เงาทมิฬรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับผู้เป็นนาย เขาออกไปด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข แต่กลับมาด้วยท่าทางหงอยเหงาเศร้าสร้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้เป็นนายแสดงสีหน้าเช่นนี้
จากความทรงจำของเขา ฝ่าบาทมักจะเย็นชาและห่างเหิน แม้แต่ตอนที่เขาถูกฮองเฮาทำร้ายอย่างรุนแรง เขาก็ไม่เคยเผยสีหน้าอันใดออกมา
สีหน้านั้นให้ความรู้สึกเหมือนเขาถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง…
“ฝ่าบาท” เงาทมิฬเอ่ยเรียกเขาด้วยความกังวล
แต่เขาไม่ได้รับคำตอบกลับมา
เด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ข้างโต๊ะ นิ้วของเขาที่วางอยู่บนนั้นเริ่มเกร็งขึ้นทีละน้อย…
เงาทมิฬตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางกำนัลของฮองเฮาก็มาถึงเสียก่อน…
ฮองเฮาเรียกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปพบที่ตำหนักของนาง
เด็กชายยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์
เงาทมิฬคว้ามือของนางกำนัลคนนั้นเอาไว้แล้วถามว่า “หัวหน้านางกำนัล ในช่วงนี้ฝ่าบาทมิได้ก่อเรื่องอันใดมิใช่หรือ ฮองเฮา…”
“อย่ามัวแต่เสียเวลา ฮองเฮาย่อมมีเหตุผลที่เรียกองค์ชายสามเข้าพบอยู่แล้ว” นางกำนัลคนนั้นสะบัดมือเล็กๆ ของเงาทมิฬออก
แต่นางกำนัลคนนั้นกลับถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เพิ่งเข้ามาในห้องหยุดเอาไว้เสียก่อน “หัวหน้านางกำนัล อย่างไรฝ่าบาทก็เป็นองค์ชาย ตอนนี้อดีตฮ่องเต้ยังไม่กลับมา แต่หากเขากลับมาเมื่อใด เขาจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าใครที่ปฏิบัติต่อองค์ชายเป็นอย่างดี และใครที่ไม่ได้ปฏิบัติเช่นนั้น ก็อย่างที่ท่านเห็น วังหลวงแห่งนี้เหลือเพียงองค์ชายสามเป็นองค์ชายเพียงพระองค์เดียว หัวหน้านางกำนัล ท่านเป็นคนฉลาด ข้าคิดว่าท่านคงรู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร”
คำพูดอันนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความโหดร้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้นางกำนัลคนนั้นหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วนางก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว “น้องสาว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะอยู่กับฮองเฮาและทำให้มั่นใจว่าองค์ชายสามจะไม่ได้รับบาดเจ็บ”
แน่นอนว่าเรื่องย่อมไม่ง่ายเช่นนั้น
ความตายขององค์ชายใหญ่ทำให้ฮ่องเต้ขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นเวลาสองวันเต็ม จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนฮองเฮาเช่นกัน
ฮองเฮาบอกไม่ได้ว่านางรู้สึกดีหรือไม่ นางมองเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “การสิ้นพระชนม์ขององค์ชายใหญ่นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนัก นอกจากนั้นข้าก็ยังอนุญาตให้สาวใช้คนนั้นอยู่กับเจ้าต่ออีกสักพักแล้วมิใช่หรือ ทำไมเจ้าถึงส่งตัวปี้ลั่วกลับมาที่นี่เล่า หือ”
“ก็เป็นอย่างที่ท่านคิด” เด็กชายตัวน้อยไม่ได้มองหน้าฮองเฮา สายตาของเขาแน่วแน่ แต่ยังคงปราศจากอารมณ์ “อย่าได้คิดแตะต้องคนที่อยู่รอบตัวข้า นอกเสียจากท่านจะไม่อยากเจอผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว”
ฮองเฮาหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “เจ้าขู่ข้าอยู่หรือ”
เด็กชายตัวน้อยไม่ตอบ
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ! เจ้ากล้าข่มขู่แม่ตัวเองเชียวหรือ! ช่างชั่วช้าเสียจริง!” รอยยิ้มของฮองเฮาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้าให้กำเนิดปีศาจที่เลือดเย็นเช่นเจ้าออกมาได้อย่างไรกัน!”
เด็กชายตัวน้อยเม้มริมฝีปากตัวเอง ดวงตาของเขาหม่นแสงลง “เช่นนั้นก็อย่าได้ยั่วโมโหข้า”
ฮองเฮามองเขา เพล้ง!
ถ้วยชาในมือนางลอยมาปะทะเข้ากับหน้าผากของเด็กชายตัวน้อย “ออกไป!”
แม้จะมีเลือดซึมออกมาจากผ้าสีขาวที่อยู่บนหน้าผากของเขา แต่เด็กชายตัวน้อยก็ไม่สนใจมันแต่อย่างใด สมองของเขายังหมุนติ้วขณะเดินกลับไปที่ห้องบรรทมของตัวเอง
ระหว่างทาง เขาบังเอิญพบเด็กหญิงตัวเล็กจากตระกูลเฮ่อเหลียนอีกครั้ง
ครั้งนี้นางไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่กลับวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว
เด็กชายตัวน้อยกดนิ้วลงบนหน้าผาก แล้วยิ้มเย้ยหยันออกมา
เขาจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเคยถามเขาว่าเขาตกหลุมรักเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้หรือ ตอนนี้มันช่างน่าขันสำหรับเขายิ่งนัก
เขาย่อมไม่มีวันชายตามองตุ๊กตากระเบื้องตัวนี้แน่ นางกลัวเขาแทบตายทุกครั้งที่นางพบเขา แล้วนับประสาอะไรกับการจะให้เขาตกหลุมรักนางได้
เขายอมรับของพวกนั้นมาเพราะเขารู้สึกว่านางน่าจะอยากกิน…
ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เลือดของเขาเดือดพล่านเพียงแค่คิดถึงการทำให้นางเป็นของเขา
ตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะไม่เหมือนใครสำหรับนาง
เพราะทุกครั้งที่นางมองเขา สายตาของนางจะเต็มไปด้วยความอบอุ่น
เขารักสายตาตอนที่นางมองเขา มันเหมือนกับว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาหันหน้าไปมองนาง นางก็พร้อมที่จะส่งยิ้มให้เขาอย่างรักใคร่อยู่เสมอ
แต่สุดท้าย เขาก็ตระหนักได้ว่าสำหรับนางแล้ว เขาไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเศษชิ้นส่วนวิญญาณชิ้นหนึ่ง
ถ้าเขาไม่ใช่เศษเสี้ยวของคนคนนั้น นางก็คงไม่คิดที่จะมองเขาด้วยซ้ำ…
เด็กชายตัวน้อยแค่นหัวเราะ ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในท้องพระโรง เงาทมิฬก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความตกใจ เขารีบวิ่งออกไปตามหมอหลวงอย่างรวดเร็ว
ตอนที่เขากลับมา เด็กชายตัวน้อยก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว ใบหน้าของเขาซีดจนไร้สีเลือด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกไม่มั่นใจในการกระทำของตัวเอง
ในที่สุดนางก็เข้าใจสิ่งที่กิเลนอัคคีบอกนางก่อนหน้านี้
มันบอกว่า “จำไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท ท่านก็ห้ามสัญญาว่าจะอยู่กับเขาเด็ดขาด”
แต่ความเป็นจริงย่อมไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
นางหวังว่านางจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้ทุกเวลา องค์ชายตัวน้อยของนางเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ ฉลาด และหยิ่งผยอง แต่ก็มีด้านที่อ่อนไหว
ทุกครั้งที่เขาป่วย เขาจะทำตัวเหมือนเป็นเด็กเอาแต่ใจเวลาอยู่ต่อหน้านาง
เขาจะซบศีรษะของตัวเองเข้ากับบ่าของนาง หรือไม่ก็บ่นในสิ่งที่เขาไม่ชอบ
ทุกครั้งที่นางจูบเขา เขาจะใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนาง แล้วบอกให้นางอยู่ห่างจากเขา แม้ว่าเขาจะชอบมันมากก็ตาม
นางจะปฏิเสธคนเช่นเขาได้อย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือแน่น แล้วมองไปยังทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยหมอกสีขาว ดวงตาของนางแดงระเรื่อ
ก่อนหน้านี้นางเคยบอกกับเขาว่า
ให้นางจัดการเรื่องเปื้อนเลือดและเรื่องสกปรกทั้งหมดแทนเขา
เช่นเดียวกันกับในครั้งนี้
ต่อให้เขาจะเกลียดชังและเคียดแค้นนาง
แต่เขาก็จะต้องตามนางกลับไป!
“ข้าดีใจจริงๆ ที่ท่านไม่หวั่นไหว” เสียงของกิเลนอัคคีดังขึ้นในจิตของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่มันฟังดูเหน็ดเหนื่อยทีเดียว “แต่สถานการณ์เวลานี้ดูไม่ค่อยดีนัก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยบีบรัด
“ประวัติศาสตร์กับอดีตมีความแตกต่างเกิดขึ้นเล็กน้อย แม้โดยรวมแล้วทิศทางของมันจะยังถูกต้อง แต่การปรากฏตัวของท่านก็ทำให้หลายสิ่งเกิดขึ้นก่อนที่มันควรจะเป็น” กิเลนอัคคีฟังดูเหมือนกำลังพยายามพยุงอะไรบางอย่างอยู่ “โชคดีที่ไม่มีความผิดพลาดใหญ่โตอันใดเกิดขึ้น ดังนั้นเราจึงยังสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ แต่การที่เศษชิ้นส่วนวิญญาณเริ่มมีความนึกคิดเป็นของตัวเองนับว่าเป็นข่าวร้าย พวกเราทุกคนล้วนแต่ประเมินฝ่าบาทเอาไว้ต่ำเกินไป ท่านก็น่าจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ใครจะสามารถฝึกให้เชื่องได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเบาๆ ว่า “ข้าไม่เคยต้องการฝึกเขาให้เชื่อง ข้าเพียงแค่ต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ และยืนอยู่ตรงหน้าข้าอย่างสุขสบายดีก็เท่านั้น”
เมื่อกิเลนอัคคีเห็นดวงตาแดงระเรื่อของนาง มันก็โน้มศีรษะลง “ข้าขออภัยด้วย แต่ทันทีที่เศษชิ้นส่วนวิญญาณเริ่มมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง การพาเขากลับไปจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นความคิดในปัจจุบันของเขาก็เริ่มมีผลกระทบต่อเศษชิ้นส่วนวิญญาณชิ้นที่สาม ทั้งยังมีสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศษชิ้นส่วนวิญญาณชิ้นที่สองกับชิ้นที่สามกำลังจะหลอมรวมเข้าด้วยกันอีกด้วย”
“สัญญาณการหลอมรวมหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยสับสนอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนั้นหมายความว่าอย่างไร”
น้ำเสียงของกิเลนอัคคีลึกล้ำขึ้น “การปรากฏขึ้นของเศษชิ้นส่วนวิญญาณทั้งสองพิสูจน์ให้เห็นว่าฝ่าบาททิ้งเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นเอาไว้ในอดีต การเปลี่ยนจากปีศาจมาเป็นมนุษย์ทำให้ฝ่าบาทสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป และจำไม่ได้ว่าท่านปรากฏตัวขึ้นที่แดนปีศาจ แต่เศษชิ้นส่วนชิ้นต่อไปมีความทรงจำทั้งหมดของเขาอยู่… ดังนั้นเราต้องทำให้เศษชิ้นส่วนวิญญาณทั้งสองชิ้นนั้นมารวมกันเพื่อเรียกสติของฝ่าบาทกลับมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราจำต้องปรับเปลี่ยนแผนการ ท่านต้องไปยังช่วงเวลาที่เศษชิ้นส่วนวิญญาณชิ้นที่สามจะปรากฏขึ้นแทน”
“ตอนนี้หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก “แต่ข้ายังไม่…”
กิเลนอัคคีตัดบทนางด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ไม่ช้าก็เร็วท่านก็ต้องไปจากที่นี่อยู่ดี รีบไปก่อนจะดีกว่า”