จนกระทั่งบิดามารดาที่กลับชาติมาเกิดหายไปจากสายตา หวังเป่าเล่อจึงส่ายหน้าแล้วจากไปจริงๆ
“คล้ายกับว่า…ข้าลืมไปแล้วว่ามีน้องสาวอีกคน…” หวังเป่าเล่อตีหน้าผากตนเอง หลังจากกวาดกระแสจิตมองหาก็พบว่าในส่วนห่างไกลของเมืองแห่งนี้ ในตระกูลบัณฑิตแห่งหนึ่ง ยังมีเด็กหญิงอายุประมาณสามขวบอยู่
เมื่อมองเห็นดวงตาไร้เดียงสาของเด็กน้อย นัยน์ตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงอ่อนโยน เขายกมือขวาขึ้นก่อนที่ลำแสงหนึ่งจะผ่านเข้าไป
“ข้าจะไม่รบกวนทางท่านพ่อท่านแม่แล้ว แต่ในเมื่อเจ้าเป็นน้องสาวของข้า ข้าจะมอบพลังบ่มเพาะเหนือสามัญให้เจ้า ให้อนาคตเจ้าจดจำภพชาติในอดีตได้ คอยดูแลท่านพ่อและท่านแม่…”
“ชาตินี้ของเจ้า…ฝึกฝนให้ดีเถิด”
หวังเป่าเล่อมองนางอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง ชั่วอึดใจให้หลังจึงถอนสายตากลับและหายตัวไปจากที่แห่งนั้น
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง…เขาก็อยู่นอกนครศักดิ์สิทธิ์แล้ว บนเกาะกลางทะเลสาบของสำนักเต๋าแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ เกาะกลางทะเลสาบแห่งนี้นับว่าเป็นหัวใจของสำนักเต๋านครศักดิ์สิทธิ์ สถานะสูงส่ง จนกระทั่งว่ามองไปทั้งสหพันธรัฐนี้ ที่นี่คงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว
ส่วนตรงบริเวณใจกลางของตัวเกาะนั้น มีพื้นที่มหาศาล ทว่ากลับมีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้านนี้ดูไปเรียบง่ายอย่างยิ่ง รายล้อมไปด้วยรั้ว ดูไปแล้วให้อารมณ์แบบชนบทเต็มเปี่ยม
สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องนั้น กำลังฝึกตน…แต่ในพริบตานั้นนางกลับจับสัมผัสได้ถึงอะไรในความมืด นางเบิกตาขึ้นมาช้าๆ แล้วมองไปยังนอกห้องของตน ในยามนี้เมื่อพบเงาร่างที่ส่งยิ้มมาให้ พริบตาที่มองเห็นร่างนั้น นางก็เผยยิ้มออกมา
“พบกันอีกแล้ว?”
ในปีนั้น ในที่แห่งนี้ ยามดอกท้อเบ่งบาน…ตอนที่หวังเป่าเล่อลาจากโจวเสี่ยวหยา ก่อนหน้านั้นโจวเสี่ยวหยากล่าวกับเขาไว้คำหนึ่งคำนั้นก็คือ “ไว้พบกันใหม่”
เพราะ “ไว้พบกันอีก” จึงจะสามารถเจอกันได้อีกครั้ง
“ได้พบกันในครั้งนี้แล้ว เสี่ยวหยา” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากเสียงเบา สตรีวัยกลางคนผู้นี้ก็คือ…โจวเสี่ยวหยา
เมื่อมาถึงที่นี่ หวังเป่าเล่อไม่ได้จากไป แต่กลับฝึกตนอยู่ในอีกห้องหนึ่งด้านข้างบ้านหลังนี้ เขาอยู่อาศัยที่นี่ แต่ว่าระหว่างเขากับโจวเสี่ยวหยานั้นก็เหมือนดังสหาย เป็นแขกที่เคารพซึ่งกันและกัน
ทุกวันเขาอยู่เคียงข้างโจเสี่ยวหยา ทั้งสองมองพระอาทิตย์ขึ้นและตก มองเมฆและลม มองท้องฟ้าผืนดิน มองการเปลี่ยนแปลงของสรรพชีวิตและการพัฒนาของสหพันธรัฐ
ความรู้สึกอ้างว้างนี้ลดน้อยลงไปมากจากการอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าโจวเสี่ยวยิ้มมากขึ้น เพียงแต่ว่าบนร่างของนาง กาลเวลาก็ไหลผ่านไปเช่นกัน
หลังจากผ่านไป 60 ปี เวลาที่ทั้งสองอยู่เคียงข้างกันเช่นนี้ก็ได้ผ่านพ้นไป โจวเสี่ยวหยาไม่ได้มีลักษณะเหมือนหญิงกลางคนอีกแล้ว แต่ผมสีขาวขึ้นเต็มศีรษะของนาง
นางปฏิเสธความช่วยเหลือที่หวังเป่าเล่อมอบให้ คุณสมบัติในการฝึกตนของนางธรรมดา แม้จะเชี่ยวชาญด้านเต๋าแห่งการรักษาแต่ก็มีขีดจำกัด นางไม่ยินยอมอาศัยวิธีนี้ในการยืดอายุ คล้ายกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญกับนาง
แต่นางไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอกลับชาติมาเกิดใหม่ของหวังเป่าเล่อ
เพียงแต่ก่อนที่นางจะหลับตาลง นางนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกมองหวังเป่าเล่อ มองด้วยความลึกซึ้งในแววตามีความปวดร้าว
“เป่าเล่อ ขอบคุณที่เจ้าอยู่เคียงข้าง หลายปีมานี้ข้าเบิกบานใจมาก แต่ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้าคล้ายไม่มีความสุข…”
“ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อนเพราะข้ารู้ว่าเจ้าก็คงจะไม่บอกข้าหรอก…แต่ในตอนนี้ ข้าจะไปแล้ว เจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่?”
หวังเป่าเล่อมองโจวเสี่ยวหยา หลังจากนิ่งเงียบเนิ่นนานก็เอ่ยปากเสียงเบา
“หากว่าข้าบอกว่า ข้ามิใช่หวังเป่าเล่อในความทรงจำของเจ้า แต่ข้าเป็นเพียงร่างแยกของเขา หวังเป่าเล่อตัวจริงนั้น…ได้หายไปแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่?”
“ข้าเชื่อ” โจวเสี่ยวหยาเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา
“หลายปีมานี้ ข้าสัมผัสได้ว่า เจ้าเป็นเขา แต่ก็มิใช่เขา ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังต้องขอบคุณการอยู่เคียงข้างของเจ้าอยู่ดี”
“เป็นข้าที่ต้องขอบคุณเจ้าจึงจะถูก…” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า
“เจ้าไม่เข้าใจ” โจวเสี่ยวหยายิ้มบาง ก่อนจะมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง
“เจ้าคิดค้นหาความทรงจำของเขา เจ้าต้องการชดใช้ความรู้สึกผิดของเขาทั้งหมด สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เจ้าทำได้ทั้งสิ้น ดังนั้นข้าต้องขอบคุณที่…เจ้ามา” โจวเสี่ยวหยาเอ่ยปากช้าๆ
หวังเป่าเล่อลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป
โจวเสี่ยวหยายกมือขึ้น แล้วลูบเส้นผมของหวังเป่าเล่อเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยความอบอุ่น
“หลายปีมานี้ เจ้าและข้ารักษาระยะห่าง แต่…ในสายตาของข้า เจ้าก็ยังเป็นเจ้า เจ้าคือหวังเป่าเล่อ”
“ดังนั้นแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าในภายหน้าจะมีความสุขมากๆ รับปากข้าสิ…” น้ำเสียงของโจวเสี่ยวหยาอ่อนแรงลงทุกที จนกระทั่งสุดท้าย มือของนางก็สิ้นไร้เรี่ยวแรง มันลูบผ่านข้างแก้มของหวังเป่าเล่อแล้วเหลือไว้เพียงความชื้นเล็กน้อย
โจวเสี่ยวหยา ไปเกิดใหม่แล้ว
นางไม่ได้พกพาอารมณ์เสียใจไปด้วย จบสิ้นสิ่งที่ผ่านมาในชาตินี้ สิ่งที่รอนางอยู่คือการเริ่มต้นใหม่ในชาติถัดไป หรือบางทีในหลายปีต่อจากนั้น นางซึ่งฝึกฝนได้ในระดับหนึ่งก็อาจจะย้อนคืนความจำของชาติก่อนได้
หลังจากส่งโจวเสี่ยวหยาจากไปอย่างเงียบๆ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ เขาทำสุสานให้นางบนเกาะในทะเลสาบของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะวางดอกไม้ไว้หน้าหลุมศพแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ยังต้องขอบคุณการอยู่เคียงข้างของเจ้า…”
หวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ใน 60 ปีที่ผ่านมานี้ เขาไปพบคนเก่าแก่หลายคน และส่งคนมากมายไปเช่นกัน แต่ผู้เดียวที่เขายังไม่ไปพบ และเหลือไว้เป็นคนสุดท้าย
นั่นก็คือ….เจ้าเยี่ยเหมิง
บนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว เกล็ดหิมะลอยว่อน สตรีผู้เย็นชาราวหิมะผู้หนึ่งอาศัยอยู่ นามของนางระบือไกลทั้งสหพันธรัฐ ทั้งระบบสุริยะ กระทั่งทั้งโลกแห่งศิลานี้
เพราะว่าตัวตนของนางพิเศษอย่างยิ่งในสหพันธรัฐ เพราะว่านางคือสหายเต๋าของผู้ปกครอง เพราะว่านางคือแรงหนุนให้สหพันธรัฐรุ่งโรจน์ และเพราะ…เล่าลือกันว่า นางคือคู่เต๋าบำเพ็ญของท่านผู้ปกครองโลกแห่งศิลา
นามของนางก็คือ เจ้าเยี่ยเหมิง
มารดาของนางเคยเป็นเจ้าอาณานิคมดาวอังคาร และภายหลังได้กลายเป็นอดีตผู้นำสหพันธรัฐ ในระหว่างรับตำแหน่งเห็นได้ชัดว่าสหพันธรัฐเติบโตยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
บิดาของนางคือ ผู้บุกเบิกรากฐานการพัฒนาวิชาวิญญาณของสหพันธรัฐ และเป็นผู้ผลักดันสร้างคุณูปการครั้งใหญ่
ในวันนี้ นางคือผู้ที่ได้รับความเคารพจากผู้คนและความสนใจนับไม่ถ้วนจากทั้งสหพันธรัฐ ทั้งระบบสุริยะ และถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกแห่งศิลา แต่ว่า…นางกลับชอบความสันโดษ จะพบเห็นนางยืนอยู่บนยอดหิมะหลายครั้ง ทอดมองไปยังที่ห่างไกล
จนกระทั่งวันนี้ หวังเป่าเล่อมายังยอดเขาหิมะ มองเห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“เจ้ามิใช่เขา”
นี่คือประโยคแรกที่เจ้าเยี่ยเหมิงกล่าวขึ้นหลังมองเห็นหวังเป่าเล่อ
“แต่ข้าอยากรู้เรื่องราวหลังจากที่เขาจากไปแล้ว…ขอเจ้า โปรดเล่าให้ข้าฟังด้วย” เจ้าเยี่ยเหมิงมองหวังเป่าเล่อก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา
หวังเป่าเล่อมองสตรีที่เหมือนกับก้อนน้ำแข็งเย็นเบื้องหน้าแล้วพยักหน้า เขานั่งอยู่บนภูเขาหิมะมองเกล็ดหิมะโปรยปรายซ่านกระจายไปทั่ว ทุกๆ เกล็ดนั้นก็เหมือนกับความทรงจำในแต่ละฉากแต่ละตอน
“เรื่องราวค่อนข้างยาวนาน…”
“หลายปีมานี้ข้าจัดระเบียบความทรงจำอยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายข้ารู้สึกว่า นี่คือเรื่องราวของการไถ่ถอนและเสียสละตัวเองเรื่องหนึ่ง ที่ไถ่ถอนนั้นคือตนเอง ที่สังเวยไปนั้นคือตนเอง ทั้งหมดก็เพื่อกลายเป็นตนเองอีกผู้หนึ่ง…”
หลายวันให้หลัง หวังเป่าเล่อก็ออกจากภูเขาหิมะไป เขาไม่ได้หันหน้าไปมองและไม่ได้กลับมาอีก
บนภูเขาหิมะนั้น เงาร่างของหญิงสาวยิ่งโดดเดี่ยวขึ้นกว่าเก่า นางยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่ารอคอยสิ่งใด มีเพียงประโยคพึมพำประโยคหนึ่งสะท้อนไปท่ามกลางเกล็ดหิมะ หลอมรวมเข้ากับตัวเกล็ด ลอยเข้าสู่โลก
“เพราะเหตุใด ข้าต้องพบกับเจ้าในช่วงขวบปีอันดีงามสุดในชีวิตด้วย…”
……………