถ้านางรู้วิธีทำ นางก็สามารถทำให้เขากินได้เหมือนกัน!
“ไม่มีอะไร” เด็กชายไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา “ก็แค่เจ้าดูชอบก็เท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคำพูดหวานๆ เอาใจภรรยาที่นางเคยได้ยินก่อนหน้านี้เทียบกับคำพูดนี้ไม่ได้เลย โธ่เอ๊ย! เสียของจริงๆ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เปิดกล่องไม้แล้วหยิบขนมไข่เข้าปากคำหนึ่ง นางเคี้ยวมันอย่างมีความสุข
เด็กชายมองนางอย่างใกล้ชิด เขาเกลียดการนั่งกินข้าวบนพื้นมาโดยตลอด เพราะมันทั้งดูสกปรกและไม่เหมาะสม
แต่เมื่อเห็นสีหน้าพึงพอใจของนาง เขาก็เกลียดไม่ลง เขายืนอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากให้กับนาง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ทีหลังหัดกินให้มันช้าๆ หน่อยอย่าทำของกินหกเรี่ยราดเช่นนี้ เจ้าตัวโตขนาดนี้แต่ยังต้องให้ข้าสอนอีกหรือ…”
“โอ้ นี่มันองค์ชายสามผู้ไม่เกรงกลัวฟ้าดินของพวกเรามิใช่หรือ” น้ำเสียงถากถางดังขึ้นขัดจังหวะเขาอย่างกะทันหัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมอง นางเห็นบุตรชายจากตระกูลขุนนางสองสามคนเดินเข้ามาหาเขาแต่ไกล คนที่เดินนำหน้าคนพวกนั้นอยู่คือคนส่งเสียงขึ้นมาขัดจังหวะพวกนาง
นายน้อยตระกูลหลี่เป็นบุตรชายของแม่ทัพหลี่ผู้กุมอำนาจอันยิ่งใหญ่เอาไว้ในมือ และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องขององค์ชายใหญ่อีกด้วย
เด็กชายดูฉลาดเฉลียวและดูอายุน้อยกว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสองสามปีเห็นจะได้ แต่เขาก็ดูชั่วร้าย อีกทั้งคำพูดที่ออกมาจากปากของเขาก็ทั้งน่ารังเกียจและหยาบคาย “องค์ชายสาม ที่พวกข้ามาหาท่านในคืนนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด แต่ถ้าท่านยอมกลืนไส้เดือนสองตัวนี้ลงไปละก็ พวกข้าจะยอมลืมอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวจั่วจื่อไปเสีย ถ้าท่านไม่กิน ข้าจะไปบอกท่านพ่อว่าท่านรังแกข้า ท่านก็รู้ว่าท่านพ่อของข้ามีกองทัพอยู่ในมือมากมาย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องให้ความเคารพเขา บอกข้ามาสิว่าองค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปรานอย่างท่านจะยอมถูกลงโทษหรือไม่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ขยับ เขาทำเพียงแค่จับมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยแน่นขึ้น สายตาของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้ผมหน้าม้านั้นเต็มไปด้วยความมืดมนอันน่าสะพรึงกลัว
นายน้อยหลี่ขยิบตาส่งสัญญาณให้กับผู้ติดตามของตัวเอง แล้วเหยียดยิ้มเย็นชาให้กับเขา “จัดการเขาซะ เขาไม่กล้าสู้กลับหรอก ถ้าเขากล้า ข้าจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเพื่อเรียกความสนใจของทุกคน! แล้วบอกว่าเขาเป็นคนรังแกข้า!”
เคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายมาก็มาก แต่ไม่เคยพบเห็นคนที่หน้าด้านสุดขีดอย่างคุณชายหลี่มาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือทั้งสองข้างแน่น แต่นางมองสถานการณ์นี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เด็กที่มีแต่เพียงความชั่วร้ายเช่นนี้ย่อมไม่สามารถวางแผนการอันแยบยลเช่นนี้ได้ จะต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเขาอย่างแน่นอน
หากจุดประสงค์ของเขามีเพียงแค่การแก้แค้น มันย่อมไม่จบลงเพียงแค่การทำร้ายร่างกายองค์ชาย
ถ้าพวกเขาตั้งใจให้องค์ชายต้องพบกับความพ่ายแพ้ ฮ่องเต้จะต้องอยู่เป็นพยานที่นี่ด้วย… จะว่าไปแล้ว ฮ่องเต้ก็น่าจะอยู่แถวนี้
ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่สามารถทำอะไรได้ หากนางลงมือ คู่ต่อสู้จะต้องเปลี่ยนแผนตามอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น คนที่จะต้องทนรับผลที่ตามมาก็คือองค์ชาย
คนหนึ่งเป็นบุตรชายของแม่ทัพผู้ทรงอำนาจ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นองค์ชายที่ไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้
จากความเข้าใจของนางที่มีต่อฮ่องเต้ หลังจากชั่งน้ำหนักในสถานการณ์นี้ดูแล้วเขาจะต้องปกป้องความชอบธรรมด้วยการลงดาบกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอย่างแน่นอน และนั่นย่อมหมายถึงการทำร้ายบุตรชายของตัวเอง
ไม่มีเวลาให้พิจารณาเรื่องนี้มากนัก เด็กชายสองคนสาวเท้าเดินเข้ามา พวกเขายกขาขวาขึ้นและเตรียมที่จะเตะเขา เมื่อดูจากแรงนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคยเรียนวรยุทธ์มาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ลังเลที่จะใช้ตัวเองเพื่อเป็นโล่ให้กับเขา นางใช้หลังรับลูกถีบอันรุนแรงนั้นถึงสามครั้ง รสเลือดกระจายไปทั่วลำคอของนาง แต่นางก็ไม่ยอมปล่อยมือออกจากองค์ชาย และยังอดทนต่อความเจ็บปวดจากลูกถีบนั้น นางสบถอยู่ในใจว่า บัดซบ เจ็บชะมัด!
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นภาพนี้ เขาก็ยกนิ้วขึ้นสัมผัสใบหน้าซีดเผือดของนาง ดวงตาของเขาสั่นไหวด้วยหยดน้ำตา เขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มได้!