การบันทึกเทปรายการสิ้นสุดลง
จะยังไม่ออกอากาศในตอนนี้
วันนี้คือวันอาทิตย์ ตามประกาศของทีมงานรายการ รายการจะออกอากาศในวันอาทิตย์หน้า
นอกจากนั้น สถานีโทรทัศน์ช่องสองและแพล็ตฟอร์มวิดีโอออนไลน์อีกหลายแห่งจะออกอากาศพร้อมกัน เพื่อทำให้เกิดกระแสมากที่สุด!
หลินเยวียนไม่ได้รั้งรออยู่ที่นั่นนาน ตรงกลับบ้านในทันที
ชุดของหลานหลิงอ๋อง เขาให้กู้ตงนำกลับไปแล้ว จะสวมใส่อีกครั้งในการแข่งขันตอนถัดไป อย่างไรก็ตาม หลินเยวียนจำเป็นต้องสรุปการแข่งขันในครั้งนี้ให้ดี…
การได้ที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี
แต่สำหรับรายการซึ่งบันทึกเทปครั้งละหลายตอน การได้อันดับหนึ่งเพียงครั้งเดียวไม่ได้มีความหมายมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น หลินเยวียนได้อันดับที่หนึ่งในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะอาศัยความสามารถของเขาเพียงอย่างเดียว
คะแนนโหวตนั้นทำให้เห็นเป็นประจักษ์มากที่สุด!
หลินเยวียนได้คะแนนโหวตเท่ากับหงส์ขาว แต่คะแนนโหวตน่าสนใจมาก
“หงส์ขาวได้คะแนนโหวตจากผู้ชมน้อยกว่าฉันสองคะแนน จากกรรมการประเมินน้อยกว่าฉันสี่คะแนน แต่คะแนนโหวตจากกรรมการตัดสินกลับมากกว่าฉันสิบคะแนน เพราะฉะนั้นเท่ากับฉันชนะจากผู้ชมกับกรรมการประเมิน แต่กลับแพ้ที่คณะกรรมการตัดสิน”
ผู้ชมและกรรมการประเมินมักให้คะแนนจากความรู้สึก
หลินเยวียนร้องเพลงคู่ชายหญิงด้วยตัวคนเดียวนั้นเป็นเรื่องที่พิเศษมาก กอปรกับทำนองเพลงเหน็บหนาวนั้นติดหูเหลือเกิน ดังนั้นผู้ชมจึงเต็มใจโหวตให้
แต่กรรมการตัดสินอาศัยเหตุผลและหลักการ
แม้ว่าพวกเขาจะให้คะแนนสูง ถึงอย่างไรเสียงของหลินเยวียนก็ฟังไม่ออกถึงร่องรอยของฟอลเซตโต นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยอมรับหงส์ขาวมากกว่า
ทำไมน่ะหรือ?
ก็เพราะเพลงที่หงส์ขาวเลือกนั้นยากกว่าเพลงของหลินเยวียน นอกจากนั้นทักษะในการร้องเพลงของหงส์ขาวนั้นดีกว่าหลินเยวียน ฉะนั้นถึงแม้หลินเยวียนจะได้อันดับที่หนึ่งร่วมกัน แต่ข้อด้อยของเขาก็ถูกเปิดเผยอย่างเต็มที่ นั่นคือ
ทักษะในการร้องเพลง!
ต้องบอกก่อนว่าอันดับที่หนึ่งของหลินเยวียนคือโบนัสจากความแปลกใหม่ที่ผู้ชมได้รับ!
ตนร้องเพลงด้วยเสียงผู้ชายและผู้หญิงพร้อมกัน แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง ผู้ชมซึ่งได้เห็นการแสดงประเภทนี้ย่อมรู้สึกประหลาดใจ
เรียกว่าตกตะลึงก็คงได้!
ข้อเท็จจริงได้เป็นไปตามที่หลินเยวียนคาดการณ์ไว้
แต่ว่า…
ถ้าหากในเวทีต่อไปหลินเยวียนยังใช้ลูกเล่นเดิม ผู้ชมอาจยังรู้สึกตกตะลึง ทว่าระดับของความตกตะลึงนี้จะลดลงอย่างแน่นอน
อย่างน้อยคะแนนโหวตจะไม่มีทางสูงเหมือนกับในครั้งแรก
เช่นเดียวกับวัยรุ่นที่ได้ดูหนังผู้ใหญ่ครั้งแรกมักเขินอายจนใบหูแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อดูไปหลายครั้งเข้ากลับไม่รู้สึกอะไร…
แน่นอนว่ายังชอบดูอยู่ เพียงแต่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นถึงขนาดนั้น
“ดังนั้นฉันต้องพยายามฝึกฝนทักษะการร้องเพลง ถ้าทักษะการร้องเพลงของฉันไม่พัฒนา ถึงจะไม่ตกรอบในไม่กี่ตอนแรก แต่นักร้องที่ฉันเจอจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถอดหน้ากากไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถอดอยู่ดี”
หลินเยวียนหมายจะเตรียมรับมือกับอันตรายยามที่สถานการณ์ยังคงสงบสุข
ทั้งสองเสียงนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ กระบวนท่านี้สามารถใช้ได้ทั่วทั้งปฐพี
อย่างไรก็ตาม ในรายการเพลงซึ่งมีความเป็นมืออาชีพสูง กระบวนท่านี้กลับการันตีผลลัพธ์ไม่ได้เสมอไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรรมการตัดสินซึ่งให้ความสำคัญกับทักษะในการร้องเพลงเป็นอย่างมาก
ต้องพัฒนาทักษะในการร้องเพลง!
แม้ว่าเวลาออกจะกระชั้นอยู่บ้าง แต่ความพยายามที่จำเป็นนี้ อย่างไรก็ต้องทำให้ได้
หลินเยวียนตัดสินใจว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะฝึกฝนทักษะในการร้องเพลงของตน
ในขณะนั้นเอง
จู่ๆ ก็ปรากฏข้อความแจ้งเตือนหนึ่งจากระบบ “ตรวจสอบทราบความต้องการของโฮสต์ ไม่ทราบว่าโฮสต์ยินดีจ่ายเงินจ้างระบบ และรับการฝึกร้องเพลงระดับมืออาชีพจากระบบหรือไม่?”
“…”
หลินเยวียนอึ้งไป
เดิมทีเขาคิดว่าจะไปหาครูสอนร้องเพลงที่บริษัท นึกไม่ถึงว่าทางระบบถึงกับเสนอการเจรจาธุรกิจขึ้นมา!
เขาเอ่ยถาม “มีสิทธิประโยชน์อะไรไหม”
ระบบ “ระบบสามารถรับประกันได้ว่าบทเรียนในการฝึกร้องเพลงซึ่งระบบมอบให้โฮสต์นั้นมีหลักการมากที่สุดในบลูสตาร์”
“เท่าไหร่”
“ห้าสิบล้าน”
ห้าสิบล้านเพื่อซื้อความรู้ในการฝึกร้องเพลงกองหนึ่ง?
สำหรับใครหลายคน ธุรกิจนี้ไม่คุ้มค่า
แต่สำหรับหลินเยวียนแล้ว มันคุ้มค่า!
เขาตอบทันควัน “ตกลง”
ระบบ “โฮสต์โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมของคุณไม่ถูกรบกวน”
หลินเยวียนล็อกประตู ก่อนจะนอนลงบนเตียงนอนด้วยท่วงท่าสบาย “ตอนนี้ได้”
“นับถอยหลังสามวินาที สาม สอง หนึ่ง”
หลังจากการแจ้งเตือนของระบบ หลินเยวียนรู้สึกว่าฉากตรงหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
เขาปรากฏตัวในห้องเรียนดนตรีเสมือนจริง
รอบด้านมีเครื่องดนตรีมากมาย
และเบื้องหน้าของเขามีร่างเสมือน
นี่คือมิติเสมือนของระบบ!
ขณะที่หลินเยวียนใช้การ์ดตัวละครหยางจงหมิงสอนการประพันธ์เพลงกับตน มิติเสมือนเช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน
เมื่อเงยหน้าขึ้น
หลินเยวียนจ้องมองร่างนี้ รู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
เขามองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดด้วยซ้ำไป คงจะเป็นร่างอวตารของระบบอะไรทำนองนั้น?
“ผมคือครูสอนร้องเพลงของคุณ”
อีกฝ่ายมีเสียงของชายฉกรรจ์ “หลังจากนี้ผมจะฝึกเสียงให้คุณ คุณมีทั้งหมดสามเสียง ถ้าคุณสามารถใช้เสียงทั้งสามประเภทนี้ได้อย่างยืดหยุ่น เสียงจะแสดงผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน นี่คือคาบเรียนแรกที่ผมจะสอนคุณ”
“เสียงสามประเภท?”
หลินเยวียนตอบตามสัญชาตญาณ “ผมมีแค่สองเสียง”
เขามีเสียงผู้ชายซึ่งเป็นเสียงเดิม และเสียงผู้หญิงซึ่งระบบมอบให้
จะนับฟอลเซตโตด้วยคงไม่ได้ล่ะมั้ง?
ฟอลเซตโตเป็นเพียงเทคนิคในการร้องเพลงโดยใช้ลมหายใจ
น้ำเสียงของร่างเสมือนนั้นไร้อารมณ์ “หลังจากคอของคุณบาดเจ็บ จึงจับพลัดจับผลูไปได้เสียงแหบมาด้วย”
หลินเยวียนประหลาดใจ “เสียงแหบ?”
ตู้ม!
ประหนึ่งมีสายฟ้าวาบผ่านสมอง ทันใดนั้นหลินเยวียนจึงเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
“คุณหมายความว่า เสียงที่เกิดขึ้นหลังจากที่คอของผมได้รับบาดเจ็บ และเสียงนั้นยังคงอยู่…”
เส้นเสียงของหลินเยวียนเคยบาดเจ็บมาก่อน
หลังจากได้รับบาดเจ็บ หลินเยวียนก็ไม่สามารถร้องเพลงได้อีกต่อไป
เพราะเสียงของเขาไม่มีเสน่ห์ แต่กลับแหบพร่า
ขณะพูดปกติอาจรู้สึกไม่ชัดเจน แต่ทันทีที่ร้องเพลง ความรู้สึกแหบพร่ายังคงอยู่
กล่าวตามหลักการแล้ว เสียงนี้ไม่ได้แย่ อย่างน้อยก็ไม่ได้กระดากหู
แต่ปัญหาอยู่ที่…
หลินเยวียนใช้เสียงนี้ไม่ได้!
ด้วยความรักในการร้องเพลงของเจ้าของร่างเดิม หลินเยวียนไม่ใช่ไม่เคยลองใช้เสียงนี้ร้องเพลง
แต่ทุกครั้งที่เขาฝืนตนเองให้ร้องเสียงนี้ เขาจะรู้สึกถึงความเจ็บคอ
ยิ่งเขาร้องเพลงเป็นเวลานาน ยิ่งเขาร้องเพลงด้วยคีย์ที่สูงขึ้น ความเจ็บปวดนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้น ประหนึ่งคอของเขาจะฉีกออกจากกัน!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
เสียงนี้ไพเราะก็จริง แต่หลินเยวียนใช้ไม่ได้ เขาจะรู้สึกเจ็บเจียนตายทันทีที่ใช้!
มีครั้งหนึ่งที่เขาฝืนทนความเจ็บปวดนี้และขับร้องสองเพลง คีย์ไม่นับว่าสูง ปรากฏว่าในคืนนั้นเกิดอาการคออักเสบอย่างรุนแรง จนกินข้าวไม่ได้ รักษาอยู่หนึ่งสัปดาห์กว่าจะกลับมาพูดได้อีกครั้ง
นี่คือเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาว่าทำไมหลินเยวียนจึงยอมแพ้ด้านการร้องเพลง
มีที่ไหนนักร้องรู้สึกว่าการร้องเพลงสักเพลงนั้นเป็นเรื่องยากเย็น?
นอกจากนั้น…
ความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อหลินเยวียนคือเขาพูดน้อย
อันที่จริงก่อนที่เสียงของหลินเยวียนจะพัง สามารถพูดคุยกับผู้คนได้อย่างสนุกสนานเป็นบางครั้งคราว ไม่ได้สงวนวาจาราวกับกลัวดอกพิกุลร่วงเช่นตอนนี้อย่างแน่นอน
แต่น่าเสียดายที่หลังจากเสียงของเขาพัง เขาพูดได้ไม่มาก เพราะถ้าพูดมากเกินไป เขาจะใช้เสียงมากเกินไป
“อื้ม”
“อ้อ”
“โอเค”
“…”
ฟังเย็นชาเหลือเกิน หลินเยวียนมักจะทำให้คนรู้สึกว่าเขาพูดน้อย โดยมากจะให้ภาพจำว่าเงียบขรึมอยู่เสมอ
แต่เหตุผลเบื้องหลังนั้นกลับจนใจจริงๆ
เมื่อไม่นานมานี้ ระบบได้ซ่อมแซมเสียงของหลินเยวียนแล้ว เสียงของเขากลับมามีพลังอีกครั้ง ดังนั้นหลินเยวียนจึงคิดไปตามสัญชาตญาณว่า เสียงซึ่งคล้ายกับ ‘เสียงแหบ’ ที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับบาดเจ็บได้หายไปแล้ว
แต่กลับไม่ได้มีอะไรน่าเสียดาย
เสียงนี้ไม่ได้แย่ก็จริง แต่ไม่มีประโยชน์
ใช้เสียงไม่ได้ จะไพเราะเสนาะหูแล้วอย่างไร
แต่ตอนนี้ ได้ฟังคำพูดของร่างเสมือนแล้ว คล้ายกับว่าเสียงแหบของตนยังไม่หายไป
“ใช่แล้ว”
ราวกับว่าจะคาดเดาความคิดของหลินเยวียนออก ร่างเสมือนเอ่ยเสียงเรียบ
“เสียงนี้ยังซ่อนอยู่ในเส้นเสียงของคุณ และตอนนี้คุณสามารถใช้ได้แล้ว”
หลินเยวียน “…”
หมายความว่าตนมีเสียงสามประเภทจริงๆ?
ระบบซ่อมแซมเสียงของตน คืนเสียงเดิมให้กับตน แต่ ‘เสียงแหบ’ นั้นก็ยังไม่ได้หายไป?
อืม
เสียงนี้ต่างจากเสียงแหบที่ทุกคนคุ้นเคย คงจะดีกว่าหากบอกว่าเป็นเสียงแหบที่กลายพันธุ์ ผลลัพธ์คล้ายคลึงกันมากจริงๆ
“ฉันขอลอง”
หลินเยวียนใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมา
ถ้าสามารถนำเสียงนี้ไปใช้ได้จริง หลินเยวียนก็จะมีสามเสียงจริงๆ!
เสียงผู้ชายซึ่งเป็นเสียงเดิม เสียงผู้หญิงกังวานใส และเสียงแหบซึ่งกลายพันธุ์จากอาการป่วย…
สำหรับนักร้องคนหนึ่งแล้ว นี่คือความเย้ายวนใจที่ไม่อาจต้านทานได้!
เขาเริ่มร้องเพลงด้วยความตื่นเต้น นี่คือบทเพลงสุดคลาสสิกของบลูสตาร์ซึ่งจำเป็นต้องใช้เสียงแหบในการขับร้อง
ถ้าไม่มีเสียงแหบ จะไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ของเพลงได้
แต่เมื่อร้องประโยคแรก หลินเยวียนก็ส่ายหน้า
ยังคงเป็นเสียงเดิมของเขา
เขาเริ่มหวนนึกถึงเสียงของตนหลังจากบาดเจ็บ และลองร้องต่อไป ทว่ายังคงไม่ประสบผลสำเร็จ
เขาอดมองไปยังร่างเสมือนไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ที่ดูคล้ายกับร่างอวตารของระบบจะหลอกลวงเขาจริงหรือ?
เสียงซึ่งมาจากการบาดเจ็บจะยังอยู่จริงหรือ?
“ไม่ต้องมองผม”
ร่างเสมือนกล่าว “นี่ไม่ใช่งานง่ายอย่างแน่นอน แต่คุณควรมีวิธีเสาะหาเสียงนี้ เพราะเสียงนี้เคยทำให้คุณเกลียดชังมันมาก่อน”
หลินเยวียนจนใจ
เขาเกลียดเสียงนั้นจริงๆ
เพราะเขาไม่มีทางใช้เสียงนั้นร้องเพลงได้เลย
เสียงนั้นคอยย้ำเตือนหลินเยวียนอยู่เสมอว่าความฝันทางดนตรีของเขาได้พังทลายลง และเสียงของเขานั้นไร้ประโยชน์
เขาทำได้เพียงพยายามต่อไป
ผลปรากฏว่า ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้ง ก็ล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง…
“ทำต่อไป!”
เสียงของร่างเสมือนนั้นยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
หลินเยวียนหยุดลงชั่วขณะ “เสียงของผมจะได้รับผลกระทบไปด้วยไหม”
การฝึกซ้อมร้องเพลงที่มากเกินพอดี จะส่งผลเสียต่อเสียง หลินเยวียนให้ความรักและทะนุถนอมกับเสียงเป็นอันดับแรก
ระบบตอบ “นี่คือมิติความคิดของระบบ ไม่มีทางทำลายเสียงของคุณ แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้ที่นี่ยังคงต้องได้รับการฝึกฝนเพื่อที่จะประยุกต์ใช้ในความเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์”
หลินเยวียนเข้าใจแล้ว
ห้าสิบล้านช่างคุ้มค่าจริงๆ
ในเมื่อที่นี่ เสียงของเขาจะไม่หายถ้าหากร้องเพลงมากเกินไป งั้นเขาก็สามารถปลดปล่อยได้อย่างเต็มที่
ฝึกซ้อมต่อไป!
ความดื้อดึงในกระดูกของหลินเยวียนถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว
แสวงหาความรู้สึกต่อไป
จากนั้นก็ล้มเหลวต่อไป…
หลังจากมีระบบ หลินเยวียนจึงสามารถสัมผัสรสชาติที่สูญหายไปนาน
แต่วันนี้ในมิติของระบบ หลินเยวียนค้นพบความรู้สึกล้มเหลวทั้งหมดที่หายไปกลับมาทั้งหมด
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
ยามที่การฝึกซ้อมล้มเหลวอีกครั้ง หลินเยวียนไม่ได้สงสัยระบบ แต่กลับสงสัยในตัวเอง
ความมั่นใจของเขาเริ่มสั่นคลอน
เขาไม่กล้าอ้าปากร้องเพลงแล้ว ต่อให้การฝึกซ้อมในครั้งนี้จะไม่ส่งผลเสียต่อคอของเขาก็ตาม
เขานิ่งเงียบ
เงาเสมือนซึ่งพูดแทบตลอดเวลาก็พลันเงียบลงเช่นกัน ไม่ได้เร่งเร้าหลินเยวียนต่อ
ในภวังค์
จู่ๆ หลินเยวียนก็นึกถึงภาพของเหตุการณ์ที่เขาเคยประสบมา
เป็นภาพในโรงพยาบาล
หลินเยวียนนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ลืมตาขึ้นมาอย่างว่างเปล่า
มีเสียงแผ่วเบาจากที่ไกลดังขึ้นเป็นระยะ
“โชคดีที่มาทันเวลา ไม่อย่างนั้นอาจช่วยไว้ไม่ทัน”
“เราใช้ยาที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ร่างกายของเขาอาจบวมไปสักระยะ นอกจากนั้นอาการป่วยในครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะควบคุมได้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลตามมา…”
“ได้ยินว่าเขาเป็นนักศึกษาสาขาการขับร้อง…”
“ขอโทษด้วย หลังจากนี้เขาจะร้องเพลงไม่ได้อีกแล้ว แต่ถ้าเทียบกับชีวิตของเขา คอพังไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ยังพูดได้…”
หลินเยวียนซึ่งอยู่บนเตียงก็ฝืนทนความเจ็บปวด หยัดกายลุกขึ้นนั่ง พยายามอ้าปากเปล่งเสียง
เขากำลังร้องเพลง
แต่ถึงอย่างนั้นยามที่เสียงของเขาดังขึ้น ความเจ็บปวดอันรุนแรงก็แล่นผ่านลำคอของเขาทันที
ทว่าเขาไม่ได้สนใจความเจ็บปวด เขาเพียงแค่ตกใจ เมื่อพบว่าเสียงของเขาในตอนนี้ฟังดูไม่คุ้นหูเอาซะเลย
“…”
ความทรงจำจบลง
แววตาของหลินเยวียนระคนความเศร้า
เขาเปล่งเสียงโดยไม่รู้ตัว ร้องเพลงออกมาสามสี่ประโยค
เสียงที่ดังขึ้นในมิติเสมือนครั้งนี้ เป็นเสียงแหบแห้งที่สากมาก เจือปนกับความโศกเศร้า มันเหมือนกับเสียงที่ดังขึ้นที่โรงพยาบาลในวันนั้น และเขาจำต้องเก็บงำไว้หลายปีหลังจากได้รับบาดเจ็บ
สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือ…
คอของหลินเยวียนไม่เจ็บอีกต่อไป
เขาหาเสียงที่สามของตนเจอแล้ว
…………………………………………..