คำพูดของจิ่นเกอทำเอาทุกคนชะงัก ก่อนจะรู้สึกขบขัน
สวีลิ่งควนหัวเราะ เขาทำเป็นตบไหล่จิ่นเกอเบาๆ “ไม่เลว ไม่เลว จิ่นเกอของเราพึ่งจะเริ่มเรียน ก็รู้หลักการแล้ว ได้ ข้ารอเจ้าหยุดเรียน แล้วค่อยพาเจ้าไปพายเรือดีหรือไม่!”
“ดีขอรับ!” ปีนี้จิ่นเกอยังไม่ได้พายเรือ เขาพูดเสียงดังด้วยความดีใจ “ถึงตอนนั้นท่านอาห้าอย่าลืมนะขอรับ” พูดจบเขาก็นึกถึงเซินเกอ “แล้วยังมีน้องเจ็ดอีกด้วย!”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” สวีลิ่งควนยิ้มแล้วหันไปถามสวีลิ่งอี๋ “อีกสองวันจิ่นเกอก็คงจะเดินได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ถึงแม้ว่ารอยยิ้มที่พอใจบนใบหน้าของเขาจะทำให้สีหน้าที่เคร่งขรึมของเขาดูอ่อนลง แต่เขาก็ยังดูเคร่งขรึมอยู่ดี “อีกสองวันก็คงเดินได้แล้ว!” เขาพูดกับบุตรชาย “ทำอะไรต้องใช้สมอง จะสักแต่ทำไม่ได้ นี่คือการฝึกศิลปะการต่อสู้ มันมีศิลปะของมัน เอาแต่ย่อเข่าอยู่ตรงนั้น เจ้าต้องคิดว่าทำไมอาจารย์ถึงอยากให้เจ้าฝึกย่อเข่า มันคือการฝึกความแข็งแกร่งของขาหรือว่าแขน หากฝึกขา ต้องฝึกเช่นไรถึงจะดี แล้วเหตุใดถึงต้องฝึกเช่นนี้”
ตอนที่สวีลิ่งอี๋พูด สวีซื่อจุนยืนกุมมืออยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม เมื่อสวีลิ่งอี๋ออกไปส่งสวีลิ่งควน เขาก็มีท่าทีร่าเริงขึ้นมา กระซิบบอกจิ่นเกอ “อาจารย์ที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้ข้าบอกว่า การฝึกย่อเข่าคือการฝึกความแข็งแกร่งของขา หากเจ้าย่อได้อย่างมั่นคงเจ้าก็จะไม่ล้ม…”
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา เขาพูดกับสวีซื่อจุน “เช่นนั้นตอนที่ท่านย่อเข่า ย่อได้นานแค่ไหนหรือ”
“ย่อได้ครึ่งก้านธูป!” สวีซื่อจุนพูด “ตอนแรกยังไม่ค่อยชิน แต่ผ่านไปนานเข้าก็จะดีขึ้น ตอนนี้ข้าสามารถย่อเข่าได้สามก้านธูป แล้วยังยิงธนูได้สิบนัด” พูดด้วยน้ำเสียงที่ภูมิอกภูมิใจ
สำหรับเขาแล้ว นี่คือการก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่!
จิ่นเกอไม่สนใจ “เซินเกอยังย่อเข่าได้ตั้งสองก้านธูป!”
สวีซื่อจุนสีหน้าเจื่อนลง แต่เขากลับไม่ยอมแพ้ พูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำว่า “ข้าค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ยังสามารถย่อเข่าได้ตั้งสามก้านธูป ดังนั้นแค่ยืนหยัดก็จะประสบความสำเร็จ!” เขาเป็นคนอ่อนโยน แม้แต่ตำหนิจิ่นเกอก็ยังใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยน แต่ว่าจิ่นเกอยังเด็ก เขาไม่เข้าใจที่สวีซื่อจุนพูด จึงโต้ตอบไปว่า “รอให้ข้าโตเท่าท่าน ข้าต้องเดินเสาดอกเหมยได้แน่นอน หากไม่เชื่อ ท่านก็รอดูได้เลย!”
“ได้เลย!” สวีซื่อจุนยิ้มให้จิ่นเกอ “แล้วข้าจะรอดู!”
จิ่นเกอไม่พอใจ “ถึงตอนนั้นท่านต้องยอมแพ้ข้า!”
“ข้าไม่ได้จะเดิมพันอะไรกับเจ้าเสียหน่อย จะแพ้ชนะได้อย่างไรกัน” สวีซื่อจุนพูด แต่ในสายตาของจิ่นเกอ เขาไม่เชื่อคำพูดของสวีซื่อจุน
“เช่นนั้นเราเดิมพันกันเถิด!”
“เดิมพันอะไร” สวีซื่อจุนทำท่าทีไม่สนใจ ทำให้จิ่นเกอไม่พอใจ
“ท่านคิดว่าจะเดิมพันอะไรเล่าขอรับ”
พวกเขาสองคนเถียงกันอยู่ตรงนั้น แต่สืออีเหนียงกลับรู้สึกอบอุ่น
นางยิ้มแล้วมองไปที่สวีซื่อเจี้ยที่ตั้งแต่เดินเข้ามาก็ไม่พูดอะไร “เป็นอะไรไป เหตุใดวันนี้ถึงเงียบเช่นนี้ ทำการบ้านไม่เสร็จถูกอาจารย์ตำหนิหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยยิ้ม “ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ!”
เขาหลบตาสืออีเหนียง ทำให้เขาดูไม่เป็นตัวของตัวเอง
สืออีเหนียงแปลกใจ นึกขึ้นมาได้ว่าคนของสวีซื่อเจี้ยล้วนแต่เป็นคนที่ตัวเองไว้ใจได้ นางยิ้มแล้วไม่ได้ถามอะไรอีก ตัดสินใจเรียกสี่เอ๋อร์เข้ามาซักถามวันพรุ่งนี้
สวีซื่อจุนได้ยินเสียงพวกเขา ก็พูดแทรก “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ เมื่อวานอาจารย์จ้าวยังชมน้องห้า บอกว่าน้องห้าตั้งใจร่ำเรียน การบ้านก็ทำได้ดี!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
เขาตั้งใจเล่าเรียนถือเป็นเรื่องที่ดี!
ในขณะที่เขากำลังพูด สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา
สวีลิ่งอี๋ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที ไม่มีท่าทีผ่อนคลายเหมือนเมื่อครู่ พูดคุยกับสืออีเหนียงสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวจะไปหาไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะบ่น “ท่านทำสีหน้าอ่อนโยนหน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ ลูกๆ กลัวท่านราวกับท่านไม่ใช่พ่อ แต่กลับเหมือนผู้ดูแลเสียมากกว่า”
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว “อายุแตกต่างกัน สถานะแตกต่างกัน หรือจะให้ข้าเป็นเหมือนเจ้า เอาแต่หัวเราะทั้งวัน” พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในห้องชำระ
สืออีเหนียงมองดูแผ่นหลังของเขาแล้วเบะปาก
จิ่นเกอรีบกอดแขนมารดาของตัวเอง “ท่านแม่พูดกับข้าสิขอรับ!”
สืออีเหนียงมองดูท่าทีเอาใจของบุตรชาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหอมเขาอย่างแรง
*****
หลังจากพักผ่อนหนึ่งวัน จิ่นเกอก็เดินได้แล้ว เขากระโดดโลดเต้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอะอะจะไปที่เรือนซิ่วมู่
แต่สืออีเหนียงยังเป็นห่วงเขา นางนวดขาให้เขาอย่างเบามือแล้วถามว่า “ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
“ไม่เจ็บแล้วขอรับ!” จิ่นเกอส่ายหน้าแล้วพูดด้วยความเบื่อหน่าย “ท่านแม่ หากข้ายังไม่ไปข้าก็จะตามเซินเกอไม่ทันแล้วนะขอรับ!”
จิ่นเกอพักผ่อนอยู่ที่เรือน หวงเสี่ยวเหมาและคนอื่นๆ ก็ต้องอยู่ที่เรือน แต่เซินเกอกลับไปฝึกย่อเข่าที่เรือนซิ่วมู่ทุกวัน
สืออีเหนียงคิดว่าการที่พวกเขาชอบฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เป็นเรื่องที่ดี
“ได้! เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด” นางยิ้มแล้วเปิดตู้ไม้หวงลี่ หยิบเสื้อต่วนเฮ่อสีน้ำเงินออกมา “กานไท่ฮูหยินทำให้เจ้า สวยหรือไม่”
จิ่นเกอชื่นชอบมันอย่างมาก เขายิ้มแล้วพยักหน้า พูดคุยกับสืออีเหนียงพลางเปลี่ยนเสื้อผ้า
สืออีเหนียงส่งบุตรชายที่หน้าประตู มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามา “ฮูหยิน เหลยกงกงมาขอรับ บอกว่ามาเยี่ยมคุณชายน้อยหกตามคำสั่งของฮองเฮา ท่านโหวกำลังพาเขามาที่นี่ขอรับ!”
ฮองเฮารู้เรื่องจิ่นเกอได้เช่นไร
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ร่างของสวีลิ่งอี๋และเหลยกงกงก็ปรากฏขึ้นตรงทางเดิน
สืออีเหนียงพาจิ่นเกอไปคำนับพวกเขา
เหลยกงกงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม “วันนี้หมอหลวงอู๋สำนักหมอหลวงไปจับชีพจรให้ไท่จื่อเฟย ฮองเฮาถึงได้รู้เรื่องขาของคุณชายน้อยหก จากนั้นก็รีบส่งข้ามาเยี่ยมเยียน”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “ไท่จื่อเฟยประชวรหรือเจ้าคะ”
เหลยกงกงตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม “ไท่จื่อเฟยมีข่าวดีอีกแล้ว!”
“นี่เป็นเรื่องน่ายินดี!” สืออีเหนียงพูดด้วยความดีใจ “ไม่รู้ว่าจะได้เข้าไปแสดงความยินดีในพระราชวังเมื่อไรหรือ!”
ตั้งแต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์คลอดหวงจั่งซุน นางก็ดูแลรักษาร่างกายอยู่ตลอด
“อีกสามเดือนก็เข้าไปแสดงความยินดีในพระราชวังได้แล้ว!” เหลยกงกงพูดคุยกับพวกเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา “ฮองเฮารอข้ากลับไปรายงานอยู่!”
สวีลิ่งอี๋ไม่รั้งเขาไว้ เดินออกไปส่งเหลยกงกงด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงกับจิ่นเกอกำลังจะไปที่เรือนซิ่วมู่
แต่ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยส่งนางกำนัลมาพอดี
หลังจากทักทายกันแล้ว สวีลิ่งอี๋ยังไม่ทันได้ส่งนางออกไป เฮ่อกงกงของฮ่องเต้ก็มา…ต่อมา สกุลเหลียงเก๋อเหล่า สกุลโต้วเก๋อเหล่า สกุลหวังลี่และสกุลอื่นๆ ก็ส่งคนมาถามไถ่ โจวฮูหยินและคุณนายสามสกุลหวงถึงกับมาเยี่ยมเยียนด้วยตัวเอง ทันใดนั้น จวนสกุลสวีก็ครึกครื้นยิ่งกว่าขึ้นปีใหม่เสียอีก
สวีซื่อจุนหยอกล้อจิ่นเกอ “จงใจจุดไฟชัดๆ!”
จิ่นเกอไม่เข้าใจ แต่เขารู้ว่าพี่ชายไม่ได้พูดเรื่องดีแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธ แต่เขากลับไม่พูดอะไร กลับไปเขาก็ไปถามสืออีเหนียงว่าอะไรคือ ‘จงใจจุดไฟ’
สืออีเหนียงเล่าให้เขาฟัง
เขาก็เข้าใจทันที วิ่งไปคิดบัญชีกับสวีซื่อจุน สุดท้ายสวีซื่อจุนต้องมอบหยกเหอเถียนให้เขาเรื่องถึงจะจบ
จิ่นเกอเริ่มฝึกย่อเข่ากับอาจารย์ผังอีกครั้ง ผ่านไปไม่กี่วันก็บ่นให้สืออีเหนียงฟังว่ามันน่าเบื่อ อยากให้สุยเฟิงนำนกที่เลี้ยงไปห้อยไว้ใต้ชายคาของเรือนซิ่วมู่ “…ฟังเสียงนกร้องก็ดีเหมือนกันขอรับ!”
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ทำอะไรต้องตั้งใจ ฝึกย่อเข่าก็ฝึกย่อเข่า จะฟังเสียงนกร้องทำไมกัน”
จิ่นเกอเพียงขานรับ จากนั้นก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
สืออีเหนียงไม่ได้คิดอะไร แต่ผ่านไปไม่กี่วัน นางก็ได้ยินว่าทุกครั้งที่จิ่นเกอไปเรือนซิ่วมู่ เขามักจะพาสุนัขพันธุ์ปักกิ่งสองสามตัวของเขาไปด้วย ตอนที่เขาฝึกย่อเข่า สุนัขสองสามตัวนั้นก็วิ่งไปวิ่งมารอบตัวเขา นอนอยู่ตรงบันไดบ้าง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ไม่คุ้นเคย พวกมันก็จะเห่า ทำเอาหวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่และคนอื่นๆ ไม่มีสมาธิ มีแค่ฉังซุ่นที่ดีใจ ไม่ดึงหูสุนัขตัวนี้ ก็ไปดึงหางสุนัขตัวนั้น เล่นอย่างสนุกสนาน อาจารย์ผังไม่พอใจ เขาตำหนิจิ่นเกอสองสามครั้ง จิ่นเกอเลยไม่พาสุนัขไปด้วยแล้ว แต่กลับพานกยูงไปแทน ตอนที่อาจารย์ผังสั่งสอนพวกเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม นกยูงตัวนั้นก็เดินเล่นในเรือนซิ่วมู่ สายตาของเด็กๆ ก็เผลอมองตามนกยูงตัวนั้น
สีหน้าของอาจารย์ผังย่ำแย่ หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เขาจึงหาโอกาสเชิญพ่อบ้านไป๋ไปดื่มสุรา
พ่อบ้านไป๋ลูบหัวตัวเองอยู่นาน “หรือว่า ข้าช่วยพูดกับก่วนชิงให้เจ้า ภรรยาของเขาเป็นผู้ดูแลหญิงของฮูหยิน”
อนาคตของบุตรหลานสกุลขุนนางคือการสืบทอดตำแหน่ง บทบาทของอาจารย์ ไม่สำคัญเท่ากับสกุลขุนนางที่สอบผ่านการสอบขุนนางระดับเคอจวี่ แล้วอีกอย่างลูกหลานของสกุลขุนนางสูงส่งมาตั้งแต่เกิด พวกเขาอาจจะมองไม่เห็นหัวใคร ทำอะไรตามใจตัวเอง แน่นอนว่าไม่มีทางเห็นหัวบัณฑิตซิ่วไฉหรือว่าจู่เหรินที่ยากลำบาก ดังนั้นคนทั่วไปมักจะไม่ยอมมาเป็นอาจารย์ที่สกุลขุนนาง ต้องมาเจอกับลูกผู้ลากมากดียังไม่พอ แล้วยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสอนลูกศิษย์ให้มีชื่อเสียง เสียเวลาตัวเองเสียมากกว่า ไม่มีชื่อเสียงยังไม่พอ ยิ่งไม่ต้องผู้ถึงเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญกับการเรียนหนังสือมากกว่าศิลปะการต่อสู้ อาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ก็เหมือนกับองครักษ์ ไม่ค่อยน่าเคารพสักเท่าไร
อาจารย์ผังเข้ามาในเมืองหลวงถึงได้เข้าใจ เขาขอบคุณพ่อบ้านไป๋แล้วถอนหายใจ “ท่านเขยใหญ่ของพวกเจ้ามีบุญคุณกับข้า ข้าจึงตอบตกลงมาสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับคุณชายน้อยทั้งสองท่าน ตอนนั้นท่านเขยใหญ่ขอร้องข้า บอกให้ข้าตั้งใจสอนคุณชายน้อยหก ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะไม่ตั้งใจขนาดนี้!”
พ่อบ้านไป๋ไม่พูดอะไร
อาจารย์ที่สอนคุณชายน้อยสี่ใจดีกว่าอาจารย์ผัง สอนคุณชายน้อยสี่มาตั้งหลายปีแล้ว แต่เหมือนแค่เล่นเป็นเพื่อนเขา ดูเหมือนว่า อาจารย์ผังคนนี้เป็นคนจริงจังจริงๆ
เขาหาโอกาสพูดกับก่วนชิง ก่วนชิงได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับคุณชายน้อยหก เขาจึงเข้ามาที่จวน มาบอกหู่พั่ว หู่พัวไม่กล้าปิดบังสืออีเหนียง นางจึงกลับไปเล่าให้สืออีเหนียงฟัง
“ข้าไม่ให้เขานำนกไป เขาก็นำสุนัขไป อาจารย์ไม่ให้เขานำสุนัขไป เขาก็นำนกยูงไป…” สืออีเหนียงรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ ตกเย็นหลังจากเล่านิทานให้จิ่นเกอฟังแล้ว ก็พูดกับจิ่นเกอว่า “ทำอะไรต้องตั้งใจ ไม่เช่นนั้นคงจะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง” จิ่นเกอจึงรับปากว่าต่อไปจะไม่นำอะไรไปยังเรือนซิ่วมู่อีกแล้ว
เพื่อให้รางวัลจิ่นเกอ สืออีเหนียงบอกให้โรงครัวทำขนมและของว่างที่เด็กๆ ชอบทาน นำเสื่อ เก้าอี้เล็กๆ ไปที่สวนดอกเถาฮวาข้างเรือนลี่จิ่งเซวียนกับเด็กๆ ปูเสื่อลงบนหญ้าในสวนดอกเถาฮวา วางเก้าอี้ จัดขนมและของว่าง ทุกคนนั่งอยู่ใต้ต้นเถาฮวา ทานของว่าง พูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข
เมื่อยามที่ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมา ดอกเถาฮวาก็ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกสดใสกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย