จิ่นเกอกลับมาที่เรือน สืออีเหนียงเห็นเขาเหงื่อออกเต็มตัว นางรีบเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา จากนั้นก็ถามเขา “อาจารย์ผังใจดีหรือไม่?”
“ใจดีขอรับ!” จิ่นเกอพูดเสียงดัง สายตาของเขาเป็นประกาย “ลูกธนูของเขา ยิงทะลุรูเหรียญไปที่ต้นไม้ใหญ่ แล้วยังต่อยอิฐที่ทับซ้อนกันสามชั้นแตก เขาเก่งมากเลยขอรับ!”
ความน่านับถือ คือสิ่งที่อาจารย์พึงมีที่สุด
สืออีเหนียงยิ้มแล้วหอมแก้มบุตรชาย “รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
จิ่นเกอส่ายหัว เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าย่อเข่าได้นานตั้งสามก้านธูป ส่วนน้องเจ็ดย่อเข่าได้นานแค่สองก้านธูปเองขอรับ” พูดด้วยท่าทางภาคภูมิใจ แต่กลับไม่พูดว่าฉังอาน หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ย่อเข่าได้นานเพียงใด
สืออีเหนียงหัวเราะ
นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตนไปแอบดูเขา พวกเขากำลังพักผ่อน การย่อเข่าของจิ่นเกอน่าจะแบ่งเป็นสามครั้ง
ดูเหมือนว่า อาจารย์ผังใช้วิธีก้าวหน้าไปตามลำดับ
สืออีเหนียงเกิดความรู้สึกประทับใจในตัวของอาจารย์ผัง
นางชื่นชมบุตรชายอย่างเหมาะสม “จิ่นเกอเก่งมากเลย!” แล้วพูดเสียงเบา “เซินเกออายุน้อยกว่าเจ้า แน่นอนว่าเขาย่อมย่อเข่านานเท่าเจ้าไม่ได้!” พูดพลางพาเขาไปนั่งบนเตียงเตาในห้องปีกทางทิศตะวันออก จากนั้นก็ปอกส้มให้เขาทาน
จิ่นเกอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกหดหู่ แต่เมื่อเห็นมารดาป้อนส้มให้เขา จึงร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านแม่ อาจารย์ผังบอกว่า ให้เราทำธนูของตัวเองด้วยขอรับ ต่อไปอาจารย์จะสอนเรายิงธนู แล้วยังต้องทำเสื้อต่วนเฮ่อ เวลาฝึกมวย ฝึกย่อเข่าจะได้สะดวก แล้วเขายังบอกให้คนทำเสาดอกเหมย[1]ไว้ในลานตั้งสองที่อีกด้วย” พูดด้วยท่าทางกระตือรือร้น “สูงกว่าข้าเสียอีก วางไว้ใกล้ๆ กัน บอกว่าหากเราย่อเข่าชำนาญแล้ว ก็จะได้ไปเดินเสาดอกเหมยขอรับ…”
ในขณะที่เขากำลังพูด สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
“ทำไมกลับมาเร็วเช่นนี้เล่าเจ้าคะ” สืออีเหนียงแปลกใจ
จิ่นเกอวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อ! วันนี้ข้าย่อเข่า ย่อเข่าได้นานตั้งสามก้านธูป อาจารย์บอกว่าข้าย่อเข่าเก่งกว่าเซินเกอด้วยขอรับ”
วันนี้เป็นครั้งแรกที่จิ่นเกอเรียนศิลปะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่พูดอะไร แต่เขาจำได้ เห็นว่าจิ่นเกอดีอกดีใจเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นไม่น้อย
“ไม่เลว ไม่เลว!” สวีลิ่งอี๋อุ้มจิ่นเกอไปบนเตียงเตา “เจ้าต้องตั้งใจเรียนกับอาจารย์ผัง หากเจ้าเดินเสาดอกเหมยได้แล้ว…” เขาพูด “ท่านพ่อจะมอบดาบให้เจ้าเป็นรางวัล!”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ!” สืออีเหนียงรับถ้วยจากสาวใช้มาวางหน้าสวีลิ่งอี๋ นางพูดอย่างเคร่งขรึม “ให้รางวัลอะไรไม่ให้ แต่กลับจะให้ดาบ!”
“ได้ขอรับ!” จิ่นเกอตื่นเต้น เขาไม่สนใจคำคัดค้านของมารดา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกตัวน้อย “ข้าอยากได้กระบี่กายสิทธิ์ที่อยู่ในห้องหนังสือของท่านพ่อ!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะ
“เจ้าพูดเองนะ!” เขามองดูบุตรชายด้วยสายตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็พูดว่า “ตราบใดที่เจ้าสามารถเดินเสาดอกเหมยได้ ข้าจะมอบกระบี่กายสิทธิ์ให้เจ้า”
สัญชาตญาณของจิ่นเกอบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ข้า…ข้า…” เขาขมวดคิ้วแล้วมองไปที่มารดา จากนั้นก็มองดูบิดาที่ยิ้มอย่างมีความสุข ท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำสีหน้าแน่วแน่ “ท่านแม่บอกว่า ไม่ให้ท่านพ่อมอบกระบี่กายสิทธิ์ให้ข้า ข้า…ข้าไม่อยากได้กระบี่กายสิทธิ์แล้วขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋สองสามีภรรยาพลันตกใจ สวีลิ่งอี๋พูด “เหตุใดถึงเปลี่ยนใจ เช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไร”
“เพราะท่านพ่อทำท่าทีหัวเราะเยาะข้า!” จิ่นเกอพูดเบาๆ “ข้าไม่มีทางโดนหลอกหรอกขอรับ!” พูดจบ เขาก็เอียงหัวครุ่นคิด “ข้า…ข้าอยากได้ธนู ธนูสวยๆ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เขาหันมาพูดกับสืออีเหนียง “บุตรชายของเราช่างฉลาดเสียจริง รู้จักสังเกตสีหน้าคนแล้ว” จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วถามบุตรชาย “แล้วเพราะเหตุใดเจ้าถึงอยากได้กระบี่กายสิทธิ์ของข้า”
“เพราะมันสวยขอรับ!” จิ่นเกอพูดโดยไม่คิด “ฝักดาบคือหยกจินเซียง แล้วยังประดับด้วยทับทิมสามเม็ด ใหญ่กว่าปิ่นปักผมของท่านแม่เสียอีก!”
รอยยิ้มของสวีลิ่งอี๋ค่อยๆ จางลง เขายืดตัวตรงแล้วเรียกสาวใช้นำกระบี่กายสิทธิ์เข้ามา
สืออีเหนียงมองดูสีหน้าที่เคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ นางยิ้มอย่างแผ่วเบา
สาวใช้นำกระบี่กายสิทธิ์เข้ามาอย่างรวดเร็ว
สวีลิ่งอี๋ยื่นกระบี่กายสิทธิ์ให้จิ่นเกอ “ดึงออกมา!”
จิ่นเกอรับกระบี่กายสิทธิ์มาด้วยความสงสัย เขาจับฝักดาบ ออกแรงดึงดาบออกมา
ดาบที่แวววาว
สวีลิ่งอี๋ชี้ไปที่โต๊ะเตียงเตา “ลองดูสิ!”
มันคือโต๊ะของท่านแม่
จิ่นเกอมองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าให้กำลังใจเขา
จิ่นเกอไม่ลังเลอีกต่อไป เขาจับด้ามดาบสองมือแล้วฟันไปที่โต๊ะเตียงเตาเต็มแรง
โต๊ะเตียงเตากลับไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
เขามองดูบิดาด้วยความงุนงง
สวีลิ่งอี๋ลูบหัวบุตรชายอย่างเบามือ “สิ่งของที่สวยงาม ไม่ใช่สิ่งของที่ดีเสมอไป!”
จิ่นเกอครุ่นคิด
สวีลิ่งอี๋หันหน้าไปยิ้มให้สืออีเหนียง แต่รอยยิ้มของเขากลับเต็มไปด้วยความชื่นมื่น
เฝ้าดูลูกเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ทำให้เขามีความรู้สึกประสบความสำเร็จที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้
สืออีเหนียงยิ้ม นางกอดบุตรชายตัวเองเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
จิ่นเกอยิ้มให้สวีลิ่งอี๋อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เอาล่ะ!” สวีลิ่งอี๋บอกให้สาวใช้นำกระบี่กายสิทธิ์กลับไปไว้ในห้องหนังสือด้วยท่าทีเรียบเฉย เขายิ้มแล้วพูดกับจิ่นเกอ “เช่นนั้นเราตกลงกันแล้ว หากเจ้าเดินเสาดอกเหมยได้แล้ว พ่อจะมอบธนูให้เจ้า”
“ท่านพ่อรอดูได้เลยขอรับ ข้าต้องเดินเสาดอกเหมยได้ในไม่ช้าแน่นอน” จิ่นเกอพูดพลางยืดอกผายไหล่ผึ่ง
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงพากันหัวเราะ
จิ่นเกอพูดถึงอาจารย์ผัง บอกว่าเขาเก่งแค่ไหน สอนตัวเองย่อเข่าอย่างไร แล้วยังลงไปทำท่าทางให้สวีลิ่งอี๋ดู ลากสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงมาทำตาม สืออีเหนียงเล่นกับจิ่นเกอ นางย่อเข่าตามเขา ท่าทางย่อเข่าของนางแปลก ทำเอาสวีลิ่งอี๋หัวเราะ สืออีเหนียงจึงลากสวีลิ่งอี๋มาทำด้วย จิ่นเกอเห็นเช่นนี้ก็บอกว่า “ท่านพ่อย่อเข่าสวยกว่าอาจารย์ผังเสียอีกขอรับ” สืออีเหนียงหัวเราะ สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว “อย่าเอาแต่บอกว่าสวย แต่ต้องใช้งานได้จริง” ทันทีที่พูดจบ ก็หัวเราะออกมา…บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คึกคักกว่าขึ้นปีใหม่เสียอีก บรรยากาศเช่นนี้ดำเนินไปจนถึงตอนทานข้าวเสร็จ สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยมาคารวะสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ความสุขที่ซ่อนเอาไว้ไม่อยู่บนใบหน้าของสวีลิ่งอี๋ทำให้พวกเขาหันมามองหน้ากัน
จิ่นเกอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้พวกเขาสองคนฟัง
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยตกใจ เมื่อตามสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ไปคารวะไท่ฮูหยินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสองคนก็เดินออกมาจากลานข้างใน
คืนฤดูใบไม้ผลิ ไม่ค่อยมีแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงดาว ลมที่พัดผ่านมาไม่ค่อยเย็นสักเท่าไร ต้นหลิวตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นอย่างโอนอ่อน พลอยทำให้บรรยากาศบางเบาไปด้วย
ภาพที่จิ่นเกอออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียงตอนที่เขาเข้าไปในห้องโผล่ขึ้นมาในหัวของสวีซื่อเจี้ย
สายตาของท่านแม่มองไปที่น้องหก ท่านแม่ยิ้มอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน ราวกับแสงพระจันทร์อันเจิดจ้า…คนที่ให้กำเนิดตนจะเคยอุ้มตนเช่นนี้หรือไม่
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ราวกับเรื่องราวที่คาดเดาไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่สบายใจ แต่กลับเห็นสายตาเป็นห่วงของสวีซื่อจุน
“เป็นอะไรหรือ” สวีซื่อจุนยิ้ม “หน้าซีดเช่นนี้” พูดจบ เขาก็ทำสีหน้าหยอกล้อ “หรือว่า เจ้าเห็นผี!” พูดจบเขาก็ทำหน้าผี
เมื่อวานนี้พวกเขาไปชมดวงจันทร์ในลาน แล้วก็เล่าเรื่องผีกับสาวใช้
“ไม่ใช่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ราวกับกำลังแก้ตัว เขาพูดด้วยความตื่นตระหนก ไม่เพียงแต่ไม่มีความสุขุม แล้วยังดูร้อนรนไม่น้อย “ข้าไม่ได้คิดอะไร!”
สวีซื่อจุนหยุดเดินแล้วมองดูเขาด้วยความสับสน “เจ้า … “
ตนเป็นอะไรไป
สวีซื่อเจี้ยหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง แต่กลับไม่รู้ว่าท่าทางของเขายิ่งทำให้สวีซื่อจุนคิดว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นอะไร” สวีซื่อจุนมองสวีซื่อเจี้ยด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพี่ชายที่สนิทสนมกันราวกับสหายของตัวเอง สวีซื่อเจี้ยโกหกเขาไม่ได้ มุมปากของเขากระตุก แต่กลับไม่พูดอะไรอยู่นาน
คนที่ถือโคมไฟคือเอ๋อร์หรุ่ย สาวใช้ของสวีซื่อจุน นางเป็นคนร่าเริง เห็นเช่นนี้นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยสี่ ท่านอย่าบังคับคุณชายน้อยห้าเลยเจ้าค่ะ หรือว่าคุณชายน้อยห้ากลัวก็ยังต้องเล่าให้ท่านฟังอีกหรือ”
ก็จริง!
สวีซื่อจุนหัวเราะเจื่อน
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมา มันนุ่มนวลราวกับมือของท่านแม่
ท่าทีที่รู้สึกผิดของสวีซื่อจุนทำให้สวีซื่อเจี้ยรู้สึกอับอาย
“ไม่ใช่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยปฏิเสธ “ข้าคิดว่าเมื่อครู่ท่านแม่กอดน้องหก ท่าทีรักใคร่เอ็นดูเขาขนาดนั้น…ข้าคิดว่า ตอนที่ข้ายังเด็ก ท่านแม่ก็คงจะกอดข้าเช่นนี้กระมัง…” เขาพรั่งพรูคำพูดในใจของตัวเองออกมาราวกับถูกผีเข้าก็ไม่ปาน
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกอับอายขายขี้หน้า
สวีซื่อจุนตกใจไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา “ที่แท้น้องห้าก็อิจฉาน้องหกนี่เอง!” เขากอดแขนสวีซื่อเจี้ย “ตอนที่เจ้าเด็กๆ ท่านแม่ก็กอดเจ้าเช่นนี้เหมือนกัน!” เขาพูดเสียงเบา “ตอนนั้นข้าก็อิจฉาเจ้าเหมือนกัน!” เขาหัวเราะ “แต่ว่าเจ้าอายุน้อยกว่าข้า ข้าจึงยอมเจ้า” ยิ้มแล้วเกลี้ยกล่อมสวีซื่อเจี้ย “น้องหกอายุน้อยกว่าเรา เราก็ต้องยอมเขา!”
“เข้าใจแล้วขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยไม่ได้ฟังที่สวีซื่อจุนพูด เขาแค่อยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ราวกับว่า หากเขาออกไปจากที่นี่เร็วเท่าไร ก็ยิ่งสามารถทิ้งความคิดที่อยู่ในหัวเมื่อครู่ไว้ตรงนี้ได้ “เรารีบกลับกันเถิด! พรุ่งนี้เช้าอาจารย์ยังจะทดสอบพวกเราอีก!”
“ไอ๊หยา!” สวีซื่อจุนตื่นตระหนก “หากเจ้าไม่พูดข้าคงลืมไปแล้ว!” เขาจับแขนสวีซื่อเจี้ย “รีบกลับกันเถิด!”
ดวงจันทร์รูปทรงราวกับจานสีเงินที่ห้อยอยู่บนท้องฟ้ากำลังจ้องมองลงมาที่พวกเขาสองคนก็ไม่ปาน
*****
ความสุขของจิ่นเกออยู่ได้แค่สองวัน ยามเช้าของวันที่สาม สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงพึ่งจะตื่นนอน อาจินก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ พวกท่านรีบไปดูเถิดเจ้าคะ คุณชายน้อยหก คุณชายน้อยหกลุกไม่ขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
สีหน้าของสองสามีภรรยาเปลี่ยนไป
สืออีเหนียงรีบวิ่งไปที่เรือนปีกทางทิศตะวันตกทันที
สวีลิ่งอี๋เป็นบุรุษ จึงมีสติมากกว่าสืออีเหนียง เขาถามอาจินด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อาจินน้ำตาคลอเบ้า “บ่าวก็ไม่รู้เจ้าค่ะ…เมื่อคืนยังดีๆ อยู่เลย…บ่าวรับใช้คุณชายน้อยหกแต่งตัว…คุณชายน้อยหกก็ร้องขึ้นมา กอดขาแล้วล้มลงบนเตียงร้องไห้…” นางสะอึกสะอื้น
สวีลิ่งอี๋ที่สุขุมมาโดยตลอดพลันมีสีหน้าที่ตื่นตระหนก
เขาเดินออกไปจากเรือนหลักอย่างรวดเร็ว
[1]เสาดอกเหมย เป็นเสาไม้ที่ใช้สำหรับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของชาวจีนมากมายหลายแขนง ใช้ฝึกฝนวิธีการก้าวเท้าเพื่อสร้างความสมดุลย์ของร่างกายและการทรงตัว บ้างก็ใช้ฝึกเตะต่อยเพื่อฝึกความทนทานของร่างกายและทักษะในการต่อสู้