หลินเยวียนยังคงไม่สามารถเผชิญหน้ากับกล้องได้อย่างสนิทใจ แต่เขารู้ต้นสายปลายเหตุของปัญหาแล้ว ในเมื่อเป็นเพียงเงามืดในจิตใจ เช่นนั้นก็เอาชนะมันเสียเลย เมื่อถึงวินาทีถอดหน้ากากในรายการราชาหน้ากากนักร้อง เขาจะต้อนรับสายตาของผู้คนทั่วทั้งบลูสตาร์ในฐานะเซี่ยนอวี๋
อิ่งจือทำไม่ได้
ฉู่ขวงก็ทำไม่ได้
ทว่าตัวตนของเซี่ยนอวี๋ซึ่งเดิมทีก็มีอยู่ในสถานะกึ่งเปิดเผยอยู่แล้วกลับทำได้ เพราะสำหรับบริษัทและคนคุ้นเคยรอบตัวนั้น หลินเยวียนก็คือเซี่ยนอวี๋ เซี่ยนอวี๋ก็คือหลินเยวียน นับว่าเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่เพียงนามแฝง
“นายโอเคไหม?”
“ไม่มีปัญหาแล้วครับ”
หลินเยวียนนั่งในที่นั่งคนขับพลางเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
ซุนเย่าหั่วเห็นรอยยิ้มของหลินเยวียน จึงยิ้มตามไปด้วย รู้สึกว่ารุ่นน้องยิ้มสวยกว่าเมื่อวานนี้อีก หลังจากนั้นเขาจึงเหยียบคันเร่งขับรถพาหลินเยวียนไปส่งยังบริษัท
แผนกประพันธ์เพลงชั้นเก้า
หลินเยวียนเอ่ยเรียกกู้ตง “ทางรายการราชาหน้ากากนักร้องเชิญผมมาใช่ไหมครับ ตอบทางนั้นไปว่าผมตอบรับแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องช่วยผมทำหน้ากาก เดี๋ยวผมหาคนทำหน้ากากเอง”
“หน้ากาก?”
กู้ตงชะงัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตัวแทนหลินต้องเข้าใจอะไรผิดแน่เลยค่ะ นักร้องในรายการจะสวมหน้ากาก แต่กรรมการไม่ต้อง บริษัทคิดว่าคุณมีข้อห้ามเรื่องการเปิดเผยใบหน้า นึกไม่ถึงว่าคุณจะยอม…เอ๊ะ เหมือนว่าเสียงของตัวแทนหลินเปลี่ยนไป…”
“ยังไม่ต้องสนใจเสียงของผม ผมกำลังบอกว่า…”
หลินเยวียนพูดช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ “ผมสามารถเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้องในฐานะนักร้อง แต่จะไม่เข้าร่วมในฐานะกรรมการ”
กู้ตงสับสน
เธอคิดว่าตนฟังผิดไป “นักร้อง?”
หลินเยวียนพยักหน้า “คุณอาจไม่รู้ ที่จริงแล้วอาชีพเดิมของผมคือนักร้อง เพียงแต่ต่อมาด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมถึงเริ่มเขียนเพลงให้คนอื่น”
“จริงเหรอคะ”
กู้ตงตกใจ
เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของหลินเยวียน จ้าวเจวี๋ยจึงไม่ได้เปิดเผยข้อมูลว่าหลินเยวียนคือนักร้องที่ผันตัวมาเขียนเพลง
เรื่องนี้อาจมีเพียงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเท่านั้นที่รู้ แต่เนื่องจากสถานะของเซี่ยนอวี๋ในบริษัท จึงไม่มีใครเปิดเผยเรื่องนี้สู่ภายนอก
“งั้นไม่มีปัญหาค่ะ!”
กู้ตงยิ้มแย้ม “ฉันจะไปแจ้งบริษัท…”
หลินเยวียนเอ่ย “อย่าเพิ่งบอกบริษัทแล้วกันครับ คุณไปติดต่อกับทีมงานรายการในนามของผม รอเปิดหน้ากากแล้วบริษัทก็รู้เอง”
หลินเยวียนยังคงไม่ชอบเป็นที่สนใจ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ในชั่วข้ามคืน
การเอาชนะเงามืดในใจเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างแน่นอน
แต่เขาจำเป็นต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง
“ได้ค่ะ!”
กู้ตงพยักหน้า เธอคิดเพียงว่าหลินเยวียนกำลังเล่นสนุก “ได้ยินมาว่าไม่ใช่แค่คุณ คนดังหลายคนที่ไม่ได้มีอาชีพเป็นนักร้องก็สนใจรายการนี้ งั้นคุณอยากสวมหน้ากากอะไรคะ”
“เคยได้ยินชื่อหลานหลิงอ๋องไหมครับ”
กู้ตงชะงักไปอีกครั้ง “ฉันเรียนไม่ค่อยเก่ง…”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ”
หลินเยวียนพูด “น่าจะไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องราวของหลานหลิงอ๋องกับหน้ากาก”
ชื่อเดิมของหลานหลิงอ๋องคือเกาฉางกง เป็นหนึ่งในบุรุษรูปงามสมัยโบราณ เป็นเรื่องปกติที่คนที่กำเนิดและเติบโตบนบลูสตาร์อย่างกู้ตงจะไม่รู้จัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องราวของหลานหลิงอ๋องและหน้ากาก
แม้แต่ในประวัติศาสตร์บนโลกยังไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการว่าหลานหลิงอ๋องสวมหน้ากาก บอกเพียงว่าเขาสวมหมวกเกราะที่แน่นหนามากใบหนึ่ง
เรื่องนี้กลับถูกกล่าวถึงในผลงานเรื่อง ‘หลานหลิงอ๋อง’ ของนักเขียนทานากะ โยชิกิ
ใบหน้าของกู้ตงเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เล่าให้ฉันฟังได้ไหมคะ”
หลินเยวียนไม่ได้รังเกียจรังงอน “คุณคิดซะว่าผมแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาก็แล้วกัน หลานหลิงอ๋องเป็นแม่ทัพชำนาญการรบมาก แต่ดันมีใบหน้าที่งดงาม…”
“แม่ทัพสุดหล่อกระชากใจ?”
หัวใจสาวน้อยของกู้ตงเต้นรัว
หลินเยวียนเล่าต่อ “สำหรับแม่ทัพที่ต้องต่อสู้อย่างนองเลือดในสนามรบ ความหล่อเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เขาถูกศัตรูเยาะเย้ยเพราะเรื่องนี้ บอกว่าแม่ทัพคนนี้มีใบหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์ ดังนั้นหลานหลิงอ๋องจึงทำหน้ากากที่น่ากลัวขึ้นมา ให้ดูคล้ายกับปีศาจจากขุมนรก”
“ว้าว”
กู้ตงบอก “เท่สุดๆ!”
หลินเยวียนไม่เข้าใจว่าเท่ตรงไหน เห็นชัดๆ ว่านี่คือความจนใจอย่างหนึ่ง
“ผมต้องการหน้ากากแบบนั้น”
หลินเยวียนไม่ได้เปรียบเทียบตนเองกับหลานหลิงอ๋อง และไม่ได้เน้นย้ำว่าใบหน้าของตนหล่อเหลาเอาการแค่ไหน
ที่เขาเลือกหน้ากากภูตผีปีศาจชั่วร้าย เหตุผลหลังเพราะความชอบเพลงเพลงหนึ่ง
เพลงนั้นมีชื่อว่า ‘ลำนำสงครามหลานหลิงอ๋อง’
นับว่าเป็นการเชื่อมโยงบางอย่าง
หลานหลิงอ๋องจะเป็นตัวตนของเขาหลังหน้ากาก
นี่คือการปูเรื่อง เป็นการปูเรื่องล่วงหน้าสำหรับการเปิดตัว ‘ลำนำสงครามหลานหลิงอ๋อง’
“งั้นรูปแบบ…”
“ประมาณนี้ครับ”
หลินเยวียนหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมา และขีดๆ เขียนๆ ภาพออกมา ทักษะด้านจิตรกรรมระดับปรมาจารย์ทำให้งานนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ฉับๆๆ
หลินเยวียนวาดแล้ว
เขาเคยวาดฉากนรกมาก่อน แม้ว่าหน้ากากหลานหลิงอ๋องจะเหมือนกับปีศาจร้าย แต่หลินเยวียนก็มีรสนิยมเป็นของตัวเอง เขาไม่มีทางวาดให้ใบหน้าเน่าเฟะหรอก ไม่เช่นนั้นคงไม่ผ่านการตรวจสอบ
เนื่องจากรายการอย่างราชาหน้ากากนักร้องต้องมีเรตติงสูงอย่างแน่นอน หลินเยวียนจึงไม่อยากทำให้เด็กๆ หวาดกลัว
“ฉันขอดูหน่อยค่ะ…”
กู้ตงขยับเข้าไป ชั่วขณะนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง “เท่มาก!”
“เท่ไหมครับ”
หลินเยวียนมองดูหน้ากากที่ตนวาด แล้วเติมเส้นลงไปเล็กน้อย “แบบนี้ล่ะครับ”
“ก็เท่เหมือนกันค่ะ!”
“ไม่รู้สึกดุร้ายเหรอครับ”
“รู้สึกค่ะ!”
“งั้นเหรอครับ”
“อื้ม มีเสน่ห์แบบร้ายๆ!”
หลินเยวียน: ???
คำนี้มาจากไหนล่ะเนี่ย
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ฉันหมายถึงความรู้สึกน่ะ ต่อให้ดูดุร้ายขนาดนี้ ก็ยังมีเสน่ห์บางอย่างที่เหนือธรรมดา ราวกับเป็นศิลปะ…”
“งั้นตามนี้แล้วกันครับ ส่วนสีขอเป็นไล่สีเงินกับทอง”
หน้ากากของหลินเยวียนใช้สำหรับปิดบังใบหน้า แต่ส่วนของปากยังคงเปิดเผยส่วนหนึ่งเพื่อให้สะดวกแก่การร้องเพลง ประมาณสามในสี่ของใบหน้านั้นถูกปกปิด
“ค่ะ!”
กู้ตงแววตาเป็นประกาย “ตัวแทนหลินวาดภาพได้สวยจริงๆ หน้ากากนี้พอทำออกมาแล้วต้องเป็นกระแสอย่างแน่นอน ไม่แน่บนอินเทอร์เน็ตอาจมีหลายคนทำแบบนี้ก็ได้!”
หลินเยวียนเอ่ย “ขอแค่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ก็โอเคครับ”
กู้ตงหลุดหัวเราะ “แต่จะว่าไปก็ไม่เกินจริงนะคะ ช่วงสองวันที่ผ่านมามีข่าวออกมาว่ามีนักร้องกำลังผลิตชุดนักรบดำ แล้วก็มีชุดเทพเซียนอยู่บ้าง แปลกใหม่และน่าสนใจมากค่ะ ในเมื่อคุณสวมหน้ากากนี้ งั้นใช้หลานหลิงอ๋องเป็นชื่อเรียก…”
“ครับ”
จะเรียกว่าอะไรก็ไม่สำคัญ แต่เมื่อคำนึงถึง ‘ลำนำสงครามหลานหลิงอ๋อง’ เพื่อยกระดับความเข้าถึงอารมณ์ จึงจำเป็นต้องใช้ชื่อนี้
“นอกจากนั้น…”
กู้ตงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อมีหน้ากากแล้ว ควรมีชุดด้วยนะคะ ตัวแทนหลินเอาเป็นชุดเกราะไหมคะ”
“หนักเกินไป”
หลินเยวียนหยิบปากกาขึ้นมาวาดภาพอีกครั้ง
กู้ตงยกนิ้วโป้งให้ “เสื้อคลุมตัวนี้มีสไตล์มากเลย!”
“ใช่ไหมล่ะครับ”
หลินเยวียนบอก “เรื่องสั่งผลิตคุณจัดการทีนะครับ แล้วค่อยมารายงานผม”
“ได้เลยค่ะ”
กู้ตงส่งเสียงจุ๊ๆ “เพียงแต่แบบนี้ ไม่มีสักสองสามหมื่น จะทำออกมาได้ไม่เหมือนต้นแบบนะคะ”
หลินเยวียน “…”
ช่วยปกป้องหลานหลิงอ๋องของผมด้วยยย!
……………………………………………..