ตอนที่ 629 ฟางจั๋วหรานโกรธจนตำหนิไป๋ซวง
ทุกคนต่างพูดคุยและหัวเราะกันไปจนตลอดทาง กว่าจะรู้ตัวก็ถึงภัตตาคารเจียงเฉิงแล้ว ขณะที่คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางกำลังรออยู่ในห้องอาหารส่วนตัว
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่ได้มาร่วมสนุกด้วย เพราะเขาไม่ชอบแม่ไป๋อยู่เอาการ จึงอยู่บ้านกับโต้วโต้ว
รอจนกระทั่งทุกคนนั่งลง หลินม่ายจึงยื่นรายการอาหารให้ไป๋ซวง และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ซวงเอ๋อร์ เธอคงรู้ว่าพ่อแม่ชอบกินอะไรมากที่สุด เพราะงั้นเธอสั่งมาเลย ฉันกลัวว่าจะสั่งผิด”
ดวงตาของไป๋ซวงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที สะอึกสะอื้นและพูดว่า “ม่ายจื่อ เธอยังโกรธที่เข้าใจผิดว่าพ่อกับแม่ชอบกินอะไรอยู่อีกเหรอ? ฉันโค้งคำนับขอโทษเธอก็ได้นะ แต่อย่าโกรธเคืองฉันเลย”
หล่อนพูดและรีบเดินไปโค้งคำนับให้หลินม่ายอย่างสุดซึ้ง ราวกับสาวน้อยผู้น่าสงสารที่ถูกกระทำ ชวนให้คนดูรู้สึกสงสารยิ่งนัก
แม่ไป๋ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติกับคำพูดสองประโยคของหลินม่าย แต่เมื่อเห็นไป๋ซวงกระทำเช่นนั้น หล่อนก็รู้สึกว่าคำพูดสองประโยคของหลินม่ายแฝงนัยยะบีบบังคับไป๋ซวงอย่างเปิดเผย
หล่อนจึงไม่พอใจหลินม่ายอย่างมาก แต่เมื่อคิดว่าตนเพิ่งตามหาตัวหลินม่ายพบ ก็คิดว่าไม่สมควรที่จะไปตำหนิเธอ
จึงไม่ได้พูดวิจารณ์อะไรหลินม่าย แต่หันไปปลอบไป๋ซวงเบา ๆ แทน
ไป๋ซวงแสดงท่าทางเสียใจ และหันไปพูดกับแม่ไป๋ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “แม่ หนูแค่รู้สึกน้อยใจนิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ใบหน้าของฟางจั๋วหรานมืดมนลงทันที และพูดกับไป๋ซวงด้วยน้ำเสียงต่ำ “คุณแค่น้อยใจนิดหน่อย ไม่เป็นไรงั้นเหรอ? คุณแสดงท่าทางแย่ ๆ แบบนี้ต่อหน้าทุกคนออกมาแล้ว มันยังดูเหมือนไม่เป็นอะไรอยู่อีกเหรอ? สีหน้าคุณกำลังบ่งบอกชัดเจนว่าฉันอารมณ์เสียมากแล้ว พวกแกรีบทุบนังสารเลวหลินม่ายสักทีสิ!”
เห็นไป๋ซวงเล่นเล่ห์กระเท่ห์มาตลอด ฟางจั๋วหรานที่อยู่ในฐานะชายหนุ่มอายุเกือบสามสิบปีที่ยากจะพูดอะไรถึงหล่อนได้ก็ไม่ทนอีกต่อไป
ทุกคนมองไปที่ไป๋ซวงอย่างพร้อมเพรียง
คำสาธยายที่ฟางจั๋วหรานพูดเมื่อสักครู่นี้ ประกอบกับสีหน้าอันน่าเกลียดน่าชังที่ไป๋ซวงได้รับมรดกตกทอดมา และความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในแววตา ทำให้พวกเขาได้เห็นโฉมหน้าอันชั่วร้ายของหล่อนอย่างชัดเจน
พ่อไป๋กับไป๋ลู่ตกตะลึง นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของไป๋ซวงงั้นหรือ?
บวกกับเรื่องก่อนหน้านี้แล้ว พ่อไป๋ก็ไม่มีอะไรจะพูดกับไป๋ซวงอีกต่อไป
ในบรรดาลูกทั้งสี่คน ไป๋ซวงมีสุขภาพร่างกายย่ำแย่ ดังนั้นเขาจึงรักไป๋ซวงมากที่สุด
บางครั้งที่ไป๋ซวงมาติเตียนพี่ชายพี่สาวให้เขาฟัง เขาจะพูดพร่ำบ่นคน ๆ นั้นโดยที่ไม่ได้ตรวจสอบความจริงเลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้เขากำลังถามใจตนเองว่าเขาฟังความข้างเดียว และไม่ให้ความเป็นธรรมต่อลูกคนอื่นมาตลอดหรือไม่?
นับตั้งแต่ไป๋ซวงคอยขัดขวางหลินม่ายไม่ให้กลับเข้ามาในบ้านสกุลไป๋ ความประทับใจของไป๋ลู่ที่มีต่อไป๋ซวงก็ได้เปลี่ยนแปลงไป และรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนวางแผนคิดการทุกอย่าง
ตอนนี้ไป๋ซวงกลับทำให้ไป๋ลู่ประหลาดใจมาก เพราะว่าหล่อนร้ายกาจกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ
ไป๋เซี่ยหัวเราะเหยียดหยาม “ต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังอีกอย่าง แสร้งทำเป็นใจดี แต่ลับหลังกลับไล่แทงคนอื่น เลวทรามน่าสมเพชซะไม่มี!”
ไป๋ซวงรีบอุทานอย่างกระวนกระวายใจ “แม่! หนูไม่ใช่คนแบบนั้นนะ”
แม่ไป๋มองดูไป๋ซวงด้วยความรักโอบอ้อมอารี ไม่ว่าหล่อนจะทำผิดพลาดอะไร แม่ไป๋ก็ย่อมรู้สึกว่าหล่อนไร้เดียงสาและสมควรให้อภัยเสมอ
แม่ไป๋ลูบหลังไป๋ซวงและพูดเบา ๆ “แม่รู้”
คุณย่าฟางทนไม่ไหวอีกต่อไป นางเอ่ยขึ้น “ก็เธอเป็นคนแบบนั้นไม่ใช่เหรอ? แท้จริงเธอเป็นคนแบบนั้น! ที่ม่ายจื่อพูดสองประโยคนั้นมันผิดยังไงงั้นเหรอ? เธอต่างหากที่ไปบิดเบือนความหมายเอาเอง ที่เธอทำแบบนั้นก็เพราะอยากทำให้ภาพลักษณ์ของม่ายจื่อดูแย่ต่อหน้าแม่เธอเอง ทำให้แม่เธอเกลียดชังหล่อน ทำไมถึงทำตัวเป็นกาเหว่าบ้านคนอื่นเขาแบบนี้! ก่อนที่จะส่งตัวอย่างเลือดของหลินม่าย เธอเอาแต่พูดอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่แท้จริงแล้วเธอกำลังกลัวต่างหาก กลัวว่าหลินม่ายจะได้กลับเข้าไปในบ้านสกุลไป๋ และเธอจะถูกถีบหัวส่ง ตอนนี้เชิญเธออยู่ในบ้านสกุลไป๋ได้เลย ม่ายจื่อเขาไม่คิดกลับเข้าไปในบ้านสกุลไป๋หรอก แต่การที่เธอมุ่งเป้าชัดเจนแบบนี้ เธอยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรอีกหรือ?”
ไป๋เซี่ยที่ถือถ้วยชาอยู่พูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “เธอต้องมุ่งเป้าไปที่ม่ายจื่ออยู่แล้ว! ขอแค่พ่อแม่พากันเกลียดม่ายจื่อ และเธอได้สืบทอดทรัพย์สินของครอบครัว ม่ายจื่อก็จะไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรอีก ส่วนเธอก็จะได้รับส่วนแบ่งมรดกเยอะขึ้น ในบ้านก็เหมือนกัน เธอเอาแต่มุ่งเป้ามาที่ฉัน ใส่ร้ายฉันสารพัด เพียงเพราะฉันเป็นทายาทลำดับแรกของทางครอบครัว!”
ใบหน้าของไป๋ซวงซีดลงเล็กน้อย “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!”
ไป๋เซี่ยยังคงเอ่ยดูถูก “ถ้าอย่างนั้นเธอก็งัดหลักฐานออกมาแสดงสิว่ามันไม่ใช่แบบนั้น พูดปากเปล่าแล้วใครจะเชื่อเธอ!”
ไป๋ซวงยื่นมือออกมาทันที และคิดจะแสร้งทำเป็นเจ็บหน้าอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน
ทว่าฟางจั๋วหรานก็อยู่ที่นี่ด้วย หล่อนจึงไม่กล้าใช้กลอุบายดังกล่าว กลัวว่าเขาจะใช้เข็มเจาะนิ้วทั้งสิบของหล่อนเพื่อเอาเลือดออกอีก
คุณปู่ฟางพูดกับแม่ไป๋ด้วยความทุกข์ใจ “แม่ลู่ลู่ ถ้าไม่อยากทำความรู้จักมักจี่กับลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองก็บอกมาเถอะ อย่าเหยียบย่ำม่ายจื่อเพราะเห็นแก่ลูกบุญธรรมเลย ตั้งแต่ม่ายจื่อของเราเกิดมา หล่อนก็ไม่เคยได้กินนมจากอกคุณ ไม่เคยได้ยินข้าวของบ้านสกุลไป๋ แล้วทำไมเราจะต้องหลอกคุณด้วย คุณบอกสิว่าทำไม?”
แม่ไป๋หน้าแดงก่ำเมื่อถูกถาม และรู้สึกเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
ถูกต้อง ม่ายจื่อไม่เคยกินนมจากอกหล่อน ไม่เคยกินข้าวของบ้านสกุลไป๋ ทั้งยังถูกบ้านสกุลหลินทรมาน หล่อนจึงไม่ควรปฏิบัติแบบนี้กับอีกฝ่าย
หล่อนฝืนยิ้มด้วยความลำบากใจ “ผู้เฒ่าฟาง ฉันอยากให้ม่ายจื่อกลับมาจริง ๆ นะคะ แถมยังเตรียมอั่งเปาไว้รอรับขวัญหล่อนแล้วด้วย”
ก่อนจะหยิบซองอั่งเปาสีแดงที่บรรจุเงินแปดสิบแปดหยวนออกมาและส่งให้หลินม่าย
แต่หลินม่ายปฏิเสธ “ฉันทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ดีค่ะ เดี๋ยวจะได้รับเงินโบนัสจากทางอำเภอ เขตและมณฑล ไม่ได้ขาดแคลนอะไร ขอบคุณคุณมากนะคะ”
แม่ไป๋ยืนกรานจะมอบให้เธอ แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างหนักแน่น
ไป๋ซวงที่ไม่ได้สร้างปัญหาชั่วขณะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกคันปากอย่างไม่สบายใจ
หล่อนแสร้งทำเป็นถามหลินม่ายอย่างไร้เดียงสา “เธอคิดว่าอั่งเปาซองนี้น้อยไปเหรอ บ้านเราจะให้อั่งเปาซองใหญ่ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขเท่านั้นแหละ”
พ่อไป๋โมโหขึ้นมาทันที “ไป๋ซวง ลูกต้องการอะไรกันแน่!”
โดยปกติแล้วพ่อไป๋จะมีนิสัยสุขุมเยือกเย็นที่สุดในบ้าน แต่เมื่อเขาโมโหขึ้นมาเมื่อใด ทั้งครอบครัวต่างก็พากันหวาดกลัว
ไป๋ซวงไม่กล้าพูดอะไรสักคำ เอาแต่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของแม่ไป๋
แม่ไป๋พูดอย่างอ่อนแรง “มีอะไรก็พูดดี ๆ เถอะค่ะ อย่าทำให้ลูกกลัว”
พ่อไป๋ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น “ตั้งแต่ที่โรงแรมจนถึงภัตตาคารเจียงเฉิง ไป๋ซวงสร้างปัญหามาตลอดจนถึงตอนนี้ คุณจะมาบอกให้ผมพูดดี ๆ ได้ยังไง!”
ทว่าแม่ไป๋ยังคงไม่คิดว่าไป๋ซวงสร้างปัญหาอะไร
และที่หลินม่ายไม่ยอมรับอั่งเปาต่อหน้าคนที่นั่งอยู่เต็มโต๊ะ นั่นเป็นเพราะว่ามันน้อยไปหรือไม่อยากไว้หน้าหล่อนไม่ใช่หรือไง!
ไป๋ซวงพูดผิดอะไร
แม่ไป๋รู้สึกคับแค้นใจ ทว่าท่าทางของพ่อไป๋ดูน่ากลัวเกินไป หล่อนจึงพูดติเตียนไป๋ซวงเล็กน้อย
แต่คำพูดติเตียนของหล่อนก็ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดหรือสะทกสะท้านแก่คนฟังแม้แต่น้อย ทำให้พวกคุณปู่ฟางไม่พอใจ
หลังจากนั้นไม่นานบริกรก็นำอาหารเข้ามา ทุกคนพากันพูดคุยกันระหว่างรับประทานอาหาร จนทำให้บรรยากาศดีขึ้น
แม่ไป๋ถามหลินม่ายว่าไปเที่ยวฮ่องกงสนุกหรือไม่
คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางไม่ได้บอกความจริงกับคนในบ้านสกุลไป๋ว่าหลินม่ายไปหาซื้อเครื่องจักรผลิตอาหาร
บอกเพียงแต่ว่าเธอเดินทางไปฮ่องกงกับฟางจั๋วหราน และนั่นคือสาเหตุที่แม่ไป๋ถามหลินม่าย
หลินม่ายพยักหน้าเบา ๆ “สนุกดีค่ะ”
จากนั้นจึงพูดเปลี่ยนเรื่องว่าได้ขอให้ทางตำรวจไปตรวจสอบการสลับเปลี่ยนกับทางโรงพยาบาลหนงฉ่างแล้วว่ามีผลลัพธ์เป็นอย่างไร
ไป๋ซวงรีบพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ตอนที่ตำรวจไปตรวจสอบที่โรงพยาบาล เห็นว่ามีครอบครัวที่หยิบเด็กสองคนสลับไปมายืนโต้เถียงกับทางโรงพยาบาลด้วยค่ะ”
หล่อนส่ายหัวและพูดต่อว่า “การจัดการของทางโรงพยาบาลวุ่นวายมาก จนอาจจะใส่เสื้อผ้าให้เด็กผิดก็ได้ นับประสาอะไรกับเด็ก เพราะงั้นพ่อแม่ฉันไม่ได้ตั้งใจหยิบสลับหรอก ทั้งหมดเป็นความผิดของทางโรงพยาบาล”
ไป๋เซี่ยเยาะเย้ย “เธอสนิทสนมจนเรียกว่าพ่อแม่ฉันเต็มปากเลยนะ ยังไงซะพวกเขาก็เป็นสายเลือดเดียวกันกับเธอนี่ ได้เห็นว่าพวกเขาพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยแล้วคงจะมีความสุขมากสินะ!”
ไป๋ซวงพูดพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วใครบอกให้พี่เอาแต่พูดแบบนั้นล่ะ มังกรเกิดเป็นมังกร หงส์เกิดเป็นหงส์ ลูกหนูก็ต้องขุดหลุมเป็นเหมือนพ่อแม่มันสิ ฉันไม่อยากกล่าวหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดว่าเป็นคนไม่ดี ไม่อยากให้ลูกสาวตามกำเนิดถูกกล่าวหาว่ามีชื่อเสียงเลวร้ายมาตั้งแต่เกิดด้วย เพราะงั้นฉันถึงมีความสุขมากที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดฉันพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยสักที!”
พ่อไป๋พูดขัดจังหวะหล่อนด้วยสายตาที่สับสน และพูดอย่างเย็นชาว่า “พอเถอะ หยุดพูดสักที!”
ไป๋ซวงรีบปิดปากด้วยความคับแค้นใจ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน หล่อนก็พูดหยิบยกประเด็นหัวข้อที่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานเดินทางไปฮ่องกงด้วยกันขึ้นมา
หล่อนทำราวกับไม่ได้มีเจตนาอะไร มองดูด้วยสายตาไร้เดียงสาและถามฟางจั๋วหรานว่า “ศาสตราจารย์ฟาง เดินทางไปฮ่องกงคงแพงมากสินะคะ”
ฟางจั๋วหรานมองดูนังแพศยาที่แสนธรรมดาคนนี้ด้วยความชื่นชม
เขาเพิ่งตอบโต้หล่อนกลับอย่างไร้ความปราณี แต่หล่อนกลับยังกล้าที่พูดคุยกับเขาต่อ หนังหน้าช่างหนากว่ากำแพงเมืองจีนเสียจริง ๆ
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าอย่างใจเย็น “แพงมาก กินข้าวมื้อหนึ่งก็หลายร้อยหยวนเลยครับ”
ทุกคนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น
พวกเขาพอจะรู้ว่าสินค้าในฮ่องกงมีราคาสูง ทว่าพวกเขากลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าราคาอาหารจะแพงถึงหลายร้อยหยวน
ราคาเพียงไม่กี่ร้อยหยวนก็เพียงพอที่จะประทังครอบครัวทั่วไปให้อยู่ได้ถึงหนึ่งปีแล้ว
ไป๋ซวงอุทาน “แพงจัง ทำไมไม่ซื้อบะหมี่เชอไจ่กินล่ะคะ ฉันได้ยินมาว่าบะหมี่เชอไจ่ไม่แพง เป็นฉันคงจะไม่ปล่อยให้ศาสตราจารย์ฟางต้องใช้เงินเยอะแยะขนาดนี้หรอก อย่าว่าแต่ให้ศาสตรจารย์ฟางซื้อกระเป๋าแอร์เมสให้เลยค่ะ…”
คำพูดของหล่อนแสดงถึงความหมายชัดเจน หล่อนกำลังกล่าวหาหลินม่ายว่าใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย โดยไม่คำนึกถึงว่าฟางจั๋วหรานจะจ่ายไหวหรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
แปลตอนนี้แล้วหัวจะปวดค่ะ ปวดหัวกับยัยไป๋ซวงกับยัยแม่ไป๋เหลือเกิน /กัดคีย์บอร์ด/
ป้า ถ้าป้ามาหาม่ายจื่อแล้วทำอย่างนี้ก็อย่ามาเลยค่ะ เลี้ยงนังไป๋ซวงอยู่ปักกิ่งให้พอใจไปเถอะ แล้วก็อย่าลืมไปปรึกษาจิตแพทย์นะคะ ภาวะจิตใจคุณป้ามันย้อนแย้งเหลือเกิน
ส่วนยัยไป๋ซวง ถ้าผู้แปลอยู่ตรงนั้นก็คงจับหัวนางจุ่มน้ำประปาช่วงหน้าร้อนนี้ก่อนเอามาถูพื้นซีเมนต์แทนไม้ม็อบน่ะค่ะ เจอน้ำประปาหน้าร้อนประเทศไทยลวกกับโดนพื้นซีเมนต์ขัดหน่อยหน้านางคงจะนุ่มคงจะบางลงบ้าง
ตอนนี้ปรบมือให้กับฝีปากของปู่ฟางและพี่หมอค่ะ โดยเฉพาะปู่ฟางนี่มาเหนือสุด ปกติแกจะนิ่งๆ แต่เปิดปากทีคือเจ็บไปถึงกระดองใจ ช็อตระดับการไฟฟ้า ยัยแม่ไป๋คือสตั้นท์ไปเลย
ไหหม่า(海馬)