เด็กชายตัวน้อยมองไปทางนั้นด้วยดวงตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
มือที่สั่นอยู่แล้วของเงาทมิฬยิ่งสั่นมากขึ้นอีก เขากลัวว่าเรื่องนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้นเขาจึงอดแนะนำผู้เป็นนายไม่ได้ว่า “แต่หากเราไม่มีการรับมือที่ดีละก็ พระสนมซูจะต้องสงสัยฝ่าบาทอย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้น ท่านจะตกที่นั่งลำบากเอานะพ่ะย่ะค่ะ เรารอให้อดีตฮ่องเต้กลับมาก่อนมิดีกว่าหรือพ่ะย่ะ…”
“ไม่จำเป็น” เด็กชายตัวน้อยตัดบทเขา เขาใช้ตาข้างซ้ายภายใต้ผ้าพันแผลนั้นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาและสั่งว่า “ทำตามที่ข้าสั่ง”
เงาทมิฬไม่กล้าพูดอะไรอีก และทำได้เพียงแค่พยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”
คืนนั้น หลังจากมู่หรงอ๋องได้อ่านข้อความที่ถูกส่งมา ความเข้าใจก็พลันวาบขึ้นในดวงตาของเขา เขาตะโกนออกมาทันทีว่า “เข้ามา นำคำสั่งของข้าไปบอกให้คนของเราสกัดกั้นข้อความของพระสนมซูไว้ซะ บอกให้เสนาบดีจากกรมขุนนางภายในและกรมกลาโหมเขียนคำร้องเดี๋ยวนี้!”
พระสนมมู่หรงที่เพิ่งถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นสนมเอกอยู่ที่จวนอ๋องมู่หรงเช่นกัน ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของมู่หรงอ๋อง นางก็ยืนขึ้นแล้วถามว่า “ท่านพี่ต้องการให้พวกเขาเขียนคำร้องเพื่อโน้มน้าวให้เขาเชื่อว่าตระกูลหลี่มีความผิดจริงหรือ”
“เปล่าเลย ข้าใช้คนพวกนี้เพื่อปกป้องพวกเขาต่างหาก” มู่หรงอ๋องยื่นจดหมายให้นาง แล้วพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่าคนที่ส่งข้อความนี้มาคือใคร แต่แผนการนี้สมบูรณ์แบบทีเดียว!”
พระสนมมู่หรงขมวดคิ้ว แล้วถามเขาขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านพี่ ท่านตัดสินใจได้ด้วยจดหมายเพียงฉบับเดียวหรือ ท่านไม่ใจร้อนไปหน่อยหรือ”
“น้องข้า เจ้ายังใหม่กับวังหลวงอยู่ ดังนั้นเจ้าคงยังไม่เข้าใจฮ่องเต้มากนัก จดหมายฉบับนี้วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฮ่องเต้ย่อมมิอาจทนเห็นองค์ชายร่วมมือกับเหล่าเสนาบดีได้ ถ้ามีใครพยายามปกป้องตระกูลหลี่ พวกเขาก็มีแต่จะยิ่งได้ตายเร็วขึ้นเท่านั้น ฮ่องเต้เกลียดชังคนจากกรมขุนนางภายในและกรมกลาโหมเป็นพิเศษ ตระกูลหลี่มีอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ในสองกรมนี้เป็นจำนวนมาก หากพวกเขาร้องขอชีวิตให้กับตระกูลหลี่ เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยในตัวฮ่องเต้ย่อมถึงคราวระเบิด และเขาจะต้องดับลมหายใจของตระกูลหลี่ในทันที! แม้แต่องค์ชายใหญ่เองก็อาจจะ… หึหึ…” มู่หรงอ๋องหัวเราะอย่างเย็นชา แม้เขาจะไม่ได้พูดจนจบ แต่ข้อความนั้นก็ชัดเจนอย่างมาก
ดูชะตาแล้วคืนนี้คงจะวุ่นวายยิ่งนัก
ลึกเข้าไปในวังหลวง ณ ห้องทรงอักษรทางทิศใต้ที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ฮ่องเต้ปาคำร้องที่อยู่ในมือทิ้ง
บรรดานางกำนัลและขันทีทุกคนที่รับใช้ฮ่องเต้คุกเข่าลงพร้อมกันทันที
แม้กระทั่งขันทีเกาที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ที่สุดในช่วงนี้ก็ยังถูกคำร้องกระแทกเข้ากลางหน้า แต่เขาก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เขาทำได้เพียงคำนับแล้วร้องออกมาว่า “โปรดระงับโทสะก่อนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“ข้าจะระงับโทสะได้อย่างไร” สีหน้าของฮ่องเต้ดำทะมึน เขาชี้ไปที่คำร้องนั้นพร้อมกับคำรามว่า “ผ่านไปยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ แต่คำร้องแปดในสิบกลับมีแต่ขอให้ไว้ชีวิตตระกูลหลี่ และพยายามช่วยพูดเพื่อเฟิงเอ๋อร์ เยี่ยม เยี่ยมมาก! ประกาศราชโองการของข้าออกไปบอกว่าจากนี้เป็นต้นไปข้าจะยกให้กรมขุนนางภายในเป็นผู้รับหน้าที่จัดการเรื่องของตระกูลหลี่ ถอดเสนาบดีหลี่จากกรมนั้นซะ แล้วให้ใครสักคนจากจวนอ๋องมู่หรงขึ้นมาดูแลคดีนี้แทน!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเกาออกไปทันทีหลังจากได้รับคำสั่งจากเขา
วันต่อมา ข้ารับใช้ที่พระสนมซูส่งไปสืบเรื่องนี้ก็กลับมา
“เป็นอย่างไรบ้าง ฝ่าบาทว่าอย่างไร” นางคิดว่าในเมื่อฮ่องเต้รักใคร่เอ็นดูเฟิงเอ๋อร์ เขาก็น่าจะใจเย็นลงบ้างหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน
คาดไม่ถึงว่าขันทีคนนั้นจะส่ายหน้า แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ฮ่องเต้สั่งให้มู่หรงอ๋องขึ้นมาเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องของตระกูลหลี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้ข่าวอันใดอีก”
“อะไรนะ” ใบหน้าของพระสนมซูถึงกับซีดเผือดในทันที จากนั้นนางจึงหมดสติไป
ทุกคนต่างก็รู้เรื่องการชิงดีชิงเด่นอันรุนแรงระหว่างตระกูลหลี่และตระกูลมู่หรงดี ในเมื่อฮ่องเต้ส่งเรื่องนี้ให้จวนอ๋องมู่หรงจัดการ มันย่อมหมายความว่าเขาต้องการให้คนตระกูลหลี่ตาย
ข้อความนั้นลุกลามไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง และเกือบทุกคนก็ล้วนแต่รู้เรื่องนี้แล้วทั้งสิ้น ยกเว้นก็แต่องค์ชายใหญ่ที่ถูกกักบริเวณอยู่เพียงผู้เดียว
เงาทมิฬคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพร้อมนำข้อความนี้มารายงานให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทราบโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เด็กชายตัวน้อยฟังและยกมุมปากขึ้น เขากล่าวว่า “นับว่าเร็วทีเดียว ดูเหมือนนางคงไม่แกร่งพอที่จะทนรับเรื่องพวกนี้ได้”
เงาทมิฬไม่ได้ตอบ ในเวลานั้นนอกจากความชื่นชมที่เขามีให้กับผู้เป็นนายแล้ว ก็ยังมีความหวาดกลัวอันมหาศาลปนอยู่ด้วย
หากจะว่ากันด้วยเหตุผลแล้ว เขาก็ไม่ควรกลัว
เขาเป็นคนที่รู้แผนการทั้งหมดของฝ่าบาท เขาเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาคิดว่าองค์ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเฉลียวฉลาดจนทำให้ผู้คนหายใจไม่ทั่วท้อง
หากไม่ใช่เพราะความเข้าใจอันแม่นยำที่เขามีต่อทุกคน เขาย่อมไม่สามารถคิดแผนการนั้นขึ้นมาได้
ทุกคนในวังหลวงรู้ว่าจวนอ๋องมู่หรงมีชัยเหนือกว่าตระกูลหลี่ในการต่อสู่ครั้งนี้
จวนอ๋องมู่หรงได้ประโยชน์จากการแย่งชิงอำนาจภายในวังหลวงครั้งนี้อย่างแท้จริง
แต่เขาก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งที่ฝ่าบาทใช้เพื่อกำจัดตระกูลหลี่เท่านั้น
จนถึงตอนนี้ เงาทมิฬก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่าบาทถึงได้คิดที่จะเอาชีวิตตระกูลหลี่อย่างกะทันหันเช่นนี้
เขาคาดการณ์ว่าอาจเป็นเพราะคนพวกนั้นไม่ให้ความเคารพเขา แต่พวกเขาก็ประพฤติตัวเช่นนั้นมาตลอด
ทำไมคราวนี้เขาถึงหมดความอดทนกับคนพวกนั้น และทำการกวาดล้างตระกูลหลี่ทั้งตระกูลแม้มันจะเสี่ยงให้เขาถูกเปิดโปงก็ตาม
เงาทมิฬครุ่นคิดอย่างสงสัยพร้อมกับมองไปยังเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้
เด็กชายตัวน้อยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทำเพียงสั่งด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นว่า “เจ้าออกไปได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬยืนขึ้น และสังเกตเห็นนางกำนัลคนใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ถามว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน นางถือหม้อตุ๋นเอาไว้ในมือพร้อมกับมองเด็กชายที่นั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ จากนั้นนางจึงหยิบพู่กันออกจากมือเขา และกล่าวว่า “ศีรษะของเจ้ายังไม่หายดี เลิกเขียนได้แล้ว”
“พรุ่งนี้หมอหลวงถึงจะมา” เด็กชายแย่งพู่กันกลับมา แล้วลงมือเขียนต่อราวกับว่าเมื่อครู่นี้เขากำลังเขียนเรื่องสำคัญอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกว่า “ข้าจะช่วยเขียนให้ ไปดื่มน้ำแกงเสีย”
“เจ้าจะเขียนแทนข้าหรือ” เด็กชายเลิกคิ้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยไฟลุกหลังจากเห็นสีหน้ายียวนของเขา และโต้กลับมาว่า “มีปัญหาอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรมาก เจ้าเพียงแค่ต้องเขียนสิ่งนี้ยี่สิบครั้งก็เท่านั้น” เด็กชายยันตัวลุกขึ้น และดื่มน้ำแกงที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้มมาอย่างสบายใจ
ในเมื่อนางอยากช่วยเขาเขียน เช่นนั้นเวลานี้เขาก็ควรที่จะได้พัก
เพียงแต่ว่า…
เด็กชายตัวน้อยชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยระหว่างดื่มน้ำแกงอยู่ข้างนาง ทันใดนั้นเขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้อีกต่อไป เขาถามขึ้นว่า “ใครสอนเจ้าเขียนหนังสือ”
“มันก็ดูเป็นเอกลักษณ์ดีมิใช่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยทำหน้าเหมือนนางกำลังรอรับคำชม
เด็กชายแค่นหัวเราะ “ถ้าน่าเกลียดถือเป็นเอกลักษณ์ เช่นนั้นลายมือของเจ้าก็นับว่ามีเอกลักษณ์จริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …พูดจาใจดีกว่านี้หน่อยจะตายหรือไร
“นั่งสิ” น้ำเสียงของเด็กชายสุขุมเยือกเย็น เขากุมมือที่นางใช้ถือพู่กันไว้โดยไม่รอให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ตั้งตัว เขาเอียงใบหน้าสง่างามนั้น แล้วพูดช้าๆ ว่า “เวลาเจ้าเขียนเส้นนี้ เจ้าควรจะใส่แรงไปที่ข้อมือ…”
ชั่วขณะหนึ่ง เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่านางได้กลับไปในอดีตตอนที่เขากอดนางจากทางด้านหลัง แล้วจับมือพานางเขียนหนังสือเหมือนในตอนนี้
“เมื่อไหร่เจ้าถึงจะกลับไปกับข้าหรือ” นางเผลอโพล่งขึ้นมา
นิ้วของเด็กชายตัวน้อยชะงักไป ดวงตาของเขาลึกล้ำยากจะหยั่งถึง
ทันใดนั้นเงาทมิฬก็ผลักประตูไม้เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกพร้อมกับบอกว่า “ฝ่าบาท มีข่าวร้ายพ่ะย่ะค่ะ”