ได้ยินว่าฉังอานและฉังซุ่นจะเข้ามาทำงานในจวน สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วหยอกล้อสืออีเหนียง “ไม่เลว ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสามตัว ให้จิ่นเกอได้รับบทเรียน ไม่ทำให้ครอบครัวว่านเสียหน้า แล้วยังพาฉังซุ่นเข้ามาในจวนเงียบๆ…เกรงว่าเจ้าต้องพูดกับจิ่นเกอให้ชัดเจน เมื่อครู่เขาสั่งเฆี่ยนพวกเขา แต่เจ้ากลับให้พวกเขามาเป็นบ่าวรับใช้ของเขา เกรงว่าเขาคงจะรับไม่ได้!”
ต้องบอกว่า สวีลิ่งอี๋รู้จักบุตรชายคนนี้เป็นอย่างดี
ตอนที่ได้ยินว่าฉังอานและฉังซุ่นจะเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ให้เขา จิ่นเกอตกตะลึงอยู่ตั้งนาน เมื่อปินจวี๋ ฉังอานและฉังซุ่นกลับไปแล้ว เขาอ้อนสืออีเหนียงอยู่ตั้งนาน อยากให้สืออีเหนียงเปลี่ยนใจ แต่กลับไม่กล้าพูดออกมา
เพราะเป็นคนของจิ่นเกอ หากนางบังคับ แล้วจิ่นเกอไม่ยอมให้ฉังอานรับใช้ ไม่เพียงแต่ทำลายอนาคตของฉังอาน แล้วยังเสียน้ำใจของนาง สืออีเหนียงบอกเขาว่า “รู้ว่าผิดพลาดก็ต้องแก้ไข ต้องใจกว้าง” จิ่นเกอได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ รู้สึกว่าหากตัวเองให้ฉังอานมาเป็นบ่าวรับใช้ของตน ตัวเองก็จะเป็นคนใจกว้างเหมือนที่ท่านพ่อเคยพูด เขาจึงตอบตกลงสืออีเหนียงอย่างรวดเร็ว
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “จิ่นเกอไม่ใช่คนรักในศักดิ์ศรีของตัวเองธรรมดา” พูดจบ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา “ข้าคิดว่า นิสัยนี้ควรแก้ไข!”
“เขายังเด็กเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเก็บเข็มและด้ายในมือ เตรียมพร้อมที่จะเข้านอน “เขารู้แค่ว่าหากทำแบบนี้แล้วบิดามารดาจะไม่พอใจ แต่ทำแบบนั้นแล้วบิดามารดาจะพอใจ หากบิดามารดาพอใจ เขาก็จะทำตามใจตัวเอง หากบิดามารดาไม่พอใจ เขาก็ต้องแอบทำอย่างลับๆ เขาไม่ได้เข้าใจหลักการอะไรมากมาย ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เรื่องสำคัญก็คือ เราจะประเดี๋ยวทำเช่นนี้ ประเดี๋ยวทำเช่นนั้น ทำเรื่องที่ขัดแย้งกันไม่ได้ จะทำให้เขามองเจตนาที่แท้จริงของบิดามารดาไม่ออกเจ้าค่ะ”
“พูดราวกับฝึกลูกสุนัขก็ไม่ปาน” สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เขาถือตะกร้าหวายออกมาจากมือของนางแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าทำอะไร ระวังดวงตาด้วย! หากอยากทำจริงๆ ยังมีภรรยาของอวี้เกอไม่ใช่หรือ สองสามปีนี้เจ้าพึ่งจะร่างกายแข็งแรงขึ้น แม้บาดแผลหายดีแล้วแต่อย่าลืมว่าเคยเจ็บ!”
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงส่งยิ้มให้เขา นางไม่ได้พูดอะไร แต่กลับแอบบ่นในใจ
หรือว่าสิ่งของส่วนตัวของท่าน ข้ายังต้องให้ภรรยาของอวี้เกอทำให้อย่างนั้นหรือ
สวีลิ่งอี๋กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องของจิ่นเกอ
บ่าวรับใช้ของจิ่นเกอมีเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้มีฉังอานและฉังซุ่นเพิ่มเข้ามาอีก โดยเฉพาะฉังซุ่น เกรงว่าคงต้องหาสาวใช้สองคนไปดูแลชีวิตประจำวันของเขา ให้เขาอาศัยอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อของเรือนหลักกับจิ่นเกอไม่เหมาะสมสักเท่าไร
“เจี้ยเกอย้ายออกไปแล้วใช่หรือไม่” เขาพูดต่ออีก “หรือว่า ให้จิ่นเกอไปอยู่ที่เรือนปีกที่เจี้ยเกอเคยอยู่? อย่างน้อยที่นั่นก็คือเรือนปีก แล้วยังกว้างขวาง หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ก็จะได้ย้ายไปอยู่ด้วย พวกเขาจะได้ไม่ต้องวิ่งเข้ามาจากลานข้างนอกทุกวัน ยามเย็นลานข้างในปิดประตู พวกเขาจะได้อยู่รับใช้จิ่นเกอ!”
แน่นอนว่าเป็นความคิดที่ดี
จิ่นเกอโตแล้ว เขาไม่ควรอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อแล้ว แต่สืออีเหนียงอยากอยู่กับเขา สีหน้าของนางจึงมีความลังเล
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็คิดว่าสืออีเหนียงไม่ค่อยหนักแน่นในเรื่องนี้ เขาพูด “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะบอกให้พ่อบ้านไป๋ส่งคนไปทำความสะอาดเรือนปีก ควรเพิ่มอะไรก็เพิ่ม วันที่หนึ่งเดือนสองก็ให้จิ่นเกอย้ายเข้าไป” พูดด้วยท่าทีที่เด็ดเดี่ยว
สืออีเหนียงกัดฟันตอบตกลง
วันต่อมา สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ มาคารวะสืออีเหนียงจากนั้นก็ไปทานข้าวที่เฉิงหนาน แต่สืออีเหนียงกลับไปยังเรือนลี่จิ่งเซวียน ให้พ่อบ้านไป๋พาคนไปทำความสะอาดเรือนปีก
ปินจวี๋เข้ามาก้มหัวให้สืออีเหนียงกับแม่สามี ตกลงที่จะส่งบุตรชายทั้งสองคนเข้ามาในจวนวันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง
ไท่ฮูหยินก็ได้ยินเรื่องนี้
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสี่เป็นคนจ่ายเงิน ฉังอานเรียนหนังสือกับคุณชายน้อยหก ฝึกศิลปะการต่อสู้ กับคุณชายน้อยหก ส่วนฉังซุ่นเรียนรู้กฎเกณฑ์กับหงเหวินเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยังคงเป็นห่วงเรื่องนี้ นางพูดกับป้าตู้ “เมื่อเด็กสองคนนั้นเข้ามาเจ้าอย่าลืมเตือนข้า ข้าจะไปดูพวกเขา!”
ป้าตู้ยิ้มแล้วขานรับ
หลังจากส่งสวีซื่ออวี้ออกไปแล้ว เรือนปีกก็ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สืออีเหนียงไปดูเรือนปีก
ขัดอิฐใหม่ ทำให้พื้นแวววาว ม่านสีน้ำเงินเปลี่ยนเป็นม่านสีเหลืองสดใส สิ่งของข้างในเปลี่ยนเป็นไม้ดอกลี่ฮวา เทียบกับเมื่อก่อน เรือนนี้ดูสว่างสดใสและดูอึมครึมน้อยลง
สืออีเหนียงพึงพอใจ
นางพาจิ่นเกอไปดู
จิ่นเกอได้ยินว่าที่นี่คือเรือนของตัวเอง แล้วต่อไปยังมีหวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่ ฉังอานและฉังซุ่นอยู่กับเขาที่นี่ด้วย จึงวิ่งไปรอบเรือนด้วยความปิติยินดี อีกทั้งยังจะไปเรียกเซินเกอ “…เขาจะได้นอนที่นี่ ท่านอาสะใภ้ห้าจะได้ไม่บอกว่าเรือนที่เราอยู่เล็กเกินไปขอรับ”
ฮูหยินห้าไม่ได้ไม่ชอบที่เรือนหน่วนเก๋อเล็กเกินไป แต่นางรู้สึกว่าบุตรชายตัวเองอยู่กับจิ่นเกอไม่ยอมกลับเรือนนั้นไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร!
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบหัวจิ่นเกอ
จิ่นเกอลังเล “ท่านแม่ ข้าไม่ได้จะโอ้อวดน้องเจ็ดนะขอรับ ข้าเพียงแค่อยากเล่นกับเขา!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วอุ้มจิ่นเกอ
มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน เถ้าแก่ใหญ่ที่ร้านตัวเป่าเก๋อนำกล่องเครื่องเขียนที่ท่านสั่งไว้มาส่งแล้วขอรับ!”
จิ่นเกอดีใจ เขากอดกล่องไม้หวงหยางของตัวเองเดินออกมา “ท่านแม่ เราไปหาน้องเจ็ดกันดีกว่า!”
เขายังไม่ได้เล่าเรื่องที่ตัวเองมีกล่องเครื่องเขียนให้เซินเกอฟังสักที จึงรู้สึกตื่นเต้น
“ได้เลย!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็นำกล่องเครื่องเขียนไปให้เซินเกอกับจิ่นเกอ
ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ นางยิ้มแล้วขอบคุณสืออีเหนียง แต่เซินเกอกลับไปพูดกระซิบกระซาบกับจิ่นเกอข้างๆ
ไม่กี่วันต่อมา ปินจวี๋ก็พาฉังอานและฉังซุ่นเข้ามา
สืออีเหนียงพาปินจวี๋และลูกๆ ไปคารวะไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเห็นแววตาที่สดใสของเด็กสองคนนั้นก็พอใจเป็นอย่างมาก นางรู้สึกโล่งใจ ครอบครัวของพวกเขาสั่งสอนฉังอานและฉังซุ่นมาแล้วบ้าง อีกทั้งบิดาและอาหญิงต่างก็ทำงานอยู่ในจวน พวกเขาเข้าไปอยู่ที่เรือนปีกกับจิ่นเกออย่างสบายใจ
จิ่นเกอยังคงลำบากใจกับการมาของฉังอาน ฉังอานเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินเลยไม่ค่อยพูดอะไร พวกเขาสองคนแทบจะไม่พูดอะไรกัน แต่ฉังซุ่นกลับตรงกันข้าม มีอาหาร มีเสื้อผ้า มีพี่ชายตัวเอง แล้วยังมีจิ่นเกอ เขาชอบเดินตามจิ่นเกอเป็นอย่างมาก จิ่นเกอจึงชอบหยิบขนมให้ฉังซุ่น ฉังซุ่นเลยยิ่งชอบเดินตามเขา ทำให้จิ่นเกอเอ่ยปากขอร้องกับสวีลิ่งอี๋ อยากให้ฉังซุ่นเรียนศิลปะการต่อสู้กับตัวเอง “…คนยิ่งเยอะ จะได้ยิ่งสนุกขอรับ!”
แน่นอนว่าสวีลิ่งอี๋ตอบตกลง แต่เขาบอกอาจารย์ผังว่า “เขายังเด็ก ไม่ต้องบังคับเขา รอให้เขาโตกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยเริ่มเรียนอย่างจริงจัง”
เซินเกอรู้เช่นนี้ก็พูดด้วยท่าทีที่อิจฉา “น่าเสียดายที่น้องแปดไม่ขาดแคลนขนมอะไร หากเขาเหมือนฉังซุ่นก็คงจะดี” พูดด้วยน้ำเสียงที่เสียดาย
บรรดาสาวใช้ต่างก็พากันหัวเราะ
คำพูดนี้แพร่กระจายไปถึงหูของฮูหยินห้า ทำเอาฮูหยินห้าโมโห อีกทั้งยังได้ยินว่าสวีลิ่งอี๋จะให้หวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่และฉังอานไปเรียนศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ผัง ฮูหยินห้าจึงไปบ่นกับสวีลิ่งควน “แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”
“มีอะไรไม่เหมาะสมกันเล่า!” สวีลิ่งควนยิ้ม “ในเมื่ออยากเรียนศิลปะการต่อสู้ ก็ต้องมีคนคอยฝึกฝนด้วย ไม่เช่นนั้น เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร!”
ฮูหยินห้าไม่กล้าขัดเขา ผ่านไปสองสามวัน นางก็แอบไปดูว่าเด็กๆ กำลังทำอะไร
อาจารย์ผังอาศัยอยู่ที่เรือนซิ่วมู่ที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนซวงฝู
เดิมทีเรือนซิ่วมู่คือห้องโถงศิลปะการต่อสู้ เพื่อให้เด็กๆ เรียนศิลปะการต่อสู้ สวีลิ่งอี๋สร้างเรือนสามห้องให้อาจารย์ผังข้างๆ แล้วยังส่งบ่าวรับใช้มาคอยรับใช้อาจารย์ผังอีกด้วย
ฮูหยินห้ายันไหล่สาวใช้ ยืนอยู่บนม้านั่งหินแล้วเขย่งมองเข้าไปข้างใน
จิ่นเกอ เซินเกอ หวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่และฉังอานยืนเรียงแถวหน้ากระดาน กำลังยืนย่อเข่าอยู่ในลาน ฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ พวกเด็กๆ จึงเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
อาจารย์ผังอายุราวสี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่ หน้าทรงเหลี่ยม เขานั่งทำสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือใต้ชายคา ทำให้เขาดูน่าเกรงขาม กำลังตำหนิฉังซุ่นที่อยู่ในกลุ่มเด็กๆ “เจ้าอย่าซุกซน ไม่เช่นนั้น จะให้เจ้าไปย่อเข่าด้วย”
ฉังซุ่นได้ยินเช่นนี้ ก็ลองทำท่าทางย่อเข่าลงเลียนแบบจิ่นเกอ แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ เขากลับทรุดตัวนั่งลงบนพื้นแล้วเอ่ยเรียกพี่ชายของตัวเองด้วยความน้อยใจ
ฉังอานลุกขึ้นแล้วหันกลับไปมองด้วยความเป็นห่วง กำลังจะปลอบใจน้องชายตัวเอง ก็เห็นอาจารย์ผังเดินเข้ามา จับฉังซุ่นไปที่เก้าอี้ไท่ซือราวกับจับลูกเจี๊ยบก็ไม่ปาน จากนั้นก็ถือไม้บรรทัดที่วางบนโต๊ะขึ้นมาโบก เสียงไม้บรรทัดกระทบกับลมในอากาศดังขึ้น จากนั้นเขาก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นอีกครั้ง
ฉังซุ่นยืนอยู่ข้างหลังอาจารย์ผังอย่างรู้ความ ไม่กล้าขยับตัวไปไหนอีกแล้ว
ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็เห็นบุตรชายตัวเองล้มตัวนั่งลงบนพื้น
ฮูหยินห้าพลันหน้าซีด ถอนหายใจเบาๆ
รู้สึกว่าสายตาที่ราวกับลูกธนูของอาจารย์ผังพุ่งตรงเข้ามา จากนั้นนางก็หายไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินห้าตกอกตกใจ กำลังจะแอบดูอีกที ก็ได้ยินเซินเกอตะโกนเสียงดัง “อาจารย์ผังขอรับ ข้า…ข้าอยากพักขอรับ!” เขาหอบหายใจ
แต่อาจารย์ผังยังไม่ทันได้พูดอะไร ฮูหยินห้าก็เห็นจิ่นเกอล้มนั่งลงบนพื้นเหมือนกัน “อาจารย์ผัง ข้าก็อยากพักขอรับ!”
อาจารย์ผังขมวดคิ้วมุ่น
เขามองดูฉังอานที่มือเท้าสั่นไปหมดแต่ยังย่อเข่าอยู่ตรงนั้น เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณชายน้อยหก คุณชายน้อยเจ็ด หนึ่งก้านธูปยังไม่ถึงเลย!”
เด็กสองคนนั้นลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่ขมขื่น จากนั้นก็ย่อเข่าลงอีกครั้ง
อาจารย์ผังถือไม้บรรทัดตีขาบ้าง ตีไหล่บ้าง จนกระทั่งเด็กทั้งสองคนทำท่าได้อย่างถูกต้องแล้ว เขาเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ไท่ซืออีกครั้ง
ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ก็ไม่พอใจ
เซินเกอแค่มาเล่นๆ เหตุใดถึงต้องจริงจังขนาดนี้!
นางเดินเข้าไปที่ลานข้างในด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่กลับเจอเข้ากับสืออีเหนียงโดยบังเอิญ
“พี่สะใภ้สี่จะไปไหนเจ้าคะ” นึกถึงบุตรชายที่ย่อเข่าอยู่ที่นั่น ฮูหยินห้าก็ฝืนยิ้ม
ตนต้องรีบไปหาสวีลิ่งควน และพาบุตรชายกลับมาโดยเร็วที่สุด!
“ข้ากำลังจะไปดูจิ่นเกอ!” สืออีเหนียงยิ้ม “ไปเรียนวันแรก ไม่รู้ว่าเขาซุกซนหรือไม่”
ฮูหยินห้าได้ยินดังนั้นก็บ่นพึมพำ “อาจารย์ผังคนนั้นป่าเถื่อนจริงเชียว ใช้ไม้บรรทัดตีเด็กๆ!”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ รีบเดินไปดู
เห็นเด็กๆ นอนอยู่บนพื้น อาจารย์ผังนั่งพูดอยู่ข้างๆ “พวกเจ้าพักผ่อนสักประเดี๋ยว อีกหนึ่งก้านธูปเราค่อยมาย่อเข่ากันต่อ”
เด็กๆ พากันส่งเสียงร้องครวญคราง แต่กลับไม่มีใครร้องไห้เลยสักคนเดียว!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วกลับไปที่เรือนหลัก