“เจ้า เจ้า…” จิ่นเกอชี้หน้าฉังอานด้วยความโมโห เขาพูดไม่ออก
ทุกคนล้วนแต่ชอบเล่นกับเขา ปากติเขามักจะรำคาญแล้วไม่ค่อยสนใจคนอื่น บางครั้งอารมณ์ดี เขาก็จะไว้หน้าพวกเขา พวกเขาก็จะวิ่งมาเอาอกเอาใจเขา ครั้งนี้เขาเป็นคนชวนฉังอานไปเล่นด้วยกัน แต่ฉังอานกลับปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า!
เขาจะเฆี่ยนฉังอาน ฉังอานก็ไม่ร้องขอความเมตตา
คิดเช่นนี้ จิ่นเกอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
มารดาของฉังอานเคยรับใช้ท่านแม่ตัวเอง แล้วท่านแม่ก็ยังชอบนางมาก มักจะมอบของให้ปินจวี๋อยู่บ่อยๆ แล้วทุกครั้งที่ปินจวี๋มาคารวะท่านแม่ก็ไม่เหมือนกับคนอื่น ทุกคนล้วนแต่มาคนเดียว มีแค่นางที่มักจะพาบุตรของตัวเองมาด้วย ท่านแม่มอบของขวัญให้ฉังอานและฉังซุ่นทุกปี แล้วยังอนุญาตให้ฉังอานและฉังซุ่นไปเล่นที่สวนดอกไม้หลังจวน ตอนนี้เขาจะเฆี่ยนฉังอาน หากท่านแม่รู้ ท่านแม่จะต้องไม่พอใจแน่นอน แต่หากไม่เฆี่ยนเขา ตัวเองพูดออกไปแล้ว ท่านพ่อเคยบอกว่า จะพูดอะไรออกไปตามอำเภอใจไม่ได้ และต้องทำตามคำพูดที่พูดออกมาให้ได้…แล้วอีกอย่าง ท่านแม่ก็พูดเช่นนี้ คนเราต้องรักษาคำพูด ต่อไปหากพูดอะไรออกมา คนอื่นจะได้เชื่อถือ ยอมทำตามคำพูด…
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจะไม่บอกให้เฆี่ยนฉังอานตั้งแต่แรก!
จิ่นเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันแล้วพูดว่า “เฆี่ยนเขาสิบที!”
ประเดี๋ยวค่อยไปขอโทษท่านแม่…ดีกว่าไม่รักษาคำพูดต่อหน้าทุกคน!
หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่หันมามองหน้ากัน คนหนึ่งตอบรับเสียงดัง ส่วนอีกคนหนึ่งไปถือแส้มา
เสียงเปิดม่านประตูของห้องหลักดังออกมา พวกเขาสองคนหันหน้าไปมองด้วยความดีใจ จากนั้นก็เห็นสตรีที่หน้าตางดงามเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายน้อยหกเจ้าคะ!” นางย่อเข่าคำนับจิ่นเกอ “ฮูหยินได้ยินเสียงท่าน แต่ไม่เห็นตัวของท่านจึงแปลกใจ บ่าวจึงออกมาดูเจ้าค่ะ” นางพูด จากนั้นก็มองไปที่ฉังอานและฉังซุ่นด้วยความตกใจ “พวกเจ้าสองคนไปสวนดอกไม้หลังจวนไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่” นางพูดด้วยท่าทีราวกับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีบแนะนำฉังอานและฉังซุ่นให้จิ่นเกอรู้จัก “นี่เคือบุตรชายคนโตและบุตรชายคนที่สองของว่านต้าเสี่ยน ผู้ดูแลว่านเจ้าค่ะ ว่านต้าเสี่ยน ท่านรู้จักหรือไม่เจ้าคะ เขาคือผู้ดูแลระดับสองของห้องซือฝัง เป็นผู้ติดตามของฮูหยิน ติดตามฮูหยินมาจากอวี๋หัง มารดาของพวกเขาท่านก็น่าจะรู้จัก ปินจวี๋ที่ชอบมาคารวะฮูหยินบ่อยๆ นางเองก็เป็นผู้ติดตามของฮูหยินเหมือนกันเจ้าค่ะ แล้วยังรับใช้ฮูหยินมาตั้งแต่เด็ก เป็นสาวใช้ใหญ่ของฮูหยิน เรื่องแต่งงานของว่านต้าเสี่ยนและปินจวี๋ ฮูหยินก็เป็นแม่สื่อด้วยตัวเอง …”
เสียงของหู่พั่วราวกับเสียงของสวรรค์ที่ดังก้องอยู่ในหูของหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ พวกเขาสองคนมองหู่พั่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
แต่จิ่นเกอกลับไม่พอใจ
เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร เมื่อก่อนนางคือสาวใช้ของท่านแม่ คือหนึ่งในคนที่เข้ามาคารวะท่านแม่หลังจากเทศกาลตรุษจีน ได้ยินป้าซ่งบอกว่าท่านแม่โปรดปรานนางเป็นอย่างมาก ตำแหน่งผู้ดูแลหญิงสองตำแหน่งในเรือน หนึ่งตำแหน่งสงวนไว้ให้คนที่ชื่อหู่พั่วคนนี้ ตอนที่ชิวอวี่และหงเหวินพูด เขาจำได้ว่าตอนนั้นชิวอวี่มีท่าทีหวาดกลัวหู่พั่ว
นางเอาแต่พูดถึงบิดามารดาของฉังอาน เห็นได้ชัดว่านางกำลังบอกให้เขาเมตตาฉังอาน
แต่ฉังอานกลับก้มหน้าก้มตา ตนจะให้อภัยเขาได้เช่นไร
ในเมื่อหู่พั่วออกหน้าพูดแทนแบบนี้ มารดาของเขาต้องได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอกแล้วแน่นอน จิ่นเกอไม่อยากทำให้สืออีเหนียงเป็นกังวล เขาครุ่นคิด จากนั้นก็ขัดจังหวะหู่พั่วแล้วถามฉังอาน “เจ้าจะเล่นกับข้าหรือไม่”
ถึงแม้ว่าสองสามปีที่ผ่านมาหู่พั่วจะไม่ได้อยู่ที่จวน แต่นางคอยสังเกตเรื่องในจวนมาตลอด นางรู้ว่าตอนนี้คุณชายน้อยหกได้รับความโปรดปรานจากไท่ฮูหยินและท่านโหวเป็นอย่างมาก คนในจวนเจอเขาก็ต้องยอมเขา จึงทำให้เขามีนิสัยพูดจริงทำจริงเช่นนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตัวเองพูดไปเยอะขนาดนี้แล้ว คุณชายน้อยหกยังจับเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย
นางรีบขยิบตาให้ฉังอาน บอกให้ฉังอานรีบตอบตกลง แต่ฉังอานกลับถูกว่านอี้จงพร่ำสอนให้กลายเป็นคนรักษาคำพูด ทั้งๆ ที่รู้ว่าแค่ตัวเองยอมไปเล่นกับจิ่นเกอก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งสอนของผู้เป็นปู่ เขากลับพูดขอโทษไม่ออก
หู่พั่วเห็นดังนั้นก็เป็นกังวล นางยิ้มแล้วพูดว่า “ฉังอาน ฉังซุ่น พวกเจ้าคารวะคุณชายน้อยหกแล้วหรือยัง ยังไม่รีบก้มหัวให้คุณชายน้อยหกอีก”
ถึงแม้ว่าฉังอานจะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่เขาไม่ได้โง่ เขารู้ว่าหู่พั่วกำลังหาทางออกให้เขา จึงรีบคุกเข่าลง ก้มหัวให้จิ่นเกอแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยหกขอรับ” จากนั้นก็ตบหลังฉังซุ่นเบาๆ บอกให้เขาก้มหัวให้จิ่นเกอ
หู่พั่วจึงยกม่านขึ้นเรียก “คุณชายน้อยหกเจ้าคะ” จากนั้นก็พูดว่า “บ่าวรับใช้ท่านไปหาฮูหยินดีกว่าเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้ว่าจิ่นเกอจะโมโหอยู่ แต่เขาไม่กล้าขัดคำสั่งของมารดา เขาเหลือบมองฉังอานแล้วเดินเข้าไปข้างใน
หู่พั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบเดินตามไป
“เกิดอะไรขึ้น” สืออีเหนียงเดินไปนั่งบนเตียงเตา ยิ้มแล้วถามจิ่นเกอ “แม่อยู่ในห้องก็ยังได้ยินเสียงของเจ้า!”
บนใบหน้าของจิ่นเกอยังมีความไม่พอใจหลงเหลืออยู่ เขาเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้สืออีเหนียงฟัง “…ข้าลั่นวาจาออกไปแล้วว่าให้เฆี่ยนฉังอานสิบที!”
เขากำหมัดแน่นด้วยท่าทีราวกับสู้อย่างมีเหตุผล
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าเขาเด็กขนาดนี้ จิตใจกลับยืนหยัดเช่นนี้ นี่คือความสำเร็จของการอบรมสั่งสอนเขา หรือว่าความผิดพลาดของการสั่งสอนกันแน่?
นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เมื่อมองสายตาที่ตั้งหน้าตั้งตารอของจิ่นเกอ นางก็รู้ว่าตัวเองห้ามเขาไม่ได้
“ในเมื่อเจ้าพูดออกไปแล้ว เช่นนั้นก็เฆี่ยนฉังอานสิบที!” สืออีเหนียงพูด จากนั้นก็พยักหน้าให้หู่พั่ว “ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้า ให้สะใภ้ก่วนชิงไปจัดการเรื่องข้างนอกเถิด!”
ไม่บอกว่าคุณชายน้อยหกทำผิด แล้วยังให้คุณชายน้อยหกอยู่ในห้อง
หู่พั่วเข้าใจความหมายของสืออีเหนียงทันที
นางยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับ จากนั้นก็เดินออกไป
สีหน้าของจิ่นเกอพลันกลับมาสดใสราวกับแสงอาทิตย์ยามฤดูร้อนก็ไม่ปาน
“ท่านแม่ขอรับ!” เขาดึงแขนเสื้อของสืออีเหนียง มองดูปินจวี๋ที่กัดฟันเหมือนกำลังจะร้องไห้ แล้วก็มองดูฉังอานที่ถูกหวงเสี่ยวเหมากดลงบนตั่ง เขาครุ่นคิดอยู่แล้วพูดว่า “เป็นความผิดของฉังอานขอรับ ประเดี๋ยวข้าเชิญท่านหมอมาดูเขาเอง!”
ปินจวี๋ย่อเข่าคำนับ “ขอบพระคุณคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ เขาเป็นคนดื้อรั้น คุณชายน้อยหกอย่าได้ถือโทษเขาเลยเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่สบาย พลอยทำให้ฮูหยินเป็นห่วง!”
จิ่นเกอพยักหน้า
สืออีเหนียงพูดกับปินจวี๋ “เจ้าออกไปดูฉังอานเถิด!”
ปินจวี๋ขานรับแล้วเดินออกไปด้วยความตื่นตระหนก
สืออีเหนียงอยากพูดเรื่องนี้กับจิ่นเกอเป็นการส่วนตัว นางไล่บ่าวรับใช้ในห้องออกไป “…ประเดี๋ยวเฆี่ยนเสร็จแล้ว ค่อยให้พวกเขาสองแม่ลูกเข้ามาหาข้า”
สาวใช้ขานรับแล้วเดินออกไป
จิ่นเกอเห็นว่าในห้องไม่มีใครแล้ว เขาก็รีบพูดว่า “ท่านแม่ขอรับ ล้วนแต่เป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรเฆี่ยนคนของท่าน!” เขาก้มหน้าก้มตาลงด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
“ตอนนี้รู้จักเสียใจแล้วหรือ” สืออีเหนียงทำสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอรับ!” จิ่นพยักหน้าซ้ำๆ
“เจ้าต้องเรียนรู้การระงับอารมณ์ของตัวเอง” สืออีเหนียงสั่งสอนเขา “ชีวิตของคนเราไม่ได้ราบรื่นอยู่ตลอด ข้าเห็นสาวใช้ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ก็ยังอยากจะสั่งสอนพวกนางสองสามประโยค! แต่คนเรามีคนฉลาด แล้วก็มีคนโง่ พวกเขามาทำธุระที่จวนของเรา ทำได้ไม่ดีก็เปลี่ยนคนทำ หากไม่มีคนเปลี่ยน เช่นนั้นก็ใช้คนฉลาดทำเรื่องฉลาด คนที่ไม่ค่อยฉลาดก็ทำเรื่อง่ายๆ ข้าจะเอาแต่ตำหนิพวกเขาเพราะนิสัยของพวกเขาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น ฉังอานทำถูก เขาแค่มาคารวะข้ากับมารดาของเขา เขาไม่ใช่บ่าวรับใช้ของเจ้า ทำไมต้องให้เขาไปเล่นกับเจ้าให้ได้ แม้แต่บ่าวรับใช้ของเจ้า สุยเฟิงคอยดูแลนกที่เจ้านำมาเลี้ยง หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่เล่นกับเจ้า เจ้าจะให้สุยเฟิงคอยดูแลนกพวกนั้นแล้วยังต้องไปเล่นกับเจ้าเหมือนหวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ไม่ได้ ที่จริงฉังอานไม่ควรถูกเฆี่ยนด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าแต่กลับยิ่งเป็นการทำผิดซ้ำๆ แต่เพื่อศักดิ์ศรีของเจ้า ข้าจึงต้องทำเช่นนี้!” สืออีเหนียงถอนหายใจ “ทำให้ฉังอานได้รับความไม่ยุติธรรม!”
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าไม่สบายใจ “ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรดีขอรับ”
สืออีเหนียงถามจิ่นเกอกลับ “เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรเล่า” นางแสร้งทำเป็นคิดไม่ออก
จิ่นเกอจึงครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“มอบเงินให้ฉังอาน?” เขาพูดอย่างลังเล “หรือว่ามอบของขวัญให้เขา?”
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ
ทำตัวเป็นแบบอย่างทั้งคำพูดและการกระทำจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นนางหรือสวีลิ่งอี๋ ปกติมีเรื่องอันใดก็มักจะใช้เงินแก้ไขปัญหา เกิดเรื่องขึ้น สิ่งแรกที่จิ่นเกอนึกถึงเลยเป็นการใช้เงินแก้ไขปัญหา แต่ว่า สังคมสมัยนี้เป็นเช่นนี้ สำหรับบ่าวรับใช้ที่มีสถานะต้อยต่ำกว่าพวกเขา พวกเขาก็ต้องใช้เงินหรือคำพูดที่อ่อนโยน เพื่อแสดงให้เห็นถึงคำขอโทษหรือคำขอบคุณ
“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องรอง” สืออีเหนียงพูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าต้องเรียนรู้คิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำ! สองวันก่อนพ่อของเจ้าก็สอนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ…”
นางคุยกับบุตรชายอยู่ในห้อง ปินจวี๋กลับมองดูหลิวเอ้อร์อู่เฆี่ยนบุตรชายตัวเองอย่างเบามือ นางถามหู่พั่วด้วยความเป็นกังวล “เช่นนี้ จะดีหรือ?”
“เจ้านะเจ้า ไม่รู้จะพูดเช่นไรกับเจ้า” หู่พั่วพูดอย่างเอือมระอา “หากฮูหยินจะเฆี่ยนฉังอานจริงๆ ฮูหยินคงจะให้พ่อบ้านไป๋มาจัดการตั้งนานแล้ว จะให้สตรีอย่างพวกเรามาจัดการทำไมเล่า!”
“ข้า…ข้าก็แค่เป็นห่วง” ปินจวี๋หน้าแดง
ฉังอานที่ถูกเฆี่ยนเสร็จแล้ว หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วรีบไปปลอบใจมารดาของตัวเอง “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย!”
“ก็เพราะว่าฮูหยินเมตตาเจ้า!” ปินจวี๋สั่งสอนบุตรชาย “คุณชายน้อยหกบอกให้เจ้าไปเล่นเป็นเพื่อนเขา ก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าเจ้า เจ้าไปเล่นกับเขาก็พอแล้ว แต่เจ้ากลับเถียงคุณชายน้อยหกเช่นนี้ ประเดี๋ยวกลับไป ข้าจะไปฟ้องพ่อและปู่ของเจ้า ดูสิว่าพวกเขาจะสั่งสอนเจ้าเช่นไร…”
ฉังอานฟังมารดาบ่นพลางทำสีหน้าสับสน
โชคดีที่ชิวอวี่ออกมากอบกู้สถานการณ์ “พี่ปินจวี๋เจ้าคะ ฮูหยินบอกให้ท่าน ฉังอานและฉังซุ่นเข้าไปข้างในเจ้าค่ะ!”
ปินจวี๋รีบจัดเสื้อผ้าและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้บุตรชาย จากนั้นก็พาเขาเข้าไปข้างใน
จิ่นเกอให้เงินฉังอานสองตำลึง
ฉังอานรับมาด้วยความสับสน
“ทำอะไรต้องเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องนั้น” สืออีเหนียงมองดูฉังอาน นางถามเขา “เจ้าอยากเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ของจิ่นเกอหรือไม่”
ฉังอานไม่รู้จะตอบอย่างไร
ทุกคนในครอบครัวของเขาล้วนทำงานในจวนสกุลสวี ปู่ของเขาเคยบอกว่า เมื่อเขาอายุสิบสี่สิบห้า เขาก็จะได้เข้ามาทำงานในจวนสกุลสวี แต่ว่าเขายังเด็ก แล้วยังต้องดูแลฉังซุ่น…
เขามองไปที่ปินจวี๋
ปินจวี๋ตกใจ นางรีบคุกเข่าลงตรงหน้าสืออีเหนียง “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ!” นางเห็นบุตรชายตัวเองยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จึงรีบคว้าเสื้อของเขา บอกให้เขาคุกเข่า “ยังไม่ขอบคุณฮูหยินและคุณชายน้อยหกอีก!”
ฉังอานรีบคุกเข่าลง ยังไม่ทันได้อ้าปากขอบคุณ ก็ได้ยินสืออีเหนียงถามอีกว่า “ฉังซุ่น เจ้าอยากเข้ามาในจวนกับพี่ชายของเจ้าหรือไม่”
ฉังซุ่นจับจ้องชามขนมที่วางอยู่บนโต๊ะเตียงเตาของสืออีเหนียง ก่อนจะตอบรับเสียงดังว่า “อยากขอรับ” อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย