“ถามท่านอาห้า?” สวีซื่อเจี้ยสีหน้าพลันกระอักกระอ่วนใจ “แต่เราแอบสืบเรื่องในอดีตลับหลังท่านพ่อเช่นนี้…เกรงว่าท่านอาห้าคงจะไม่ช่วยพวกเรา!”
ในความทรงจำของเขา ท่านอาห้าท่าทีเย็นชากับเขามาตลอด เขาไม่มั่นใจว่าท่านอาห้าจะช่วยพวกเขา แต่ท่านอาห้าใจดีกับพี่สี่ หากพี่สี่เป็นคนถาม มันอาจจะไม่เหมือนกัน…
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด สวีซื่อจุนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าเราจะไปถามตรงๆ ไม่ได้ เราต้องหาข้องอ้าง บอกว่าเราบังเอิญได้ยินเรื่องของหลิ่วฮุ่ยฟังและหลิ่วขุยสองพ่อลูก ให้ท่านอาห้าเล่าเรื่องตอนนั้นให้เราฟัง!” เขายิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตัวเองไม่เลวเลยทีเดียว” ท่านอาห้าชอบพูดเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นเราค่อยๆ ถาม ต้องได้เบาะแสอะไรแน่นอน!” พูดจบ เขาก็ลากสวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนของฮูหยินห้า “เชื่อใจข้าเถิด!”
สวีซื่อเจี้ยเดินตามหลังสวีซื่อจุนไปด้วยความลังเล
สวีลิ่งควนไม่อยู่ที่เรือน
“พวกเจ้ามาหาเขาทำไมหรือ” ฮูหยินห้าบอกให้สาวใช้นำลูกพลับและส้มเข้ามาต้อนรับพวกเขา “เขาจะกลับมายามโหย่ว”
พวกเขาสองคนผิดหวัง
“ได้ยินว่าพวกเรามีหลานสาวแล้ว ท่านลุงสามเชิญคณะเต๋ออินปานไปร้องงิ้ว เราเลยมาถามท่านอาห้าว่าคณะเต๋ออินปานขับร้องเพลงอะไรบ้างขอรับ” สวีซื่อจุนพูดคุยกับฮูหยินห้าสองสามประโยค จากนั้นก็ขอตัวลา
เดินผ่านประตูหลังของเรือนหลัก ก็เห็นสาวใช้น้อยสองคนนั่งเล่นพันด้ายอยู่บนบันได
“หรือว่า เราไปหาท่านแม่ดี?” สวีซื่อจุนพูด “รอให้ถึงยามโหย่วแล้วค่อยไปที่เรือนท่านอาสะใภ้ห้าอีกครั้ง”
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับรู้สึกไม่สบายใจ
เขามองดูกิ่งไม้สีเขียวที่ยื่นออกมาจากกำแพง ภาพสืออีเหนียงที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มลอยเข้ามาในหัวของเขา ราวกับได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของสืออีเหนียงกำลังพูดว่า ‘เจี้ยเกอ ช้าๆ หน่อย…’
สวีซื่อเจี้ยพลันน้ำตาคลอเบ้า
เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดอย่างขมขื่น “เรากลับไปรอที่เรือนดีกว่าขอรับ!” จากนั้นก็เดินผ่านประตูหลังเรือนหลักไป
สาวใช้น้อยสองคนรีบลุกขึ้นแล้วตะโกนเอ่ยทักทาย “คุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยห้า!”
สวีซื่อเจี้ยใจลอย
แต่สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพยักหน้าให้พวกนาง จากนั้นก็รีบเดินตามสวีซื่อเจี้ยไป
“ข้าคิดว่า เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้” ช่วงนี้ สวีซื่อจุนสังเกตเห็นความเจ็บปวดและทรมานใจของสวีซื่อเจี้ยตลอด เขาสงสารน้องชายคนนี้ของตัวเอง “ในสายตาของทุกคน เจ้าคือคุณชายน้อยห้าของจวนหย่งผิงโหว ท่านพ่อท่านแม่ไม่ว่าอะไร แล้วใครจะมีสิทธิ์ว่าอะไร สิ่งที่คนอื่นพูดล้วนแต่เป็นแค่ข่าวลือ…”
“ข้ารู้ขอรับ” สวีซื่อเจี้ยขัดจังหวะสวีซื่อจุน เขาพูดด้วยท่าทีเศร้าโศก “แต่ข้าไม่สบายใจ…ยิ่งพวกท่านดีกับข้ามากเท่าไร ข้าก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากเท่านั้น…”
สวีซื่อจุนได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาหยุดเดินแล้วยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
จู่ๆ คนข้างๆ ก็หายไป สวีซื่อเจี้ยหันกลับมา “เป็นอะไรไป…” แต่กลับเห็นใบหน้าซีดเซียวของสวีซื่อจุน
เกิดอะไรขึ้น เพราะตนเสียมารยาทขัดจังหวะพี่สี่ พี่สี่เลยโกรธตนอย่างนั้นหรือ หรือว่าตนเผลอพูดอะไรที่ทำให้พี่สี่ไม่สบายใจ?
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีซื่อเจี้ยก็รีบปฏิเสธการคาดเดาของตัวเองทันที
พี่สี่ไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น แต่กลับเป็นเขาที่ตั้งแต่สงสัยตัวตนของตัวเอง ก็มักจะชอบคิดฟุ้งซ่าน…
“พี่สี่ขอรับ!” เขาดึงแขนเสื้อของสวีซื่อจุนด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
ราวกับถูกฟ้าผ่า สวีซื่อจุนตัวสั่นเทา จากนั้นก็คว้ามือสวีซื่อเจี้ยวิ่งออกไปยังลานนอก
“พี่สี่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยตกใจ
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” สวีซื่อจุนตะโกนเสียงดัง หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลซึม “รีบกลับไปเรือนต้านปั๋วไจกันเถิด”
พฤติกรรมที่แปลกไปของเขาทำให้สวีซื่อเจี้ยไม่กล้าถามอะไรอีก รีบวิ่งตามสวีซื่อจุนกลับไปที่เรือนต้านปั๋วไจ
สวีซื่อจุนไม่สนใจบ่าวรับใช้ที่ย่อเข่าคำนับตัวเอง เขาตะโกนเรียกหวังซู่ จากนั้นก็กระซิบกระซาบอะไรกับหวังซู่แล้วปิดประตูเสียงดัง
“พี่สี่เป็นอะไรไปขอรับ” สวีซื่อเจี้ยถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่เป็นอะไร!” สวีซื่อจุนนึกถึงความคิดของตัวเอง สายตาของเขามีความตื่นตระหนก “เราอยู่ในห้องสักประเดี๋ยว” จากนั้นก็หาหนังสือยื่นให้สวีซื่อเจี้ยเล่มหนึ่ง “เจ้าอ่านหนังสือรอสักประเดี๋ยว” แต่ตัวเองกลับเดินไปเดินมารอบห้องด้วยท่าทีเป็นกังวล
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สวีซื่อเจี้ยจะทนมองอยู่ได้เช่นไร เขาถามสวีซื่อจุนสองสามครั้ง สวีซื่อจุนก็บอกแค่ให้เขารอ เขาจึงยกมือขึ้นมาเท้าคางมองสวีซื่อจุนเดินไปเดินมารอบห้อง
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป หวังซู่ก็มาเคาะประตู
สวีซื่อจุนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กลับมา
สวีซื่อเจี้ยลุกขึ้นแล้วถามเขา “เกิด เกิดอะไรขึ้นขอรับ…” เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“น้องห้า” สวีซื่อจุนขยับริมฝีปาก “แม้แต่เรายังสืบได้…ตอนนั้นท่านพ่อสู้รบอยู่ที่ซีเป่ย…ท่านพ่อจะไม่รู้ได้เช่นไร…ท่านพ่อคือหย่งผิงโหว ใครจะกล้ามาเอาเปรียบหรือหลอกลวง…ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ท่านพ่อยังไม่สนใจ…ท่านพ่อก็คงจะสมัครใจ…ว่ากันว่า ตอนนั้นท่านอาห้าเลี้ยงดูคณะงิ้วอยู่ข้างนอก เคยเรียนร้องเพลงกับคนอื่น…ต่อมา คนที่รู้เรื่องครอบครัวหลิ่วก็หายตัวไปกันหมด…”
เมื่อครู่เขานึกถึงเรื่องที่ท่านย่าเคยโมโหท่านอาห้า เรื่องที่ท่านอาห้าแอบเลี้ยงคณะงิ้วเมื่อตอนที่เขายังเด็ก ดูเหมือนว่าตัวเอกของคณะก็แซ่หลิ่วเหมือนกัน เขาบอกให้หวังซู่ไปถามคนเฒ่าคนแก่ในจวน มั่นใจแล้วว่าตัวเอกคนนั้นก็คือหลิ่วฮุ่ยฟัง
น้ำเสียงของสวีซื่อจุนสั่นเทา พูดอย่างตะกุกตะกัก แต่สวีซื่อเจี้ยกลับฟังเข้าใจเป็นอย่างดี
สีหน้าของเขาหม่นหมองลงเหมือนสวีซื่อจุน
พวกเขาสองคนมองออกไปทางเรือนของฮูหยินห้าพร้อมกัน
เป็นไปได้อย่างไร
ไม่มีทาง!
ตัวเองจะเป็นบุตรชายของท่านอาห้าได้เช่นไร
ไม่มีทาง…
หากเขาไม่ใช่ลูกของท่านพ่อ ก็ต้องเป็นบุตรบุญธรรมของถงอี๋เหนียง จะกลายเป็นบุตรชายของท่านอาห้าได้อย่างไร
เขานึกถึงความอ่อนโยนที่ตนเคยเห็นในสายตาของท่านพ่อตอนที่ท่านพ่อเช็ดมุมปากให้ตน นึกถึงความพอใจที่ท่านพ่อเห็นเขาเขียนตัวอักษร…แล้วนึกถึงคนที่ทำเป็นมองไม่เห็นตัวเองในห้องที่ครึกครื้นช่วงเทศกาลต่างๆ นึกถึงความเย็นชาของคนคนนั้นตอนที่บังเอิญเจอกับตน…
“มีอะไรผิดพลาดหรือไม่” สวีซื่อเจี้ยจับแขนสวีซื่อจุนแน่น “ท่านให้หวังซู่ไปถามอีกครั้ง มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน! ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน…”
สวีซื่อจุนไม่พูดไม่จา มองดูสวีซื่อเจี้ยเงียบๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ในใจ
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดงก่ำ เขาผลักทุกคนที่อยู่ข้างๆ ออกแล้ววิ่งออกไปข้างนอก “ข้าจะไปถาม ข้าจะไปถาม…”
สาวใช้ไม่ทันได้ตั้งตัว ถูกสวีซื่อเจี้ยผลักล้มลงบนพื้น ฝีเท้าของเขาช่างรวดเร็ว
แย่แล้ว!
เขาทำเช่นนี้ มันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
หากท่านพ่อถาม เขาจะตอบอย่างไร
“น้องห้า!” สีหน้าของสวีซื่อจุนเปลี่ยนไป ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งตามสวีซื่อเจี้ยออกไปแล้วเรียกหวังซู่ที่เฝ้าอยู่นอกประตู “เร็วเข้า จับตัวน้องห้าเอาไว้!”
หวังซู่ขานรับ “ขอรับ” แล้วรีบวิ่งตามออกไปทันที
สวีซื่อจุนเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ วิ่งตามออกไปด้วยลมหายใจที่หอบถี่ “น้องห้า รอข้าด้วย!”
อิฐทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่ใต้เท้า เสาที่สูงจรดเพดานดูเงียบสงัด ต้นไม้สีเขียวที่สูงชะลูด…ภาพที่เคยทำให้เขารู้สึกว่ามันสวยงาม ตอนนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเหมือนเดิม
สวีซื่อเจี้ยน้ำตาไหลริน
เขาจะไปถาม…พี่สี่ต้องทำอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน เขาจะไปถามเอง…
ทันใดนั้นก็มีคนจับแขนเขาเอาไว้
เขาดิ้นอย่างแรง สะบัดคนคนนั้นไปข้างหลัง
“คุณชายน้อยห้าขอรับ!” หวังซู่คิดไม่ถึงว่าสวีซื่อเจี้ยจะสะบัดมือเขาหลุด จากนั้นก็วิ่งตามสวีซื่อเจี้ยไปอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก ครั้งนี้เขาได้รับบทเรียนแล้ว เลยพุ่งเข้าไปข้างหลังสวีซื่อเจี้ยแล้วกอดเอวของเขาเอาไว้
สวีซื่อเจี้ยราวกับปลาที่ติดอยู่ในแห ไม่ว่าจะดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุด
“ปล่อยข้า ปล่อยข้า!” สวีซื่อเจี้ยตะโกน คอของเขาแดงไปหมด “พวกเจ้าโกหกข้า พวกเจ้าโกหกข้า…”
ป้ารับใช้ที่เดินผ่านมายืนชี้อยู่ไกลๆ
สวีซื่อจุนที่วิ่งตามมาด้วยสีหน้าซีดเซียว เขาวิ่งเข้าไปจับมือสวีซื่อเจี้ย “เจ้าอยากให้ทุกคนทั้งจวนรู้เช่นนั้นหรือ ถึงตอนนั้นท่านแม่จะทำอย่างไร เจ้าจะให้ท่านแม่ขอโทษเจ้าหรือให้ท่านแม่ไปขอร้องท่านย่าให้เจ้า”
สวีซื่อเจี้ยตัวแข็งทื่อด้วยความตะลึงงัน
น้องห้าเคารพท่านแม่มากที่สุด
สวีซื่อจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ลากเขากลับไป! อย่าให้ใครเห็น!”
หั่วชิงรีบเดินเข้าไปช่วยหวังซู่พาสวีซื่อเจี้ยกลับไปยังเรือนต้านปั๋วไจ
ปี้หลัวเดินออกมา “เกิดอะไรขึ้น” นางพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“น้องห้าทะเลาะกับข้า” สวีซื่อจุนหอบหายใจ “บอกให้ทุกคนออกไป หากใครกล้าพูดอะไรเหลวไหล ไล่ออกไปจากจวนทันที!”
ที่ผ่านมาเขาใจกว้างกับคนอื่นเสมอ น้ำเสียงที่เข้มงวดเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงปี้หลัว แม้แต่สาวใช้ที่ดูความสนุกเมื่อครู่ก็ยังตกใจ ไม่รอให้ปี้หลัวพูด พวกนางรีบถอยออกไปจากลานอย่างไร้ร่องรอย
สวีซื่อจุนปิดประตู
“น้องห้า เจ้าอย่าทำเช่นนี้!” เขามองดูสวีซื่อเจี้ยที่กำลังเบิกตากว้าง พลันรู้สึกเห็นใจขึ้นมา “บางทีเราอาจทำอะไรผิดพลาดก็ได้ ท่านอาห้ายังไม่กลับมา ถึงตอนนั้นเราค่อยไปถามเขาก็ได้…” เขาเอ่ยปลอบใจสวีซื่อเจี้ย
“ก็ได้ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยได้ยินดังนั้นก็ฝืนยิ้ม “ท่านไปช่วยข้าสืบ ท่านต้องช่วยข้าสืบ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน”
เขารู้สึกเสียใจขึ้นมา
เหตุใดตอนนั้นถึงต้องไปตามหาสตรีที่ให้กำเนิดตัวเองด้วย
เขายอมเป็นบุตรบุญธรรมของสกุลสวี เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็จะถือเป็นบุตรชายของสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงตลอดไป!
“ท่านอาห้ากลับมาข้าจะไปถามทันที!” สวีซื่อจุนรีบปลอบใจเขา “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะช่วยเจ้าถามให้ชัดเจน!”
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับรู้สึกหวาดกลัว
เขานึกถึงสตรีที่กอดเขาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่เอ็นดู สตรีที่ทำขนมอร่อยๆ ให้เขาทาน สตรีที่ฟังเขาเป่าขลุ่ย สตรีที่จูงมือเขาไปส่งเรียน สตรีที่คอยเฝ้าดูเขาฝึกคัดตัวอักษร คอยตรวจการบ้านให้เขาภายใต้แสงไฟ…
หากท่านอาห้าตอบว่า ‘ใช่’…แล้วเขาจะทำเช่นไร
สวีซื่อเจี้ยกำมือแน่น ปล่อยให้เล็บกดลงบนฝ่ามือด้วยความกังวล
“ไม่ ไม่ ไม่” เขาเหงื่อตก “ท่านไม่ต้องไปถาม ไม่ต้องไปถามใครทั้งนั้น…” เขาพูดต่ออีก “ไม่สิ…ท่านไปช่วยข้าถามดีกว่า…” ประเดี๋ยวก็ถาม ประเดี๋ยวก็ไม่ถาม เขามีสีหน้าสับสนและย้อนแย้งกันไปหมด
สวีซื่อจุนนึกถึงภาพที่พวกเขาไปเรียนด้วยกัน ไปเตะลูกหนังด้วยกัน ไปกระโดดเชือกด้วยกัน ก็รู้สึกเศร้าใจ
“น้องห้า” เขาจับจ้องสวีซื่อเจี้ย “ไม่ว่าบิดาผู้ให้กำเนิดเจ้าจะเป็นใคร มารดาผู้ให้กำเนิดเจ้าจะเป็นใคร แต่ตอนนี้เจ้าคือคุณชายน้อยห้าของสกุลสวี ความดีที่เจ้ามีต่อข้าคือเรื่องจริง มิตรภาพที่ข้ามีต่อเจ้าก็คือเรื่องจริง เจ้าคือน้องชายของข้า!”