ตอนที่ 625 เรื่องราวในฮ่องกง
เช้าวันรุ่งขึ้น ภายใต้การอ้อนวอนของฟางจั๋วเยวี่ย ฟางจั๋วหรานพาเขาและหลินม่ายไปดื่มชาตอนเช้า
ฟางจั๋วเยวี่ยหิวโหยเป็นอย่างมากจึงสั่งติ่มซำมาจนเต็มโต๊ะ
อาหารอันโอชะมากมาย เช่น ตีนไก่นึ่งซอสถั่วดำ ซี่โครงหมูนึ่งซอสถั่วดำ ขาหมูนึ่งนม…ล้วนถูกวางตรงหน้าหลินม่าย
หลังจากเกลี้ยกล่อมพี่สะใภ้ของเขาแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยก็มีช่วงเวลาที่ดีในฮ่องกง
เมื่อเทียบกับชายามเช้าของกว่างโจว อาหารเช้าของชาวหูเป่ยนั้นเรียบง่ายและเบากว่า
แทบจะไม่มีใครกินซี่โครงและขาหมูในตอนเช้า
หลินม่ายเติบโตในหูเป่ย ดังนั้นโดยปกติแล้วเธอจะไม่กินอาหารเนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ในตอนเช้า
เธอกินเกี๊ยวกุ้งสองสามคำและโจ๊กหมูเพียงเท่านั้น
ฟางจั๋วหรานกลัวว่าเธอจะกินไม่อิ่มท้อง ดังนั้นเขาจึงบังคับให้เธอกินเกี๊ยวอีกสองสามชิ้นและซุปหูฉลาม
อาหารส่วนใหญ่บนโต๊ะถูกฟางจั๋วเยวี่ยกลืนกิน ส่วนฟางจั๋วหรานและหลินม่ายกินอย่างเรียบเฉยเพียงไม่กี่คำ ไร้ซึ่งความตื่นเต้นใด
หลังจากดื่มชายามเช้า ฟางจั๋วหรานก็ไปยังโรงพยาบาลอี๋เหอเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการ
ส่วนหลินม่ายและฟางจั๋วเยวี่ยไปซื้ออุปกรณ์ด้วยกัน
พวกเขาไปเยี่ยมผู้ผลิตสายการผลิตอาหารไม่ต่ำกว่าห้ารายในตอนเช้า อุปกรณ์ของผู้ผลิตแต่ละรายนั้นล้ำหน้ามาก แต่ก็มีราคาแพงจนน่าตกใจเช่นกัน
อุปกรณ์ทั้งหมดล้วนซื้อมาในมูลค่าเกือบหนึ่งล้านหยวน
หลินม่ายสามารถซื้อได้ แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้รับเงินคืนจำนวนมากเช่นนี้
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินทางไปยังโรงพยาบาลอี๋เหอเพื่อพบกับฟางจั๋วหรานและรับประทานอาหารกลางวัน
ฟางจั๋วเยวี่ยกล่าวกับหลินม่าย “พี่สะใภ้ อุปกรณ์พวกนั้นมีหลักการง่าย ๆ ผมประดิษฐ์เองก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อมันหรอก”
หลินม่ายส่ายศีรษะพลางกล่าว “ถึงนายจะประดิษฐ์เองได้ แต่ฉันเกรงว่านายจะส่งสินค้าได้ไม่ทันสิ้นปีน่ะสิ ซึ่งมันจะทำให้สิ่งต่าง ๆ ล่าช้า”
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เดิมทีเขาวางแผนที่จะสร้างอุปกรณ์เหล่านั้นสำหรับหลินม่าย และหาเงินมาแสดงต่อหน้าเถาจืออวิ๋นผู้ไม่คิดว่าเขาจะมีความสามารถในการทำเงิน
น่าเสียดายที่พี่สะใภ้ของเขาปฏิเสธ
ทั้งสองมาถึงโรงพยาบาลอี๋เหอ แต่การสัมมนาวิชาการยังไม่จบ
ฟางจั๋วเยวี่ยและหลินม่ายนั่งรออยู่ข้างนอก
สิบห้านาทีต่อมา ประตูห้องประชุมถูกเปิดออก และบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากที่เข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการต่างพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษขณะเดิน
ฟางจั๋วหรานเดินออกมาพร้อมกับชายและหญิงหลายคน
แม้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะหน้าตาดูธรรมดา แต่ก็มีบุคลิกที่โดดเด่น
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือผู้หญิงเหล่านั้นมองไปยังฟางจั๋วหรานด้วยความชื่นชม
ฟางจั๋วเยวี่ยเตือนหลินม่าย “ดูเหมือนคุณจะมีคู่แข่งทางความรักแล้ว”
หลินม่ายยิ้มอย่างมั่นใจ “เดี๋ยวพี่ชายนายจะจัดการพวกหล่อนเอง”
ฟางจั๋วหรานเห็นหลินม่ายยิ้มให้ จึงหันกลับมาพูดอะไรบางอย่างกับคนรอบตัวเขา ก่อนจะเดินไปหาเธออย่างรวดเร็ว
แม้ว่าหลินม่ายจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่ดูจากสีหน้าของผู้หญิงเหล่านั้น ก็เดาได้ว่าเขาคงปฏิเสธคำเชิญของพวกหล่อนที่จะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน
ฟางจั๋วหรานเดินมาหาเธอ หยิบกระเป๋าแอร์เมสของหลินม่ายสะพายไว้บนหลังของเขาตามปกติ และถามเธอว่าจัดการธุระทั้งหมดและดูเครื่องมือผลิตเรียบร้อยแล้วหรือไม่
หลินม่ายพยักหน้า “ดูแล้ว แต่มันแพงเกินไป”
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ถึงอย่างไรเราจะอยู่ที่ฮ่องกงเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์อยู่แล้ว คุณค่อยต่อรองราคากับผู้ผลิตก็ได้”
หลินม่ายพยักหน้า
ทันใดนั้นเท้าของฟางจั๋วหรานก็แข็งทื่อขณะมองไปข้างหน้า
หลินม่ายมองตามสายตาของเขา แล้วก็เห็นครอบครัวสามคนของกวนหย่งหัว
แต่ครอบครัวทั้งสามของกวนหย่งหัวไม่เห็นพวกเขา
ทั้งคู่จับมือเล็ก ๆ ของลูกสาว พูดคุยและหัวเราะก่อนจะออกจากลิฟต์ไป
หลินม่ายรู้สึกงุนงง “คุณกวนมีภรรยาและลูกแล้วเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ใช่”
ทันใดนั้นหลินม่ายหันมองเขา “คุณรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ส่วนตัวของกวนหย่งหัวด้วยเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าอย่างลังเล “ใช่”
“คุณรู้ได้อย่างไร?”
ฟางจั๋วหรานบอกหลินม่ายเกี่ยวกับการช่วยชีวิตลูกสาวของกวนหย่งหัว
ฟางจั๋วเยวี่ยถามอย่างงุนงง “ทำไมพี่ถึงไม่บอกพี่สะใภ้ล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานอธิบาย “ตอนแรกฉันไม่ได้บอกพี่สะใภ้ของนาย เพราะฉันไม่เคยคิดว่ากวนหย่งหัวและพี่สะใภ้ของนายจะไม่ลงรอยต่อกัน”
“แล้วเกิดอะไรขึ้น? ทำไมหลังจากนั้นคุณถึงไม่บอกฉัน?” หลินม่ายถาม
ฟางจั๋วหรานหยุดชั่วขณะและพูดอย่างไม่สบายใจ “เพราะหลังจากนั้นผมก็ได้รู้ว่านายกวนต้องการหลอกให้หวังหรงแต่งงานกับเขา ซึ่งผมแอบหวังให้แผนการแต่งงานของเขาไม่สำเร็จเหมือนกัน ผมไม่บอกคุณในเรื่องนี้เพราะกลัวว่าคุณจะคิดมาก”
หลินม่ายกอดอก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ถึงเขาจะดูนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ แต่ฉันก็ชอบนะ”
ฟางจั๋วหรานยิ้มทันที “ผมจะไปสืบหน่อยว่าทำไมนายกวนถึงพาลูกสาวของเขามาโรงพยาบาล?”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินคนเดียวไปยังแผนกครอบครัวที่กวนหย่งหัวเดินออกมาพร้อมภรรยาและลูกของเขา
ในไม่ช้าก็พบว่ากวนหย่งหัวและภรรยาของเขาพาลูกสาวที่ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกมาตรวจอีกครั้ง
ลูกสาวของเขาได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกเพราะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งตรงกับที่ฟางจั๋วหรานคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้
ดูเหมือนว่าหวังหรงจะเป็นผู้มอบไขกระดูกให้แก่ลูกสาวของเขา
ฟางจั๋วหรานเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เขาได้ยินให้หลินม่ายฟัง
หลินม่ายขนลุกซู่ทันที
กวนหย่งหัวใช้ความพยายามอย่างมากในการแต่งงานเพียงเพื่อให้ลูกสาวของเขาได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูก
ตอนนี้พวกเขาไม่เห็นหวังหรง เห็นเพียงภรรยาและลูกของเขาเท่านั้น
เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากหลอกใช้หวังหรงแล้ว เขาก็ทิ้งขว้างหล่อนเหมือนผ้าขี้ริ้ว?
เฮ้อ ชีวิตหวังหรงช่างน่าสงสาร แต่หลินม่ายไม่เห็นใจหล่อนเลยสักนิด
คนเลวก็สมควรได้รับผลเลวร้ายแล้ว
หลังรับประทานอาหารกลางวัน พวกเขาก็งีบหลับในโรงแรม พอถึงตอนบ่ายหลินม่ายและฟางจั๋วเยวี่ยก็ออกไปคุยธุรกิจกับหัวหน้าโรงงานอุปกรณ์
หลังจากคุยกันเรื่องธุรกิจตลอดบ่าย แม้ว่าเจ้าของกิจการเหล่านั้นจะลดราคาสินค้า แต่หลินม่ายก็ยังคิดว่ามันแพงเกินไป
เธอวางแผนที่จะกลับมาพรุ่งนี้เพื่อต่อรองราคาอีกครั้ง ตราบเท่าที่เธอทำงานหนักพอที่จะฝนทั่งให้เป็นเข็มได้ เธอก็จะต่อรองราคาให้ลดลงทีละนิดจนได้ราคาที่พอใจ
เมื่อเดินผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หลินม่ายก็หยุดลง
เธอไม่ได้ซื้อขายหุ้นในชาติที่แล้ว
ในสายตาของเธอ การซื้อขายหุ้นคือการพนัน เธอไม่เคยคิดที่จะรวยข้ามคืนด้วยการซื้อขายหุ้น เธอชอบหาเงินแบบติดดินมากกว่า
แต่คนคดโกงอย่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนชอบเล่นหุ้น เขาคาดหวังจะชนะเพื่อที่ทุกอย่างจะเป็นของเขา ต้องขอบคุณเขาที่เป็นดังอาจารย์ใหญ่ของหลินม่าย สอนว่าการเล่นหุ้นต้องใช้ความระมัดระวัง
น่าเสียดายที่เขาอ่านหนังสือไม่พอและไม่มีการศึกษา เขาจึงสูญเสียเงินทั้งหมดไป
เมื่อหลินเพ่ยหญิงผู้เป็นที่รักของเขาเห็นว่าเขาสูญเงินไปหลายล้านก็ทนไม่ได้อีกต่อไป และปฏิเสธที่จะให้เขาซื้อขายหุ้น ดังนั้นเขาจึงยุติอาชีพการซื้อขายหุ้น
หลินเพ่ยไม่ให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนซื้อขายหุ้น ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดเพราะหลินม่าย แต่เป็นเพราะทำให้สูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
แม้ในสายตาของหล่อน เงินทั้งหมดของหลินม่ายจะเป็นของหล่อนในอนาคต และสิ่งที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกำลังสูญเสียไปคิอเงินของหล่อน ดังนั้นจะให้เธอเพิกเฉยได้อย่างไร?
แม้ว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเพิ่งเริ่มซื้อขายหุ้นหลังจากปี 1995 แต่เขาจริงจังกับการลงทุนในตลาดหุ้นมาก
เขาได้ศึกษาตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 1970 ถึงปี 1995 รวมถึงตลาดหุ้นในฮ่องกงในช่วงปี 1980
หลินม่ายจำได้ว่าเขาบอกหลินเพ่ยว่าตลาดหุ้นฮ่องกงในช่วงปี 1980 ได้เข้าสู่สมรภูมิดุเดือดเนื่องจากการปฏิรูปและการเปิดของแผ่นดินใหญ่ และไม่ว่าเขาจะซื้อหุ้นอะไร เขาก็จะทำเงินได้
เธอควรลองซื้อหุ้นเพื่อหารายได้อุดหนุนค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์หรือไม่?
หลินม่ายเดินเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์
ฟางจั๋วเยวี่ยตามมาข้างหลังและเอ่ยถาม “พี่สะใภ้ คุณรู้วิธีเก็งกำไรในตลาดหุ้นเหรอ?”
หลินม่ายส่ายหัว “ฉันไม่รู้ แต่ก็ลองดูได้”
ในสายตาของฟางจั๋วเยวี่ย การกระทำเช่นนี้ของหลินม่ายไม่ถูกต้อง หลังการสนทนา เธอก็ใช้เงินครึ่งล้านหยวนเพื่อซื้อหุ้น
หลินม่ายซื้อหุ้นเหล่านี้เพราะอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเคยพูดในชีวิตที่แล้วว่า หากเขาซื้อหุ้นเหล่านี้ในทศวรรษ 1980 เขาจะรวยแน่นอนในเดือนธันวาคม ปี 1983
ไม่นานเวลาก็ดำเนินมาถึงเดือนธันวาคม ปี 1983
ฟางจั๋วเยวี่ยถามอย่างงุนงง “คุณบอกว่าคุณจะไม่ซื้อหุ้น แล้วทำไมถึงซื้อยังมันอีก? ซื้อเป็นจำนวนมากเสียด้วย~”
หลินม่ายพูดอย่างกล้าหาญ “เพราะฉันมีความสุข”
เหตุผลของเธอทำให้ฟางจั๋วเยวี่ยพูดไม่ออก
เมื่อเขาเดินทางกลับมาและได้พบกับพี่ชาย เขาก็บอกเล่าถึงเรื่องที่พี่สะใภ้ของตนซื้อหุ้นไปจำนวนห้าแสนหยวน ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก
ฟางจั๋วหรานหรี่ตามองหลินม่าย “ถึงพี่สะใภ้ของนายจะสุรุ่ยสุร่าย แต่เธอก็ไม่เคยให้นายต้องจ่ายเลยสักหยวน นายจะเป็นกังวลทำไม?”
ฟางจั๋วเยวี่ยเกาหูด้วยความลำบากใจ
คนแผ่นดินใหญ่ที่มาฮ่องกงแล้วไม่กินอาหารทะเลก็เหมือนไปเมืองหลวงแล้วไม่ได้กินเป็ดย่าง
สำหรับอาหารค่ำ ฟางจั๋วเยวี่ยเสนอให้กินอาหารทะเล
ฟางจั๋วหรานทำแสร้งไม่ได้ยินข้อเสนอของเขา และถามหลินม่ายอย่างอ่อนโยนว่าเธออยากกินอะไร
ฟางจั๋วเยวี่ยขยิบตาให้หลินม่ายอย่างสิ้นหวัง หวังว่าเธอจะบอกว่าเธออยากกินอาหารทะเล
หลินม่ายเห็นว่าอีกฝ่ายขยิบตาให้เธอจนลูกตาแทบจะถลนออกมา จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปกินอาหารทะเลกันเถอะ”
ฟางจั๋วเยวี่ยกล่าวอย่างตื่นเต้น “งั้นไปถนนคนเดินเทมเปิ้ลสตรีทเพื่อกินอาหารทะเลกัน”
แม้จะไม่เคยไปฮ่องกง แต่คำว่าถนนคนเดินเทมเปิ้ลสตรีทก็คุ้นหูพวกเขาอย่างมาก
เนื่องจากภาพยนตร์ฮ่องกงมักถ่ายทำที่ถนนคนเดินเทมเปิ้ลสตรีท ผู้ชมจากแผ่นดินใหญ่จำนวนมากจึงรู้ว่าถนนคนเดินเทมเปิ้ลสตรีทเป็นแหล่งรวมแผงขายอาหารที่พลุกพล่านที่สุดในฮ่องกง
ฟางจั๋วหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งและปฏิเสธข้อเสนอของเขา “มีคนดีและคนไม่ดีมากมายในถนนคนเดินเทมเปิ้ลสตรีท และก็มีผู้ชายเยอะมากด้วย พี่สะใภ้นายสวยเกินไป คงไม่ปลอดภัยถ้าจะไปที่นั่น”
ฟางจั๋วเยวี่ยก็คิดแบบนั้นเช่นกัน “แล้วเราจะไปหาอาหารทะเลที่ไหนกันดี?”
“ไปไซกุงกันเถอะ”
ทั้งสามคนเดินทางไปยังไซกุง
หลินม่ายเห็นเรือประมงจอดอยู่บนชายหาดและหันหน้าไปทางถนน
นักกินหลายคนซื้ออาหารทะเลโดยตรงจากเรือแล้วนำไปยังแผงเพื่อแปรรูปซึ่งเป็นวิถีชีวิตของหมู่บ้านชาวประมง
หลินม่ายชอบกินอาหารทะเล แต่ไม่ชอบเลือกอาหารทะเลด้วยตัวเองเพราะกลัวมีกลิ่นคาว
ฟางจั๋วหรานและพี่น้องของเขาขึ้นเรือเพื่อเลือกอาหารทะเล
แม้ว่าคนฮ่องกงจะดูถูกคนแผ่นดินใหญ่เล็กน้อยในยุคนี้ แต่ทัศนคติของชาวประมงก็ค่อนข้างดี และพวกเขากระตือรือร้นมากที่จะช่วยสองพี่น้องเลือกอาหารทะเล
คนธรรมดาต้องการเพียงหาเงิน และพวกเขาก็ไม่สนใจว่าลูกค้าจะมาจากแผ่นดินใหญ่หรือมาจากพื้นที่ท้องถิ่น
หลินม่ายเห็นพวกอันธพาลที่น่าสงสัยสองสามคนกำลังกวนใจหญิงสาวอยู่ไม่ไกล เธอตกใจมากจนรีบซ่อนตัวในมุมที่ลับตาคน
นี่ไม่ใช่สนามรบของเธอ และเธอไม่ต้องการสร้างปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บังเอิญเจอกวนหย่งหัวอีกแล้ว นึกไปถึงยัยหรงเลย ป่านนี้จะมีสภาพเป็นยังไงบ้างนะ
ไหหม่า(海馬)