อันที่จริง ปฏิกิริยาของเขาก็ไม่ได้รุนแรงเกินไปนัก
มันเพียงแค่ดูกะทันหันเพราะจู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสีหน้างุนงง คิ้วได้รูปของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าดื่มสิ่งที่มีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์เช่นนั้นเข้าไปได้อย่างไร” เด็กหนุ่มไม่ได้มองนาง แต่กลับเอ่ยกับหนานกงเลี่ยอย่างเย็นชา
หนานกงเลี่ยทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นมันแย่มากเลยหรือ ข้ากลับคิดว่ามันอร่อยดีเสียอีก อีกอย่างหนึ่ง กินขิงเยอะๆ ช่วงหน้าหนาวก็ดีต่อสุขภาพด้วย”
“อย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มเยาะยิ้มแล้วเดินออกไป
หนานกงเลี่ยคิดว่าเขาเพียงแค่ทนกลิ่นขิงไม่ได้ แต่พอเขาตื่นขึ้นในวันถัดมา เขาก็ค้นพบว่าอาหารทุกจานในวิหารบวงสรวงถูกเปลี่ยนเป็นขิงสดทั้งหมด
เงาทมิฬยืนอยู่ข้างๆ และแจ้งเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “นายน้อยเลี่ย ฝ่าบาทตรัสว่าในเมื่อท่านคิดว่าการบริโภคขิงดีต่อสุขภาพ เช่นนั้นท่านก็ควรกินขิงให้มากๆ ขอรับ”
หนานกงเลี่ย : …
เดี๋ยวก่อน!
ก่อนจะกลับไป เจ้าพูดกับข้ามาให้ชัดเจนดีกว่า!
ถ้าเขาไม่ได้โกรธข้า แล้วเรื่องบ้านี่มันอะไรกัน!
ข้าจะกินข้าวได้อย่างไรในเมื่อเวลานี้ทุกอย่างล้วนกลายเป็นขิงไปหมดแล้ว
ทำไมไม่วางยาข้าไปเลยล่ะ มันคงเร็วกว่านี้มากนัก!
หนานกงเลี่ยแทบทรุด เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป และตัดสินใจพักเรื่องพวกนี้เอาไว้ก่อน แล้วพาเฮ่อเหลียนเวยเวยออกไปข้างนอกเพื่อส่งดอกไม้ให้ใครบางคน
“นางออกมาหรือยัง” หนานกงเลี่ยรู้สึกขัดเขินบ้างในบางครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองเขา “เจ้ารีบร้อนอะไร แน่นอนว่าชิงจ้านจำเป็นต้องไปรายงานตัวกับเจ้านายของตนเป็นอันดับแรกทันทีที่นางเข้าวัง”
“ข้ารู้” หนานกงเลี่ยลูบคาง “แต่ข้ารู้สึกว่าช่วงสองวันนี้อาเจวี๋ยทำตัวแปลกๆ เจ้าว่าเขาจะว่าร้ายข้าต่อหน้าชิงจ้านหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจเขา “เขาไม่พูดหรอก ทำไมเขาจะต้องว่าร้ายเจ้าต่อหน้าชิงจ้านด้วย เขาไม่ได้ว่างขนาดนั้นเสียหน่อย”
“พูดอีกก็ถูกอีก” หนานกงเลี่ยออกเดิน เขาคงคิดมากเกินไป อาเจวี๋ยค่อนข้างหัวช้าเรื่องความรัก แม้กระทั่งกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียน เขาก็ยังรักษาระยะห่างกับนางเอาไว้เสียด้วยซ้ำ เขาอาจบอกไม่ได้ว่าหนานกงเลี่ยตกหลุมรักชิงจ้าน ไม่สิ เขาไม่ได้ตกหลุมรักชิงจ้าน เขาเพียงแค่คิดว่าเด็กสาวคนนี้น่าสนใจต่างหาก ใช่ เขาเพียงแค่คิดว่านางน่าสนใจเท่านั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “เจ้ามัวแต่บ่นพึมพำอะไรอยู่ รีบเอาดอกกุหลาบออกมาได้แล้ว”
หนานกงเลี่ยเป็นนายน้อยที่เข้าใจหัวใจสตรี เขาดีดนิ้วด้วยท่าทางชั่วร้าย
กุหลาบดอกหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา กุหลาบดอกนั้นเบ่งบานอย่างงดงาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ” ไม่แปลกใจเลยที่โตไปจะร้ายกาจถึงเพียงนั้น อายุแค่นี้แต่กลับลงทุนศึกษามายากลพวกนี้มาเพื่อเล่นกับสาวๆ เชียวหรือ
“ทุกวันนี้ข้าตื่นเช้ามาก็เจอแต่หน้าตาอันหล่อเหลาของตัวเอง เรื่องนี้สร้างความกลุ้มใจให้กับข้ามากทีเดียว” หนานกงเลี่ยกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “กุหลาบดอกนี้ข้าให้เจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้จักนิสัยของเขาดี นางจึงรับมันมานิ่งๆ โดยไม่ปฏิเสธเขา จากนั้นจึงถามว่า “มีอะไรอยากถามข้าอีกหรือเปล่า”
“ก็ไม่มาก” หนานกงเลี่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย “ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับอาเจวี๋ย” แม้เขาจะต้องตาย แต่อย่างน้อยเขาก็อยากเข้าใจว่าทำไมอาเจวี๋ยถึงปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ อาเจวี๋ยเริ่มทำให้ชีวิตเขาตกระกำลำบากทันทีหลังจากผู้หญิงคนนี้มาที่นี่
เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากและกำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่นางก็รู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ข้างหลัง และคนคนนั้นทำให้นางรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
นางหันกลับไปและพบกับดวงตาอันยากจะหยั่งถึงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เขามาตอนไหน ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงเลยล่ะ
หนานกงเลี่ยเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้วเช่นกัน แต่สมาธิของเขากลับไม่ได้อยู่ที่อีกฝ่าย แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขากลับมองไปยังทิศทางที่ชิงจ้านอยู่แทน
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเมื่อครู่นี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นในใจ
เด็กสาวคนนั้นเห็นเขามอบดอกไม้ให้เด็กสาวอีกคน นางจะมิทำเหมือนเขาเป็นหนึ่งในชายเจ้าชู้พวกนั้นหรือ
ไม่ได้การ! เขาต้องอธิบายให้นางเข้าใจ!
“ชิงจ้าน รายงานต่อ” เด็กหนุ่มละสายตากลับมา มือของเขากำเข้าหากันแน่นจนทิ้งรอยรูปพระจันทร์เสี้ยวไว้ในฝ่ามือ เขาเดินตรงไปที่ห้องพร้อมกับแผ่บรรยากาศเย็นชาไม่แยแสออกมา และไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้
หนานกงเลี่ยอยากตามพวกเขาไป แต่เขาก็ถูกองครักษ์เงาขวางทางไว้เสียก่อน
“หลีกไป” หนานกงเลี่ยเอ่ยเสียงต่ำ
เงาทมิฬหลุบตาลง แต่ไม่ได้หลีกทางให้เขา “นายน้อยเลี่ยขอรับ ช่วงนี้ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี อย่าไปที่นั่นเลยขอรับ”
“อารมณ์ไม่ดีหรือ” หนานกงเลี่ยหรี่ตา และหัวเราะขึ้น “เพราะคุณหนูจากตระกูลเฮ่อเหลียนหายตัวไปอีกแล้วหรือ”
เงาทมิฬยังคงเงียบ แล้วชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวย
อันที่จริงฝ่าบาทดูท่าทางหดหู่มาตลอดสองวัน
เขามักจะจมอยู่ในภวังค์อยู่บ่อยครั้ง และยังไม่แม้แต่จะตั้งใจฟังการรายงานอีกด้วย
ยิ่งตอนที่เขากลับมาจากวิหารบวงสรวงเมื่อคืน เขาก็เอาแต่ขังตัวเองเอาไว้ในห้องทรงอักษรตลอดทั้งคืน
เขาเพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นเงียบๆ ถือเสื้อคลุมขนสัตว์ไว้ในมือ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เงาทมิฬเคยเห็นฝ่าบาทในสภาพนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
มันคือเมื่อแปดปีที่แล้วสมัยฝ่าบาทยังเป็นเด็ก เขาป่วยอยู่ในเวลานั้น แต่เขาก็ยังพยายามตามหาผู้หญิงคนนี้ราวกับคนเสียสติ แม้กระทั่งตอนที่เขาไข้ขึ้นสูงจนนอนซมอยู่บนเตียง เขาก็ยังขอร้อง ขอร้องให้นางอยู่ต่อ…
แต่แม้จะค้นหาทั่วทั้งวังหลวง พวกเขาก็ไม่เจอร่องรอยของผู้หญิงคนนี้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นฝ่าบาทก็เปลี่ยนไป
ดวงตาของเขาไร้วิญญาณ
ในเวลานั้นองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ฮ่องเต้รู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้ลงโทษตระกูลมู่หรง กลับมาหาเรื่องฝ่าบาทแทน
นอกจากนั้น ทุกครั้งที่ฝ่าบาทเสียมารยาทต่อฮองเฮา นางก็จะจับเขาขังเอาไว้ในกระท่อมไม้สามวันสามคืนโดยไม่ยอมให้จิบแม้แต่น้ำสักอึก
ทั้งเขาและปี้ลั่วขอร้อง แต่พวกเขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นฝ่าบาทแม้แต่นิดเดียว
โชคดีที่อดีตฮ่องเต้กลับมาก่อนเวลา และต่อว่าฮองเฮาและฮ่องเต้เรื่องนั้น
แต่ภายในเวลาไม่ถึงปี ก็มีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นในวังหลวง
ตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้ครั้งนั้น ฝ่าบาทก็ไม่เคยออกจากตำหนักของตัวเองอีกเลย
หลังจากนั้นฝ่าบาทก็ดันไปพบกับคุณหนูจากตระกูลเฮ่อเหลียนเข้าโดยบังเอิญ
เขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาไม่ได้โหดร้ายกับทุกคนอีก
เขากลับกลายเป็นคนที่สูงส่งและสง่างามราวกับหยก และยังเป็นผู้ใหญ่ขึ้นราวกับเกิดใหม่เป็นคนละคน
ดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถกระตุ้นคลื่นอารมณ์ของเขาได้อีก
เว้นก็แต่ตอนที่คุณหนูคนนั้นหายตัวไป
เมื่อเป็นเช่นนั้นฝ่าบาทจะทำเพียงแค่ขมวดคิ้ว และยังคงเย็นชาอยู่เช่นนั้น
จนถึงตอนนี้… ฝ่าบาทดูเหมือนคนที่สูญเสียการควบคุมไปอีกแล้ว
“ฝ่าบาท?” ชิงจ้านเอียงศีรษะ นางไม่ใช่คนสอดรู้ แต่นางรายงานเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังมาได้ครู่ใหญ่แล้ว กระนั้นผู้เป็นนายก็ยังทำท่าเหมือนไม่ได้ฟังที่นางพูดเลยแม้แต่นิดเดียว
อันที่จริง ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในห้อง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านางอยู่ที่นี่
สีหน้าบนใบหน้าของนางตอนที่นางรับดอกไม้จากหนานกงเลี่ยยังคงฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวของเขา
นางดูมีความสุขอย่างมาก
เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นบนใบหน้าของนางมาก่อน มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่นางก็ยิ้มออกมาเพราะความยินดีอย่างแท้จริง
เขารู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นเฉียบอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ มันทำให้เขาหนาวจนไม่รู้สึกอยากพูดคุยกับใครทั้งสิ้น
มือที่กำอยู่ของเขาค่อยๆ คลายออก
ท้ายที่สุด เขาก็ไม่สามารถข่มความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงใช้กำปั้นของตัวเองต่อยเข้ากับผนังอย่างแรง
เสียงดังปังก้องสะท้อนอยู่ในอากาศ!
เงาทมิฬรีบวิ่งเข้ามาทันที เขาสังเกตเห็นว่ามือขวาของเด็กหนุ่มมีเลือดออก เขาจึงตะโกนไปทางชิงจ้านอย่างร้อนใจว่า “ไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
“ไม่จำเป็น” ร่างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น และปล่อยให้เลือดหยดลงมาระหว่างนิ้ว “ชิงจ้าน ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า…”