เด็กหนุ่มดูเหมือนเพิ่งตื่นนอน เขาอยู่ในเสื้อคลุมขนสัตว์สำหรับใส่นอน ผมสีดำดูยุ่งเหยิง เขายกชาขึ้นจิบแล้วมองไปที่หนานกงเลี่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเรียวของเขากระจ่างใสราวกับฤดูใบไม้ผลิ เขายกขาขึ้นถีบอีกฝ่ายโดยไม่แม้แต่จะคิด
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ถีบอีกฝ่ายจริงๆ
ไม่อย่างนั้นหนานกงเลี่ยคงไม่มีทางหลบพ้น
แต่การกระทำนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หนานกงเลี่ยร้องออกมาเสียงดัง “อาเจวี๋ย เจ้าทำได้อย่างไรกัน! นี่คือสิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่อพี่น้องของเจ้าหรือ!”
“ขอโทษที ข้ายังตื่นไม่เต็มตานัก” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก พร้อมกับก้มหน้าลงมองชายที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเกียจคร้าน
หนานกงเลี่ย : …
ยังไม่ตื่นเต็มตาหรือ
ความเย็นชาในดวงตาของเจ้าแทบจะทำให้ข้าแข็งตายอยู่แล้ว แต่เจ้ากลับบอกว่าเจ้ายังตื่นไม่เต็มตาอีกหรือ ข้าไม่ใช่คนโง่ที่เจ้าจะมาโกหกได้นะ!
“อาเจวี๋ย พวกเรารู้จักกันมากว่าเจ็ดปีแล้ว” หนานกงเลี่ยรู้ว่าเขาเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มงัดเอามิตรภาพระหว่างพวกเขามาใช้ “มันตั้งเจ็ดปีเชียวนะ ชีวิตเจ็ดปีของข้าเชียวนะ! เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้! เจ้าต้องบอกความจริงให้ข้ารู้ก่อนข้าจะตาย!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาแล้วยิ้มออกมาอย่างช้าๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้ไปถึงดวงตาของเขา “เจ้าดูสนิทกับคนที่ข้าส่งไปให้เจ้า”
หนานกงเลี่ยเป็นคนฉลาด เขาส่ายหน้าเป็นพัลวันเพื่อปกป้องตัวเอง “ไม่ ไม่ ไม่มีทาง! สิ่งที่เจ้าเห็นมันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น! ความจริงแล้วพวกข้าไม่ได้สนิทกันเลย ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว!”
“เพราะเหตุใดเจ้าถึงมอบดอกไม้ให้นางล่ะ” เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูไม่ค่อยใส่ใจนัก
แต่หนานกงเลี่ยสังเกตเห็นมือซ้ายที่กำแน่นเข้าหากันของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงรีบล้างมลทินให้ตัวเองทันที “นั่นเป็นเพราะข้าต้องการขอบคุณนางต่างหาก คนที่เสนอความคิดให้ข้ามอบดอกไม้ให้ผู้หญิงก็คือนาง เดิมทีข้าตั้งใจจะมอบดอกไม้ดอกนั้นให้คนอื่นต่างหาก”
“มอบให้ชิงจ้านหรือ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างใจเย็นพร้อมมองกลับไปที่เขา ในที่สุดความขุ่นเคืองที่มีอยู่ในอกมาเป็นเวลานานก็ค่อยๆ เลือนหายไปเล็กน้อย
แต่หนานกงเลี่ยกลับทำหน้าราวกับเห็นผี “เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างมีเลศนัย “มันตั้งเจ็ดปีเชียวนะ แน่นอนว่าข้าก็ต้องเป็นห่วงพี่น้องคนเดียวของข้าเหมือนกัน”
หนานกงเลี่ย : …
บัดซบ!
ข้าไม่ต้องการความเป็นห่วงของเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว!
อย่าบอกนะว่าคนที่ว่าข้าให้เสี่ยวชิงจ้านฟังก็คือเจ้า!
ความคิดนั้นวาบเข้ามาในใจของหนานกงเลี่ย สีหน้าหล่อเหลาของเขาเหมือนกำลังจะร้องไห้ “เจ้าพยายามจะทำอะไรกันแน่ พูดมาตรงๆ ดีกว่า”
“ไม่มีอะไร” เด็กหนุ่มยังคงให้คำใบ้กับเขาต่อ “ข้าสังเกตเห็นว่าช่วงสองวันมานี้เจ้าดูว่างมากจนออกไปเก็บดอกไม้ที่นอกวัง ดังนั้นข้าก็เลยคิดว่าเจ้าอาจจะต้องการความตื่นเต้นในชีวิต”
เงาทมิฬที่ยืนอยู่นอกห้องเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบๆ : …ข้าว่าคงไม่มีใครอยากได้ความตื่นเต้นพรรค์นั้นหรอกกระมัง
ตรงกันข้าม หนานกงเลี่ยกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจ แทนที่จะคิดเช่นนั้นเขากลับจับเรื่องทุกอย่างมาปะติดปะต่อกันได้ทันที ทันใดนั้นรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขายกมือขึ้นจับบ่าของเด็กหนุ่ม “อาเจวี๋ย เจ้าน่าจะบอกข้าให้เร็วกว่านี้ ถ้าข้ารู้ว่าเจ้ากำลังมีความรัก ข้าคงช่วยเจ้าไปนานแล้ว”
เด็กหนุ่มปรายตามองเขาพร้อมกับกวาดสายตามองไปที่มือนั้น
หนังศีรษะของหนานกงเลี่ยชาวาบ เขารีบชักมือกลับอย่างว่องไว
เด็กหนุ่มปัดเสื้อ พร้อมใช้น้ำเสียงสูงศักดิ์และสง่างามนั้นเอ่ยขึ้นว่า “อย่าคิดอะไรให้มันมากเกินไปนัก ผู้หญิงคนนั้นเพียงแค่ทำให้ข้าไม่ชอบใจก็เท่านั้น”
จะว่าไปแล้ว ระหว่างเจ้ากับนางมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ” ดวงตาของหนานกงเลี่ยมีความขี้เล่นปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน “ต่อให้ข้าจะถามนางอย่างไร นางก็ไม่ยอมบอกอะไรข้าเลยแม้แต่นิดเดียว”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขา พร้อมกับเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “นางขโมยของของข้าไป ข้าหาตัวนางมาตลอดแปดปีเต็มเพียงเพื่อจะนำของสิ่งนั้นกลับมา”
หนานกงเลี่ยขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน หัวขโมยหรือ ผู้หญิงคนนั้นดูไม่เหมือนหัวขโมยเลยสักนิด
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่กวนใจเขาอย่างมาก
นั่นคือรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคนนั้น… นางดูคล้ายกับคุณหนูของตระกูลเฮ่อเหลียนมากเกินไป
มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่
ดวงตาของหนานกงเลี่ยเป็นประกาย จากนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ในเมื่อนางเป็นหัวขโมย เช่นนั้นพวกเราก็ควรจับนางตัดแขนตัดขาแล้วโยนออกไปนอกวัง หากนั่นยังไม่พอ เจ้าก็ควรจะฆ่านางเสีย เจ้าจะทรมานนางด้วยวิธีการใดก็ได้ตราบเท่าที่เจ้าจะสามารถระบายความโกรธของตัวเองออกมาได้ เจ้าไม่ได้เคลื่อนไหวมานานมากแล้ว มันไม่สมกับเป็นเจ้าเสียเลย ข้ากลับไปเมื่อไหร่ ข้าจะโยนนางออกไปทันที แล้วจากนั้นเจ้าค่อยคิดก็แล้วกันว่าเจ้าอยากทำอะไร”
เด็กหนุ่มยังคงเงียบ
หนานกงเลี่ยรู้ว่าเขาเห็นด้วย
แต่เขาไม่คิดว่าอาเจวี๋ยจะทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้น
ถ้าเขาเกลียดนางจริง มันก็มีวิธีการมากมายนับไม่ถ้วนที่จะทำให้ใครสักคนหายไปจากวังหลวง อีกอย่างหนึ่ง ฐานะของอาเจวี๋ยก็สูงพอที่จะทำให้เขาสามารถฆ่าคนได้ด้วยการเอ่ยปากเพียงคำเดียว
แต่สีหน้าของอาเจวี๋ยกลับดูเหมือนไม่ได้โกหก
อย่างไรเขาก็พูดคำว่าแปดปีออกมาอย่างชัดเจน…
“ในเมื่อเราจัดการปัญหานี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็ควรจัดการปัญหาเรื่องเสี่ยวชิงจ้านให้ข้าเหมือนกันมิใช่หรือ นางหันหลังเดินหนีข้าทุกครั้งที่เห็นข้าเลยนะรู้ไหม!” หนานกงเลี่ยอารมณ์เสียอย่างมากทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา!
เด็กหนุ่มดูไม่ค่อยสนใจนัก เขาสั่งให้เงาทมิฬเรียกชิงจ้านเข้ามา
นายน้อยอย่างหนานกงเลี่ยย่อมไม่ควรปรากฏตัวขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่หลังม่าน แล้วเงี่ยหูฟังสถานการณ์ด้านนอกแทน
เสียงของเด็กหนุ่มแหบพร่า แต่ยังฟังดูสง่างามเหมือนตอนปกติ เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า “ชิงจ้าน ข้าได้ยินเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายนี้แล้ว ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจนายน้อยเลี่ยผิดไป”
“ไม่เลยเพคะ” ชิงจ้านมีสีหน้าจริงจัง นางดูอ่อนโยนและไร้เดียงสา “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้เห็นแล้วว่าปกตินายน้อยเลี่ยประพฤติตัวเช่นใด ทุกครั้งที่เขาเห็นสาวงาม เขาจะเข้าไปคุยกับพวกนาง และเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับในวังหลวงแต่อย่างใด หม่อมฉันรู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์อันดีกับนายน้อยเลี่ย ดังนั้นท่านย่อมไม่คิดที่จะพูดให้ร้ายเขาอย่างแน่นอน เขาช่างโชคดีจริงๆ ที่มีสหายดีๆ เช่นฝ่าบาท”
หนานกงเลี่ยที่ซ่อนอยู่หลังม่านรู้สึกเหมือนเพิ่งถูกมีดปักเข่า บนใบหน้าของเขามีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้น
เงาทมิฬที่เห็นสถานการณ์ทั้งหมดพยายามกลั้นขำอย่างยากลำบาก
มีแต่เพียงเด็กหนุ่มคนนั้นเท่านั้นที่ยังรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้ “อันที่จริงเขาก็มีข้อดีอยู่หลายข้อทีเดียว”
“ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงเพคะ ตราบใดที่ท่านอยู่ที่นี่ หม่อมฉันจะรับใช้นายน้อยเลี่ยเป็นอย่างดี!” ชิงจ้านสัญญา นางเป็นคนซื่อสัตย์และทุ่มเทมาตั้งแต่อายุยังน้อย
แต่หนานกงเลี่ยกลับไม่พอใจอย่างมาก เขามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาตัดพ้อหลังจากชิงจ้านกลับไป
เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ข้าพยายามดีที่สุดแล้ว ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามีนิสัยชอบพบปะพูดคุยกับสาวงามเป็นกิจวัตร”
หนานกงเลี่ย : …ตอนนี้ข้าชักเสียใจขึ้นมาแล้ว!
“เอาล่ะ อีกหน่อยชิงจ้านย่อมกลับมาหาเจ้าแน่ สามปีน่าจะเพียงพอให้นางเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเจ้าได้” เด็กหนุ่มนวดหน้าผาก แล้วกล่าวอย่างเหนื่อยหน่ายใจว่า “เจ้าควรออกไปจัดการเรื่องของตัวเองได้แล้วมิใช่หรือ”
หนานกงเลี่ยยังคงจมอยู่กับความโศกเศร้าของตัวเอง เมื่อเขากลับมาถึงวิหารบวงสรวง และเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย สิ่งแรกที่เขาถามกับนางคือ “ตอนนั้นเจ้าเอาอะไรมาจากอาเจวี๋ยหรือ”
“ข้าไม่ได้เอาอะไรไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วถามกลับอย่างเกียจคร้านว่า “ทำไมเจ้าถึงถามอย่างนั้นล่ะ”
หนานกงเลี่ยเอนกายพิงกรอบประตูด้วยสีหน้าชั่วร้าย “เมื่อครู่นี้ข้าไปหาเขามา เขาบอกว่าเมื่อแปดปีก่อนเจ้าขโมยของบางอย่างไปจากเขา เขาจึงตามหาเจ้ามาตลอดแปดปีเต็ม เวลานี้เมื่อเขาจับเจ้าได้ในที่สุด เจ้าคิดว่าเขาจะปล่อยเจ้าไปหรือ ไม่เลย เจ้าควรสวดมนต์ให้ตัวเองเสีย ข้าบอกใบ้ให้เจ้าได้เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น เจ้าลองคิดดูให้ดีสิ บางทีเจ้าอาจจะเอาอะไรบางอย่างไปในตอนนั้น โดยที่ไม่รู้ก็ได้ว่าของที่เจ้าเอาไปเป็นของสำคัญสำหรับอาเจวี๋ย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็ส่ายหน้า
“เช่นนั้นข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้วกระมัง เจ้าไปจากที่นี่เสียเถอะ…”