ดวงตาของเซินเกอก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “จริงสิ! ไปหาท่านย่าได้นี่นา ท่านย่าคงไม่ยอมให้ท่านลุงสี่ตีท่านอย่างแน่นอน”
จิ่นเกอพยักหน้าเบาๆ เวลานั้นเอง ชิวอวี่ก็วิ่งมาหาเขาด้วยความรีบร้อน “คุณชายน้อยหก ฮูหยินให้ท่านรีบเข้าไปหาเจ้าค่ะ!”
เซินเกอส่งสายตาเห็นใจให้กับจิ่นเกอพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้ากลับเรือนก่อนก็แล้วกัน” จากนั้นก็โบกมือให้กับจิ่นเกอ แล้วจึงกลับเรือนไป
เหอเซียงบ่าวรับใช้คนสนิทของฮูหยินห้ากำลังยืนรอเซินเกออยู่ที่หน้าประตูเรือน เมื่อเห็นเซินเกอกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปหาเขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณชายน้อยเจ็ด เหตุใดท่านถึงกลับมาเอาป่านนี้ ฮูหยินห้าถามหาท่านตั้งหลายรอบแล้วเจ้าค่ะ!” นางพูดพลางนำทางเซินเกอเข้าไปในเรือน
“ท่านแม่!” เซินเกอวิ่งเข้าไปในเรือนด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับใบหน้าที่กำลังโกรธจัดของฮูหยินห้า “คุกเข่าลงประเดี๋ยวนี้!”
เซินเกออึ้งไปชั่วขณะ เงยหน้ามองใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโกรธของมารดา
“คุณชายน้อยเจ็ด!” ป้าสือรีบส่งสายตาให้กับเซินเกอ “ท่านยังไม่รีบคุกเข่าอีก!”
เซินเกอเป็นเด็กที่ฉลาด จึงรีบคุกเข่าลงในทันที แต่สีหน้าก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ฮูหยินห้าโกรธจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด “ข้าให้เจ้าไปฝึกฝนวิชา แต่เจ้ากลับแอบใส่ยาระบายลงไปในถ้วยน้ำชาของอาจารย์ผัง…หากวันนี้ข้าไม่สั่งสอนเจ้าให้รู้แจ้ง เจ้าก็คงจะไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” พูดจบก็หันไปสั่งกับป้าสือว่า “ไปเอาไม้เรียวมา หากวันนี้ข้าไม่ตีสั่งสอนเขา เขาก็จะไม่รู้จักหลาบจำ!”
เซินเกอเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ก็เลยรีบตะโกนขึ้นว่า “ท่านแม่ ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้วขอรับ!” เขาหันไปมองป้าสือด้วยแววตาที่อ้อนวอน
ป้าสือพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย จากนั้นก็สั่งสาวใช้น้อยให้ไปนำไม้เรียวมาพลางประคองฮูหยินห้าไปนั่งที่เตียงเตาใหญ่ที่อยู่ข้างๆ “ตั้งแต่ที่ท่านทราบเรื่องว่าคุณชายน้อยเจ็ดจะถูกอาจารย์ผังตี ฮูหยินก็โมโหจนถึงตอนนี้ ระวังจะโกรธจนเสียสุขภาพได้นะเจ้าคะ ท่านนั่งพักให้คลายความโมโหก่อนดีกว่ากระมัง! คุณชายน้อยเจ็ดอายุยังน้อย ไม่รู้ความ ฮูหยินควรค่อยๆ พูดจากับคุณชายน้อยเจ็ดจะเป็นการดีกว่า คุณชายน้อยเจ็ดของเราใช่ว่าจะเป็นคนคุยด้วยไม่รู้เรื่องเสียหน่อย ท่านฉุนเฉียวเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คุณชายน้อยเจ็ดตกใจกลัวเอาได้เจ้าค่ะ!”
คำพูดประโยคนี้พุ่งตรงเข้าไปในใจของฮูหยินห้า
หากไม่ใช่เพราะจิ่นเกอริเริ่มนำพา เด็กดีเช่นบุตรชายของตนจะใส่ยาระบายลงไปในถ้วยน้ำชาของอาจารย์ผังได้อย่างไรกัน
ท่านพ่อเองก็เคยพูดไว้ ว่าสวีลิ่งควนนั้นมีนิสัยเกียจคร้านเฉื่อยชา ทนความยากลำบากไม่ได้ วันข้างหน้าก็คงจะอาศัยบารมีของฮองเฮากับไท่จื่อในการเข้าเป็นขุนนางฝ่ายการทหารระดับสาม เกรงว่าคงจะไม่ใช่ยศใหญ่โตอะไรเสียด้วยซ้ำ และก็คงจะไม่สามารถปกครองผู้อื่นหรือสามารถคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ได้เหมือนสวีลิ่งอี๋ สู้ให้เขาใช้ชีวิตเอ้อระเหยลอยชายเช่นนี้ไปวันๆ เสียยังดีกว่า ไม่ว่าเรื่องในราชสำนักหรือเรื่องการทหาร ก็อย่าจับเขาเข้าไปจะเป็นการดีกว่า ในเมื่อเซินเกอเป็นเด็กที่รักในความก้าวหน้า ก็ควรจะทุ่มเทและใส่ใจแต่เรื่องของเซินเกอจึงจะถูก เซินเกอเป็นบุตรชายคนโต หากเขามีอนาคตที่ดีก็จะสามารถค้ำจุนครอบครัวให้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สีหน้าของฮูหยินห้าก็ค่อยๆ ดีขึ้น
เซินเกอฉลาดและหัวไวเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นป้าสือส่งสายตาให้กับเขา เขาก็รีบขานเรียกมารดาทันที “ท่านแม่ ต่อไปข้าจะเชื่อฟังขอรับ” จากนั้นก็โน้มน้าวต่อไปว่า “ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” สาวใช้น้อยที่ไปนำไม้เรียวมาไม่ได้เข้าไปในเรือน นางยืนหลบอยู่หลังม่านประตูรอดูสถานการณ์
ฮูหยินห้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย
เซินเกอเห็นแล้วก็รีบคลานเข้าไปในอ้อมกอดของมารดาแล้วพูดขึ้นว่า “ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้วขอรับ”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็รู้สึกใจอ่อน แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของบิดาขึ้นมา ก็ยืนหยัดในการตัดสินใจอีกครั้ง
“ป้าสือ ไปเอาไม้เรียวมา!” สีหน้าท่าทีหนักแน่นเป็นอย่างมาก
ป้าสือไม่กล้าพูดอะไรต่อ เดินออกไปนำไม้เรียวจากสาวใช้เข้ามา
ฮูหยินห้าไม่สนใจว่าบุตรชายของนางจะร้องไห้วิงวอนแค่ไหน นางตีมือของเขาไปสิบครั้ง พลางพูดขึ้นว่า “ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะจำขึ้นใจหรือไม่” หวดจนไม้สุดท้าย น้ำตาของนางก็รื้นขึ้นมาเต็มสองขอบตา
ป้าสือรีบเข้าไปอุ้มเซินเกอที่ร้องไห้จนตาแดงกลับเรือนไป นางช่วยเขาเช็ดน้ำตา พูดจาปลอบโยนและทายาให้กับเขา จากนั้นก็กล่อมเขาเข้านอน วุ่นอยู่หนึ่งชั่วยามจึงค่อยกลับไปที่เรือนของฮูหยินห้า
“เป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินห้ารีบปรี่เข้าไปถามป้าสือด้วยความรีบร้อน ว่าตนนั้นตีแรงเกินไปหรือไม่
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” ป้าสือรีบปลอบใจฮูหยินห้า “ทายาสักเจ็ดแปดวันก็หาย!”
ฮูหยินห้าจึงเช็ดคราบน้ำตาพลางพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด อย่าให้มือของเขาไปโดนน้ำ!” น้ำเสียงห่วงใยเป็นอย่างมาก
“ฮูหยินวางใจเถิด บ่าวจะดูแลคุณชายน้อยหกเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” หวดไม้ลงกายลูก แต่เจ็บปวดที่ใจแม่ ถึงแม้ว่าป้าสือจะไม่รู้ว่าฮูหยินห้าจะตัดสินใจเช่นนี้ แต่ก็สามารถเข้าใจในความรักของฮูหยินห้าที่มีต่อคุณชายน้อยเจ็ดเป็นอย่างดี นางไม่อยากให้ฮูหยินห้าเสียใจ ก็เลยเปลี่ยนเรื่องไปคุยอย่างอื่นแทน “ฮูหยิน ทางฝั่งอาจารย์ผัง นอกจากเงินสามสิบตำลึงและยาหม้อแล้ว จะเพิ่มผ้าไหมอีกหรือไม่ ส่งไปตอนนี้ อาจารย์ผังสามารถนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้ามาสวมใส่ในฤดูใบไม้ร่วงได้พอดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าได้ยินชื่ออาจารย์ผังก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที หากไม่ใช่เพราะเขา บุตรชายของนางก็คงจะไม่ต้องถูกตี!
“ไม่ต้องแล้ว!” ฮูหยินห้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “เขาไม่รู้จักสำเหนียกว่าตัวเองนั้นเป็นใคร บุตรชายของข้า ข้าสอนสั่งเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนเช่นเขาเข้ามายุ่มย่ามและบงการ”
สำหรับฮูหยินห้า นี่ถือเป็นการอ่อนข้อให้แล้ว!
ป้าสือไม่กล้าพูดอะไรต่อ นางรีบขานรับด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็ไปเตรียมของที่จะมอบให้กับอาจารย์ผัง
*****
สืออีเหนียงหันไปสั่งกับหู่พั่วว่า “เจ้าไปมอบของด้วยตัวเอง นอกจากยาหม้อแล้ว ก็นำยาสมุนไพรติดไปด้วย อย่าลืมกล่าวขอโทษเขาแทนข้า”
หู่พั่วย่อตัวขานรับ จากนั้นก็ถอยออกจากเรือนไป
สืออีเหนียงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ตะโกนเรียกให้ชิวอวี่เข้ามา “ให้สาวใช้น้อยไปตักน้ำเข้ามา!” ไม่ได้เหลือบมองจิ่นเกอที่กำลังยืนด้วยสีหน้าที่ละห้อยแม้แต่นิดเดียว
ชิวอวี่หันไปมองจิ่นเกอด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขานรับเสียงเบา ออกไปสั่งให้สาวใช้น้อยไปตักน้ำมา
สืออีเหนียงจึงค่อยลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องชำระ
“ท่านแม่!” จิ่นเกอทนต่อไปไม่ไหว รีบเข้าไปดึงแขนเสื้อของสืออีเหนียงไว้
สืออีเหนียงจ้องมองจิ่นเกออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “เจ้าเองก็รีบไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ต้องตื่นมาฝึกย่อเข่าแต่เช้าตรู่!”
“เช่นนั้น เช่นนั้นข้า…” จิ่นเกอจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าและแววตาที่ขลาดกลัว
“ข้ากับพ่อของเจ้าคิดเหมือนกัน” น้ำเสียงของสืออีเหนียงไม่ได้ผ่อนปรนแต่อย่างใด “สามวันนี้เจ้าจะต้องอยู่แต่ในเรือนของตัวเอง ห้ามไปไหนทั้งนั้น พิจารณาไตร่ตรองตัวเองให้ดี หนังสือตำราไม่ว่าจะเรียนมามากมายแค่ไหน แต่หากไม่เข้าใจในหลักการที่แท้จริงก็เปล่าประโยชน์ รอให้เจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ค่อยกลับไปเรียนก็ยังไม่สาย”
ไม่เพียงแต่หักล้างคำพูดของจิ่นเกอเท่านั้น แต่น้ำเสียงยังหนักแน่นกว่าเมื่อครู่นี้เป็นอย่างมาก
จิ่นเกอรู้ดีว่าการขอร้องบิดาและมารดานั้นไม่เป็นผล จึงอดไม่ได้ที่จะคอตกด้วยความสิ้นหวัง ขานรับเสียงเบา จากนั้นก็เดินตามหงเหวินกลับเรือนไป
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องชั้นในไป
สวีลิ่งอี๋กำลังนอนอ่านหนังสือที่หัวเตียง เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นนั่งทันที “จิ่นเกอกลับไปแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
สวีลิ่งอี๋จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หวังว่าเขาจะไม่ทำอีก!” แต่ก็ยังอดเป็นห่วงบุตรชายไม่ได้ “ช่วงนี้เจ้าอย่าไปไหน คอยอยู่เฝ้าดูจิ่นเกอให้ดี ปกติแล้วเขาได้ออกไปทำตามอำเภอใจจนเคยตัว ถูกกักบริเวณอยู่แต่ในเรือนเช่นนี้ ย่อมไม่คุ้นชินอย่างแน่นอน เขาเป็นคนฉลาดหัวไว เหล่าบรรดาสาวใช้และบ่าวรับใช้ชายต่างก็ไม่กล้าแตะเขา หากเขาหนีออกไปเพราะทนไม่ได้ขึ้นมา…” ขณะที่พูดอยู่นั้น สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความจนใจ “ปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้ ข้าจะต้องลงโทษด้วยการตีเขาหรืออย่างไรกัน”
“ท่านโหวคิดเหมือนกับข้า” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ข้าจะถือโอกาสนี้ไปคุยกับเขาดีๆ เจ้าค่ะ…”
สองสามีภรรยาคุยเรื่องบุตรชายไปครึ่งค่อนคืน จึงค่อยพากันเข้านอน
วันถัดมา สืออีเหนียงก็ได้วางมือจากงานทั้งหมด จากนั้นก็ไปหาจิ่นเกอที่เรือนของเขา
ถึงแม้ว่าจิ่นเกอจะไม่สามารถออกจากเรือน แต่การมีมารดาอยู่ข้างกาย ก็ไม่ได้รู้สึกเหงาแต่อย่างใด เขาตั้งหน้าตั้งตาฝึกย่อเข่า จากนั้นก็อ่าน ‘ตำราปฐมวัย’ ที่อาจารย์จ้าวสอน
เขาเป็นเด็กดีเช่นนี้พลอยทำให้สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเบาๆ ตอนนอนพักผ่อนช่วงกลางวันสืออีเหนียงก็ได้กอดเขาไว้ในอ้อมกอด พลางพูดถึงเรื่องอาจารย์ผังเสียงเบาว่า “…เมื่อก่อนอาจารย์ผังก็ไม่รู้จักเจ้า เจ้าเองก็ไม่รู้จักอาจารย์ผัง หากไม่ใช่เพราะพี่เขยใหญ่ของเจ้าฝากฝังไหว้วาน เขาจะมาสอนวิชาเจ้าที่จวนของเราได้อย่างไรกัน…หากเป็นผู้อื่น เขาก็คงจะไม่สนใจแล้ว การที่เขาเข้มงวดกับเจ้า ถือเป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง มิเช่นนั้นเจ้าจะเรียนรู้ถึงแก่นแท้ของวิชาได้อย่างไรกัน พวกเจ้าทำเช่นนี้ เขาจะเสียใจแค่ไหน…เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง!”
“ท่านแม่!” จิ่นเกอซุกหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของสืออีเหนียง “ข้าผิดไปแล้วขอรับ!”
ถึงแม้ว่าจะดูเขินอายไปบ้าง แต่สืออีเหนียงก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเดิม “หลังจากที่กักบริเวณเสร็จแล้ว แม่จะไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผังเป็นเพื่อนเจ้า เราไปแสดงความรู้สึกผิดต่ออาจารย์ผัง และให้สัญญากับอาจารย์ผังว่าต่อไปเจ้าจะไม่ทำอีก…”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา “แสดงความรู้สึกผิดต่อท่านอาจารย์ผังหรือ” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงตอบกลับ “เจ้าทำผิด ก็ย่อมต้องไปกล่าวขอโทษเป็นธรรมดา…”
ยังไม่ทันที่สืออีเหนียงจะพูดจบ จิ่นเกอก็รีบปฏิเสธทันควันว่า “ข้าไม่ไป!”
สืออีเหนียงรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
นางพูดมามากมายขนาดนี้ จิ่นเกอก็ยังไม่รู้สึกสำนึกผิด
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมไป” สืออีเหนียงพยายามข่มอารมณ์ของตัวเอง “เป็นเพราะไม่มีหน้าจะไปหรือ แม้แต่ใน ‘บันทึกจั่วจ้วน’ ก็ยังบันทึกไว้เลยว่า ‘ไม่มีผู้ใดไม่เคยกระทำความผิด ผู้รู้ผิดก็จะสามารถแก้ไขความผิดอันใหญ่หลวงได้!’ เราสู้ไม่ได้แม้กระทั่งคนในสมัยโบราณหรือ ผิดแล้วก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่เราแก้ไขมัน เราก็จะกลายเป็นเด็กดี…”
น้ำเสียงและท่าทีของมารดาพลอยทำให้จิ่นเกอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก
เขาลุกขึ้นนั่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ไป!”
เขายังคงเน้นย้ำประโยคเดิมด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
สืออีเหนียงพลันรู้สึกโมโหขึ้นมา
อายุน้อยแค่นี้ แต่กลับมีจิตใจที่เย่อหยิ่งทะนงตนขนาดนี้ แล้ววันข้างหน้าเติบโตไปจะขนาดไหน!
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ไป” สืออีเหนียงเองก็ลุกขึ้นมานั่ง
สองแม่ลูกสบตากัน ความอบอุ่นและความอ่อนโยนเมื่อครู่นี้หายไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นบรรยากาศที่ตึงเครียดแทน
“ท่านพ่อสั่งกักบริเวณข้าแล้ว เหตุใดข้าถึงยังต้องไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผังอีก”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
นึกไม่ถึงเลยว่าจิ่นเกอจะมีความคิดเช่นนี้
สืออีเหนียงยิ่งยึดมั่นในความคิดที่จะให้จิ่นเกอไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผังมากขึ้นกว่าเดิม “ที่พ่อของเจ้าสั่งกักบริเวณเจ้า เพราะต้องการลงโทษที่เจ้าทำผิด และที่แม่ให้เจ้าไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผัง ก็เพราะสิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้นไม่ถูกต้อง จึงต้องไปรับผิด เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้านั้นสำนึกผิดแล้ว มิเช่นนั้น หากทำผิดแล้วก็มารับโทษ รับโทษเสร็จก็ทำใหม่ แล้วลงโทษไปจะมีประโยชน์อันใด สองเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะต้องไปกล่าวคำขอโทษกับอาจารย์ผัง!”
“ข้าไม่ไป!” จิ่นเกอตอบกลับเสียงดังลั่น “วันข้างหน้าข้าก็แค่ไม่ทำมันอีกก็พอ!”
คำพูดของจิ่นเกอดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงฟ้าร้องที่ดังมาจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น
บรรยากาศยิ่งอึมครึมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“วันข้างหน้าเจ้าจะไม่ทำมันอีก อย่างน้อยๆ ก็ควรจะไปบอกกับอาจารย์ผังสักคำ” ความคิดของจิ่นเกอพลอยทำให้คิ้วของสืออีเหนียงขมวดแน่น “เจ้าทำผิดต่ออาจารย์ผัง! แต่กลับพูดมันอยู่ในใจ แล้วอาจารย์ผังจะรับรู้ได้อย่างไรกัน หากอาจารย์ผังไม่รับรู้ จะเรียกว่าเป็นการขอโทษหรือ”
ไม่ว่ายุคสมัยไหน ก็ยังคงต้องใช้การสนทนามาสื่อสารอยู่ดี จิ่นเกอจะต้องรับรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของหลักการในข้อนี้
“ไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผัง!” สืออีเหนียงจ้องมองจิ่นเกอด้วยสีหน้าและแววตาที่เคร่งขรึม