หลังจากที่เทศกาลวันสารทจีนในเดือนเจ็ดผ่านไปแล้ว พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นมาถึงต้นเดือนแปด ทุกคนต่างก็พากันทยอยมามอบของขวัญเนื่องในโอกาสเทศกาลไหว้พระจันทร์ เรื่องการแยกตระกูลของเวยเป่ยโหวก็ได้สิ้นสุดลง คุณนายใหญ่สกุลหลินถือโอกาสนี้มามอบของขวัญวันเทศกาลด้วยตัวเอง หนึ่งคือเพื่อจะมากล่าวขอบคุณสืออีเหนียง สองคืออยากจะมาคุยกับสืออีเหนียง
“…ไร้เหตุผลสิ้นดี ยังดีที่มีท่านโหวคอยมาคุยกับคุณชายของพวกข้า มิเช่นนั้นคุณชายของพวกข้าคงจะอกแตกตายเป็นแน่แท้” จากนั้นก็ได้เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงเคยได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเวยเป่ยโหวซื่อจื่อเห็นว่าพี่น้องของตนขัดแย้งกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ก็เลยยอมแบ่งกำไรออกมาส่วนหนึ่ง หาวิธีต่างๆ มาแก้ไขความขัดแย้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถยุติเรื่องนี้ลงได้ พี่น้องต่างก็พากันลงความเห็นว่าหลังจากที่ออกทุกข์เสร็จแล้วก็ค่อยมาแบ่งมรดก ด้วยเหตุนี้คุณนายใหญ่สกุลหลินจึงพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมและควบคุมความสงบของเหล่าบรรดาญาติที่เป็นสตรี การใช้ชีวิตจึงไม่ได้ง่ายเหมือนเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป เฝ้าแต่รอคอยให้ช่วงไว้ทุกข์ครบกำหนดในเร็ววัน
ทั้งสองชวนกันพูดคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องงานบ้านงานเรือน อารมณ์จิตใจของคุณนายใหญ่สกุลหลินดีขึ้นไม่น้อย ตอนเที่ยงเพิ่งจะขอตัวกลับจวนไป
ตกบ่าย สืออีเหนียงก็ไปอยู่เป็นเพื่อนจิ่นเกอคัดอักษร
อาจารย์เจี่ยนมาหาพอดี
“ในที่สุดก็ซื้อร้านข้างๆ ได้สำเร็จ” นางดีใจเป็นอย่างมาก “ต่อไปก็ไม่ต้องคอยเป็นกังวลว่าหากขายของไม่ได้แล้วจะถูกเถ้าแก่ยึดร้านกลับ”
ทุกคนต่างก็อยากจะให้ร้านขายของมงคลสมรสนี้อยู่ไปตราบนานเท่านาน โดยเฉพาะอาจารย์เจี่ยน นางไม่เพียงแต่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจลงไปเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความมั่นคงกับเหล่าบรรดาช่างปักที่เดินทางมาจากเจียงหนานเพื่อมาช่วยนางบุกเบิกกิจการ รวมไปถึงปินจวี๋ที่คอยช่วยเหลือนางมาโดยตลอด นางจึงไม่อยากให้ร้านขายของมงคลสมรสเกิดเรื่องอันใดขึ้นทั้งนั้น
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับกานไท่ฮูหยิน จะได้ถือโอกาสไปส่งของขวัญเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ด้วยเจ้าค่ะ”
หลังจากที่อาจารย์เจี่ยนได้บอกความคิดของนางให้กับสืออีเหนียงแล้ว สืออีเหนียงก็หาเวลาว่างแวะไปที่จวนจงฉินปั๋ว เมื่อกานไท่ฮูหยินได้ลองคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็รู้ถึงมูลเหตุได้ในทันที ลึกๆ ในใจนางรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก “จะโทษก็โทษข้าที่ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นข้ายกส่วนของข้าให้กับพวกเจ้าก็แล้วกัน! เพราะถึงแม้จะอยู่ในมือข้า ข้าก็รักษาไว้ไม่ได้อยู่ดี” พูดจบนางก็นึกถึงนิสัยใจคอของสืออีเหนียงและอาจารย์เจี่ยนขึ้นมา จึงรู้สึกว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นไม่ค่อยเหมาะสม เลยรีบพูดต่อว่า “หรือว่า…พวกเจ้าจะซื้อร้านของข้าไปในราคาถูกๆ!”
อย่าว่าแต่ตอนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนที่ขายไม่ได้เลย พวกนางก็ไม่ควรที่จะเอาเปรียบกานไท่ฮูหยิน นับประสาอะไรกับตอนนี้ นางกำลังประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่แสนจะยุ่งยาก หากกานไท่ฮูหยินลดค่าเช่าให้ก็ยังจะพอว่า แต่นี่ถึงขั้นจะยกร้านให้หรือขายให้ในราคาที่ถูก อย่าว่าแต่จะเป็นจงฉินปั๋วสองสามีภรรยาเลย ถึงแม้จะเป็นพี่ชายของนาง เกรงว่าก็คงจะไม่ยอมรับปากอย่างแน่นอน
“เมื่อก่อนเป็นเพราะร้านขายของมงคลสมรสของเราไร้ซึ่งความสามารถ แต่ตอนนี้ร้านของเราดีขึ้นแล้ว ย่อมอยากจะตั้งรากฐานกิจการการค้าของเราให้มั่นคงเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เช่นนี้ ท่านก็จะได้มีกิจการการค้าเพิ่มขึ้นด้วย”
กานไท่ฮูหยินรู้ว่าสืออีเหนียงกำลังปลอบใจนาง แต่กานไท่ฮูหยินก็ไม่แน่ใจว่านางจะมีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการทรัพย์สินหรือไม่ และถึงแม้ว่านางจะมีความปรารถนาเช่นนี้ แต่ครั้นจะทำขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่ายากลำบากเป็นอย่างมาก นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลใจ
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าสืออีเหนียงพาจิ่นเกอมามอบของขวัญเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ให้นาง นางก็รีบออกมาต้อนรับด้วยความดีใจทันที
จิ่นเกอกระโดดลงจากรถม้า จากนั้นก็คารวะกานไท่ฮูหยินด้วยความนอบน้อม กานไท่ฮูหยินยิ้มกว้างด้วยความชื่นใจ จูงมือน้อยๆ ของเขาเดินเข้าไปในเรือน
บ่าวรับใช้ต่างก็พากันย่อตัวทำความเคารพพร้อมกับขานเรียกอย่างพร้อมเพรียง “คุณชายน้อยหก” บนโต๊ะเตียงเตาเรียงรายไปด้วยขนมและผลไม้ที่จิ่นเกอชอบทาน
“ได้ยินว่าพวกเจ้าจะมา วันนี้ข้าก็เลยให้ห้องครัวจัดเตรียมเป็นการพิเศษ” กานไท่ฮูหยินใช้ช้อนตัดแบ่งขนมไส้ถั่วแดงมาป้อนจิ่นเกอด้วยตัวเอง จิ่นเกอกล่าวขอบคุณเสียงเบา แต่เขาอยากจะทานเอง “ท่านแม่บอกว่าข้าโตแล้ว จะให้ผู้อื่นป้อนเช่นนี้ไม่ได้แล้ว” จากนั้นก็เอียงศีรษะหันไปถามกานไท่ฮูหยินว่า “ไท่ฮูหยินชอบทานขนมดอกกุ้ยฮวาหรือขนมเกาลัดมากกว่ากัน? ที่จวนของข้าทำทั้งขนมดอกกุ้ยฮวาและขนมเกาลัด อร่อยทั้งสองอย่างเลยขอรับ”
“ไอ๊หยา!” กานไท่ฮูหยินปลื้มใจเป็นอย่างมาก นางคว้าตัวจิ่นเกอมากอดไว้แน่น “ไม่ได้เจอหน้าเจ้าแค่ฤดูร้อนฤดูเดียว ตอนนี้จิ่นเกอของเรารู้จักเอาใจใส่ผู้อื่นเป็นเสียแล้ว”
จิ่นเกอรีบหันไปมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจทันที
เมื่อก่อนจิ่นเกอหยิบของกินขึ้นมาทานเองเป็น และเขาก็มักจะชอบให้ของกินกับกานไท่ฮูหยินเสมอ เพียงแต่ว่าเขาอธิบายไม่เป็นและก็ไม่ได้ใส่ใจว่ากานไท่ฮูหยินจะชอบทานหรือไม่ กานไท่ฮูหยินจึงอดไม่ได้ที่จะถามสืออีเหนียงว่า “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือน เหตุใดถึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคนอย่างไรอย่างนั้น”
สืออีเหนียงจิบชาเถี่ยกวนอินที่กานไท่ฮูหยินชงให้ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าบอกกับเขาว่า ‘อยากจะให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเราอย่างไร เราก็ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นนั้น’”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้าด้วยความชื่นใจพลางลูบศีรษะของจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็โอบกอดจิ่นเกออีกครั้ง
“ท่านทำผมของข้ายุ่งไปหมดแล้ว” จิ่นเกอบ่นพึมพำ สีหน้าท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นซุกซนและร่าเริงเหมือนเช่นเมื่อก่อน ผู้ใหญ่ทั้งสองจึงหันมาสบตากันพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
สืออีเหนียงถือโอกาสนี้พูดถึงจุดประสงค์การมาของนาง
กานไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ลงเป็นชื่อเจ้ากับอาจารย์เจี่ยนดีกว่า! หากลงชื่อร้านขายของมงคลสมรส ถึงเวลานั้นข้ากลัวว่าจะยุ่งยากและลำบากเอาได้”
สืออีเหนียงเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะเงินก้อนนี้สำรองจ่ายโดยร้านขายของมงคลสมรส ต่อไปภายภาคหน้าตอนแบ่งกำไรกัน อาจารย์เจี่ยนก็จะค่อยๆ หักยอดออกทีละเล็กทีละน้อย หากกานไท่ฮูหยินมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากะทันหัน เงินก้อนนี้ถือว่าเป็นเงินในส่วนของรายรับ อีกทั้งยังสามารถรับประกันถึงความยั่งยืนและมั่นคงได้
“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เช่นนั้นข้าจะไปบอกเรื่องนี้กับอาจารย์เจี่ยน ให้อาจารย์เจี่ยนเขียนใบแสดงหนี้ขึ้นมาหนึ่งฉบับ แล้วค่อยหานายหน้ามาช่วยโอนกรรมสิทธิ์ของร้าน”
กานไท่ฮูหยินถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความกลุ้มใจ
สืออีเหนียงไม่ได้มาเพื่อจะทำให้นางเสียใจ จึงยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปจูงมือของกานไท่ฮูหยินไปดูดอกไม้ที่นางขนมาจากจวนสกุลสวี “มีดอกเบญจมาศแดงหนึ่งกระถาง รดน้ำอีกไม่กี่วันดอกก็จะบานแล้ว ยังมีต้นดอกกุ้ยฮวาสูงราวหนึ่งฉื่ออีกหนึ่งต้น ปลูกไว้ในอ่างเลี้ยงปลา ตอนนี้ดอกกุ้ยฮวากำลังบานพอดี…ไม่รู้ว่าสะใภ้จี้ถิงทำได้อย่างไร ข้าเคยถามนางว่าสามารถปลูกต้นผิงกั่วในอ่างเลี้ยงปลาได้หรือไม่ หากปลูกได้สำเร็จ เวลาที่นั่งอังไฟอยู่บนเตียงเตาก็จะสามารถเอื้อมมือไปเด็ดผลผิงกั่วมาทานได้อย่างง่ายดาย คิดแล้วก็รู้สึกน่าสนุกไม่น้อย”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจ จึงพาสืออีเหนียงและจิ่นเกอไปที่ลานสวน
สะใภ้จี้ถิงพาป้ารับใช้จำนวนหนึ่งมาช่วยขนกระถางดอกไม้
จิ่นเกอวิ่งไปชี้ต้นเบญจมาศบนโต๊ะที่เห็นแต่ใบและไม่มีแม้กระทั่งดอกตูม “กานไท่ฮูหยิน กานไท่ฮูหยิน ท่านดูสิขอรับ นี่คือดอกเบญจมาศแดง! สะใภ้จี้ถิงบอกว่าหากบานแล้วดอกจะเป็นสีดำ”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเบาๆ พลางเดินตามหลังเขาไป “จิ่นเกอเคยเห็นแล้วหรือยัง เจ้าชอบดอกเบญจมาศสีอะไร”
“เคยเห็นแล้วขอรับ!” จิ่นเกอตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ปีที่แล้วสะใภ้จี้ถิงก็เลี้ยงจนดอกบานเป็นสีดำ แต่ทว่านำมาประดับบนโต๊ะเพียงไม่กี่วันก็เฉาตายเสียแล้ว สะใภ้จี้ถิงตั้งอกตั้งใจในการเพาะเลี้ยงเป็นอย่างมาก ดอกเบญจมาศของปีนี้จึงสามารถนำมาประดับบนโต๊ะได้อีกครั้ง”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เวลานั้นเองก็มีสาวใช้กลุ่มหนึ่งประคองกานฮูหยินเข้ามา
“หย่งผิงโหวฮูหยิน ท่านมาถึงที่นี่ก็ไม่แวะไปนั่งเล่นที่เรือนของข้าเสียหน่อย!” นางบ่นพึมพำ “หากไม่ใช่เพราะข้ามาปรนนิบัติแม่สามีทานอาหารเที่ยง ก็คงจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าท่านมา!” จากนั้นนางก็ได้โน้มตัวลงไปทักทายจิ่นเกอด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “คุณชายน้อยหก เจ้าเองก็มาด้วยหรือ!”
จิ่นเกอคารวะกานฮูหยินด้วยความนอบน้อม
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า “ข้ามาเยี่ยมไท่ฮูหยินเสร็จแล้วก็จะแวะไปหาท่าน ใครจะไปนึกว่าท่านจะมาที่นี่เสียก่อน!”
สีหน้าท่าทีของกานไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยความเย็นชา “วันนี้เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติแล้ว กลับเรือนไปพักผ่อนเถิด!”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ท่านมีแขกสูงศักดิ์มาเยี่ยมเยียน แต่ข้ากลับไปพักผ่อนอย่างสบายใจ หากท่านปั๋วทราบเรื่องเข้า เกรงว่าคงจะตำหนิว่าข้าว่าดูแลท่านแม่ไม่ดี…”
“หากเขาต่อว่าเจ้า เจ้าก็บอกไปว่าข้าเป็นคนสั่ง” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “หากเขาไม่เชื่อ เจ้าก็ให้เขามาถามข้าเองก็แล้วกัน!”
“ท่านปั๋วจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ!” กานฮูหยินพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับไปด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
สีหน้าของกานไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยความกังวลใจ “ตั้งแต่ข้าเอาเงินออกมาให้นางใช้ นางก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว…”
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก
เวลาที่ญาติสนิทชิดเชื้อเปลี่ยนไปจนเหลือเพียงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทองเท่านั้น คนเราก็จะรู้สึกว่าท่ามกลางดินแดนมนุษย์แห่งนี้นั้นช่างเหน็บหนาวเสียเหลือเกิน
“เมื่อครู่นี้ท่านยังไม่ได้ตอบเลยว่าท่านชอบทานขนมดอกกุ้ยฮวาหรือขนมเกาลัด” สืออีเหนียงพูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่นี้ทิ้งไป “กลับจวนไปแล้วข้าจะได้ให้ป้าซ่งส่งมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ”
“อะไรก็ได้!” กานไท่ฮูหยินรู้ว่านางหวังดี นางก็เลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “หลายปีมานี้ จู่ๆ ข้าก็เริ่มชอบทานขนมหวานขึ้นมา…”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกปากถูกคอ หลบเลี่ยงปัญหาของกานฮูหยินไป
กานไท่ฮูหยินชวนสองแม่ลูกให้อยู่ทานอาหารเที่ยงด้วยกัน หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จิ่นเกอก็ได้นอนพักที่เรือนหน่วนเก๋อของกานไท่ฮูหยินอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นสืออีเหนียงก็ไปลากับกานฮูหยิน
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยกำลังรอนางอยู่ที่เรือน
“ท่านแม่ ตอนเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ พวกข้าอยากออกไปดูโคมไฟขอรับ อยากจะพาจิ่นเกอไปด้วย!”
จิ่นเกอได้ยินแล้วสีหน้าของเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เซินเกอก็ไปด้วย!” พูดจบก็นึกขึ้นได้ว่ามารดายังไม่ได้อนุญาต เขาจึงรีบวิ่งไปดึงแขนเสื้อของสืออีเหนียงเบาๆ “ท่านแม่ ข้าอยากไป ข้าอยากไปขอรับ!”
งานที่ครึกครื้นเช่นนี้ ถือว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับยุคสมัยโบราณที่จัดงานเช่นนี้ค่อนข้างน้อย
“ได้สิ!” สืออีเหนียงคิดในใจว่าปีนี้สวีซื่อจุนเองก็อายุสิบสี่ปีแล้ว นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เพียงแต่ว่าวันนั้นผู้คนค่อนข้างเยอะ พวกเจ้าจะต้องวางแผนให้ดีถึงจะถูก” จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “จุนเกอ เจ้าโตที่สุด น้องๆ ออกไปข้างนอกกับเจ้า เจ้าลองคิดดูว่าถึงวันนั้นควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ไปปรึกษาหารือกับพ่อบ้านไป๋เขียนกฎระเบียบขึ้นมา ถึงเวลานั้นจะได้ไม่มีใครเดินหลงทาง เจ้าว่าดีหรือไม่”
“ข้าหรือขอรับ” สวีซื่อจุนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจแทน “ได้ขอรับ ข้าจะไปปรึกษาพ่อบ้านไป๋ประเดี๋ยวนี้เลย” พูดจบเขาก็เดินเข้าไปจูงมือสวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็พากันเดินออกไปข้างนอก
สืออีเหนียงเดินออกไปส่งสองพี่น้องที่หน้าประตู เวลานั้นเองนางก็ได้เหลือบไปเห็นรองเท้าที่สวีซื่อเจี้ยสวมอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
สีหน้าของสืออีเหนียงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่กลับเข้ามาแล้ว ก็ได้เรียกซื่อสี่มาถามทันที “รองเท้าที่คุณชายน้อยห้าสวมอยู่นั้นได้มาจากไหน ฝีมือช่างปักในโรงเย็บปักถักร้อยของเราก็ไม่น่าจะทำรองเท้าออกมาหยาบเช่นนี้”
ซื่อสี่ค่อนข้างงุนงง “รองเท้าที่คุณชายน้อยห้าสวมตอนออกไปคือรองเท้าที่บ่าวทำเองเจ้าค่ะ ทำจากผ้าไหมสีดำเงาปักด้วยลายเมฆสีเขียว…”
สวีซื่อเจี้ยสวมรองเท้าผ้าสีดำธรรมดาอย่างนั้นหรือ
“ข้ารู้แล้ว!” สืออีเหนียงตอบกลับ จากนั้นก็ให้นางถอยออกไป
กลางคืนตอนที่สวีซื่อเจี้ยมาคารวะนาง สืออีเหนียงก็สังเกตเห็นว่าเขาเปลี่ยนไปสวมรองเท้าผ้าทอสีดำแล้ว
“เอ๊ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับถามขึ้นด้วยสีหน้าที่แปลกใจ “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงได้เปลี่ยนมาสวมรองเท้าคู่นี้เล่า”
สวีซื่อเจี้ยขยับเท้าหลบด้วยสีหน้าที่กังวลใจ ราวกับว่าต้องการจะใช้ชายเสื้อผ้าบดบังรองเท้า “ข้าพึ่งกลับมาถึงก็ถูกพี่สี่เรียกไปปรึกษาหารือเรื่องที่จะไปดูโคมไฟ ก็เลยไม่ทันได้เปลี่ยนรองเท้าขอรับ” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
“เช่นนั้นหรือ” สืออีเหนียงตอบกลับเขาราวกับว่าได้รับฟังเขาอธิบายด้วยความตั้งใจ จากนั้นนางก็ได้ถามถึงเรื่องที่จิ่นเกอจะไปดูโคมไฟขึ้นมา “พ่อบ้านไป๋บอกว่าจะส่งคนคุ้มกันติดตามไปด้วยราวหกเจ็ดคน…”
นางฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ รู้สึกว่าเรื่องนี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว จึงยิ้มพร้อมกับให้กำลังใจเขาว่า “เจ้านำเรื่องนี้ไปพูดกับพ่อของเจ้า เขาจะได้สบายใจ!”
สวีซื่อเจี้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขานรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
หลังจากที่เดินออกไปส่งสองพี่น้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็รีบเรียกหู่พั่วเข้ามาทันที “เจ้าไปบอกสามีของซิ่วเหลียนว่าให้ไปช่วยข้าตรวจสอบอะไรหน่อย ดูว่าช่วงนี้คุณชายน้อยห้าไปทำอะไรที่ร้านหนังสือบ้าง คบค้าสมาคมกับใครบ้าง โดยเฉพาะช่วงบ่ายของวันนี้ว่าเขาไปทำอะไรบ้าง”
หู่พั่วขานรับ จากนั้นก็รีบถอยออกไปทันที