“ไปที่เรือนคุณชายห้า…” สืออีเหนียงพึมพำ “กลับไปถึงเรือนต้านปั๋วไจ พวกเขาสองคนก็ทะเลาะกัน?”
“คนที่เรือนต้านปั๋วไจพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ!” หู่พั่วพูดเสียงเบา
สืออีเหนียงจับหน้าผากตัวเอง
ถึงแม้สวีลิ่งอี๋บอกว่าเขาจะจัดการเรื่องที่ตามมาให้เรียบร้อย แต่ดูเหมือนว่า พวกเขาจะรู้เบาะแสอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีการเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้
นางลุกขึ้นยืน “ไปเรือนต้านปั๋วไจ!”
*****
พระอาทิตย์ยามบ่ายช่วงฤดูใบไม้ร่วง ส่องแสงกระทบต้นการบูรที่อยู่ข้างบันไดของเรือนต้านปั๋วไจ บนตั่งเหม่ยเหรินสีแดงมีกระถางดอกเบญจมาศสีขาวที่กำลังเบ่งบานวางอยู่
“ฮูหยินสี่!” สีหน้าของปี้หลัวตื่นตระหนก “ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ!” พูดจบ นางก็หันไปบอกสาวใช้ที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ “ยังไม่รีบไปรายงานคุณชายน้อยสี่กับคุณชายน้อยห้าอีก! “
สาวใช้คนนั้นได้สติกลับมา ขานรับแล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
“ข้าแค่มาดู!” สืออีเหนียงพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆ
ปี้หลัวและบรรดาสาวใช้ต่างก็ก้มหน้าลงหลบสายตาสืออีเหนียง
นางยิ้มอย่างแผ่วเบา
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเดินออกมาต้อนรับนาง
“ท่านแม่ขอรับ!” พวกเขาสองคนคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม
สืออีเหนียงมองสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยตั้งแต่หัวจรดเท้า สวีซื่อจุนดูสุขุม แต่สีหน้ากลับมีความไม่สบายใจ สวีซื่อเจี้ยตาแดงก่ำ ราวกับพึ่งร้องไห้มา สีหน้าก็ดูไม่สบายใจเช่นกัน
พวกเขาต้องรู้แล้วอย่างแน่นอนว่าสวีลิ่งควนคือบิดาผู้ให้กำเนิดของสวีซื่อเจี้ย ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ทั้งหมด แต่คาดว่าพวกเขาคงเดาออกบ้าง ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีทางรู้สึกผิดกับการมาของนางแบบนี้
นางยิ้มแล้วเดินตามพวกเขาสองคนเข้าไปข้างใน นั่งลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องรับแขก ปี้หลัวและอวี่ฮวายกน้ำชาและของว่างเข้ามา สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงเตา
สืออีเหนียงเริ่มจิบชา สวีซื่อจุนก็พูดขึ้นว่า “ท่านแม่มาที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
“ไม่มีเรื่องอันใด!” สืออีเหนียงวางถ้วยชาลง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก นางยิ้ม “ช่วงนี้ข้าเอาแต่อยู่กับน้องหกของพวกเจ้า อยากดัดนิสัยดื้อรั้นของเขา จึงพูดคุยกับเขายามบ่ายทุกวัน วันนี้วันหยุด อาจารย์จ้าวพาเขาไปอารามเมฆขาว ข้าเลยมีเวลาออกมาเดินเล่น”
วันนั้นท่านแม่ยืนมองเขาอยู่หน้าประตูเงียบๆ ท่าทีราวกับรอให้เขาพูด เห็นได้ชัดว่าท่านแม่รู้อะไรบางอย่าง วันนี้มีการเคลื่อนไหวแค่เล็กน้อย ท่านแม่ก็รีบมาหาเขา…ท่านแม่จะเล่าความจริงให้เขาฟังอย่างนั้นหรือ ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าเขาคือบุตรชายของท่านอาห้า
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สีหน้าของสวีซื่อเจี้ยก็ปรากฏความหวาดกลัว
แต่สวีซื่อจุนกลับเผยรอยยิ้มบาง
เสียงดังเอะอะโวยวายหน้าประตูลาน อาจปิดบังท่านย่าที่อาศัยอยู่ลานหลังได้ แต่จะปิดบังท่านแม่ที่เป็นคนดูแลเรื่อในจวน แล้วยังให้ความสำคัญกับเรื่องของพวกเขามาตลอดได้อย่างไร ท่านแม่เลือกที่จะมาหาพวกเขาตอนนี้ เกรงว่าท่านแม่คงจะสังเกตเห็นแล้วกระมัง
แต่ไม่รู้ว่าท่านแม่รู้เรื่องของพวกเขามากแค่ไหน
ตามหลักแล้ว เขาควรเล่าเรื่องนี้ให้ท่านแม่ฟังอ้อมๆ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศีลธรรมของผู้ใหญ่ในตระกูลในฐานะบุตรหลานอย่างเขา เขาไม่กล้าพูดออกมาจริงๆ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ยื้อเวลาไปก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า!
บางทีตนอาจคิดมากไปเองก็ได้!
สวีซื่อจุนเก็บความคิดทั้งหมดเอาไว้ในใจ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ แล้วคล้อยตามคำพูดของท่านแม่ “ช่วงนี้น้องหกรู้ความมากขอรับ ตอนที่อาจารย์จ้าวสอนหนังสือ ไม่เพียงแต่ตั้งใจฟัง แล้วยังขอให้อาจารย์จ้าวสอนสำนวนอีกด้วย อาจารย์จ้าวดีใจเป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งที่อาจารย์จ้าวกำลังสอนเขาอย่างเพลิดเพลิน ถึงกับย้ายเวลาเรียนของน้องห้าไปยามบ่าย แล้วยังย้ายเวลาเรียนของข้าออกไปตั้งหนึ่งวัน “ สวีซื่อจุนแสร้งทำท่าทีช่วยไม่ได้ “สุดท้ายแล้วบทเรียนเรื่องหลักการของสิ่งต่างๆ ของข้า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังสอนไม่จบเลยขอรับ!” เขาพูดต่ออีก “ในเมื่อวันนี้น้องหกไม่อยู่ที่เรือน วันนี้ท่านย่าก็งดทานเนื้อ ท่านแม่อยู่ทานอาหารเย็นที่นี่เถิด ข้ายังเลี้ยงปลาจานที่ท่านมอบให้เมื่อสองวันก่อนไว้ จะได้ให้โรงครัวนำไปทำอาหาร”
ถึงแม้ว่าวันนี้ท่านแม่ไม่ต้องไปรับใช้ท่านย่าทานข้าว แต่ท่านแม่ก็คงจะไม่ทิ้งให้ท่านพ่อทานข้าวคนเดียวกระมัง! เมื่อท่านแม่ออกไปแล้ว ตนค่อยเกลี้ยกล่อมน้องห้า ประเดี๋ยวน้องห้าจะเผลอหลุดพูดอะไรออกไป ทุกคนอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน ตอนนั้นที่ท่านพ่อต้องการปิดบังเรื่องนี้ ก็คงมีเหตุผลของเขา หากพวกเขาเปิดเผยเรื่องนี้ตอนนี้ อาจจะทำให้ท่านพ่อเสียหน้า และอาจส่งผลกระทบในแง่ร้ายต่ออนาคตของน้องห้าด้วย!
สวีซื่อจุนวางแผนเอาไว้ในใจ
แต่ใครจะรู้ว่าสืออีเหนียงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ เช่นนั้นวันนี้ข้าอยู่ทานอาหารเย็นที่นี่ดีกว่า!”
“หา!” สวีซื่อจุนยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เช่นนั้น เช่นนั้นข้าจะบอกให้โรงครัวทำปลาจาน…ท่านแม่ชอบทานแบบทอดหรือว่าแบบต้มหรือขอรับ”
โยนก้อนหินใส่เท้าตัวเองจริงๆ
เขาแอบกระทืบเท้าเบาๆ พลางเหลือบมองสวีซื่อเจี้ย ส่งสายตาเป็นนัยว่า ห้ามพูดอะไรเหลวไหล
แต่สวีซื่อเจี้ยกำลังจมอยู่กับความกังวลและความหวาดกลัวของตัวเอง เลยไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของสวีซื่อจุน เขากลั้นหายใจนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น คิดอยากให้เวลาหยุดเดิน ไม่ต้องเดินต่อไปข้างหน้าอีกแล้ว
“ข้าทานอะไรก็ได้” สืออีเหนียงส่งยิ้มให้สวีซื่อจุน “เจ้าบอกให้โรงครัวทำตามที่พวกนางถนัดเถิด”
สวีซื่อจุนไม่กล้าสบตาสืออีเหนียง ขานรับ “ขอรับ” เบาๆ ลุกขึ้นไปบอกปี้หลัวที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยตัวเอง จากนั้นก็กลับมานั่งพูดคุยกับสืออีเหนียง
“ศิลปะการต่อสู้ของน้องหกเป็นเช่นไรแล้วขอรับ” เขาหาเรื่องคุย “ข้าได้ยินว่าอาจารย์ผังเริ่มสอนศิลปะการต่อสู้ภายในให้น้องหกแล้ว? ได้ยินว่าเขาเคยเปิดหอศิลปะการต่อสู้มาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ภายในอีกด้วย ข้าคิดว่า ท่านแม่ให้น้องหกเรียนศิลปะการต่อสู้ภายในเถิด เป็นการฝึกจากกำลังภายใน ไม่เหมือนศิลปะการต่อสู้ภายนอก ฝึกจนมีแต่กล้าม ดูแล้วน่ากลัวขอรับ”
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ไปขอโทษอาจารย์ผัง มีสืออีเหนียงคอยเฝ้าดู จิ่นเกอก็ไม่กล้าขัดคำสั่งอาจารย์ผังอีกเลย อาจารย์ผังเห็นว่าเขาตั้งใจเรียนรู้การฝึกย่อเข่าได้อย่างรวดเร็ว จึงไปปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ อยากสอนศิลปะการต่อสู้ภายในให้จิ่นเกอ
เรื่องนี้ สวีลิ่งอี๋เองก็แปลกใจ
เรียนศิลปะการต่อสู้ภายในแล้ว ฝึกฝนกำลังภายในก่อน แล้วค่อยเรียนศิลปะการต่อสู้ภายนอก จะได้ไม่ต้องใช้กำลังมาก เพราะเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ยังบอกให้เซ่าจ้งหรานซื้อที่ดินที่ซังโจวให้อาจารย์ผังหนึ่งร้อยหมู่ มอบเรือนที่มีประตูทางเข้าห้าประตูเป็นของขวัญให้อาจารย์ผัง แต่สืออีเหนียงเข้าใจว่าอาจารย์ผังลำบากใจ เขาเลยอยากให้จิ่นเกอเรียนศิลปะการต่อสู้ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุด ถือว่าเป็นค่าตอบแทนของขวัญของสวีลิ่งอี๋ แต่นางสนใจแค่ว่าบุตรชายของตัวเองมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ภายในและศิลปะการต่อสู้ภายนอกจริงหรือไม่ เพราะนางไม่อยากฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ‘เขาบอกว่าจะสอน แต่จิ่นเกอจะเรียนได้หรือไม่ ก็ต้องรอดูว่าจิ่นเกอมีพรสวรรค์หรือไม่’
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าใช่ว่าทุกคนจะฝึกศิลปะการต่อสู้ภายในได้ ไม่รู้ว่าน้องหกของเจ้าจะมีพรสวรรค์หรือไม่!”
“น้องหกเป็นคนฉลาด ไม่มีปัญหาแน่นอนขอรับ!” นี่คือคำพูดที่ออกมาจากใจของสวีซื่อจุน
พวกเขาสองคนพูดคุยกัน สวีซื่อจุนอยากให้ถึงเวลาอาหารเย็นเร็วๆ เขาจะได้ไม่ต้องพยายามหาเรื่องคุยกับท่านแม่เช่นนี้ แต่สืออีเหนียงกลับแอบหัวเราะ สวีซื่อจุนเอาแต่พูดถึงเรื่องของจิ่นเกอ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังดึงความสนใจของสืออีเหนียง ไม่ให้นางสนใจเรื่องของสวีซื่อเจี้ย
นางถอนหายใจ
ถึงแม้ว่าจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่สวีซื่อจุนก็เติบโตขึ้นมาในแบบของเขา ไม่เพียงแต่เป็นเด็กที่ใจกว้าง แต่ยังมีจิตใจดี
เขาเป็นเช่นนี้ ถือว่านางทำตามคำขอที่หยวนเหนียงขอไว้สำเร็จแล้วใช่หรือไม่
สืออีเหนียงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ตอนที่ข้ามา ข้าเห็นบนตั่งเหม่ยเหรินของเจ้ามีกระถางดอกเบญจมาศสีขาววางอยู่ ดอกเบญจมาศดอกใหญ่ขนาดนั้น ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่ามันคือสายพันธุ์อะไรหรือ”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยรีบลุกขึ้นยืน พวกเขาเดินไปใต้ชายคากับสืออีเหนียงแล้วอธิบายว่า “มันคือเสวี่ยถวนขอรับ สะใภ้จี้ถิงเป็นคนปลูก ข้าเห็นว่ามันดูน่ารักดี จึงบอกให้คนย้ายเข้ามากระถางหนึ่ง ยังมีอีกสองกระถางวางอยู่บนโต๊ะในห้องหนังสือ หากท่านแม่ชอบ ข้าจะบอกให้ปี้หลัวนำไปให้ท่าน”
“ได้เลย!” คำพูดของสืออีเหนียงทำให้สวีซื่อจุนตกใจ “เจ้าพาหู่พั่วไปเลือกให้ข้าสักหนึ่งกระถางเถิด!”
ท่านแม่มีอะไรจะพูดกับน้องห้าสองต่อสองใช่หรือไม่ ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะหาข้ออ้างปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม แต่ท่านแม่ก็คงจะหาโอกาสไล่เขาออกไปเป็นครั้งที่สองกระมัง
สวีซื่อจุนมองไปที่สวีซื่อเจี้ยด้วยสายตาที่เห็นใจ ก่อนจะขานรับเสียงเบา จากนั้นก็พาหู่พั่วไปที่ห้องหนังสือ
สวีซื่อเจี้ยจะสังเกตเห็นได้อย่างไร
เขาเอ่ยเรียก “ท่านแม่” ด้วยสีหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษ
สืออีเหนียงมองดูใบไม้สีเขียวของต้นการบูร นางพูดเบาๆ “ข้ายังจำได้ว่า ตอนที่ท่านโหวอุ้มเจ้ากลับมา มันคือค่ำคืนอันแสนหนาวเหน็บ ข้าไม่ค่อยอยาก…”
“ท่านแม่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยตัวสั่นเทา ราวกับใบไม้ที่ปลิวไปมาตามสายลมก็ไม่ปาน
“ทุกคนล้วนแต่บอกว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ” ดูเหมือนสืออีเหนียงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา นางพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมฟังดูเคร่งขรึม “การเลี้ยงลูกคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำเขา แล้วยังต้องสั่งสอนให้เป็นคนดี สั่งสอนการเอาตัวรอดบนโลกใบนี้ให้กับเขา…ข้าเลี้ยงดูเขามาด้วยความยากลำบากขนาดนั้น หากเขาโตขึ้นแล้วอยากกลับไปหาบิดามารดาของเขา ข้าจะทำอย่างไรเล่า” นางโน้มตัวจ้องมองสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดง มุมปากของเขากระตุก แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก
การที่เขาไปตามหามารดาผู้ให้กำเนิดของตัวเอง ทำให้ท่านแม่เสียใจจริงๆ ด้วย…
“เจี้ยเกอในตอนนั้น เป็นเด็กที่น่ารักน่าชัง” เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ สืออีเหนียงก็เผยรอยยิ้มออกมา “เขาจะกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของข้าแล้วเรียกข้าว่า ’ท่านแม่’ เขานำลูกกวาดอร่อยๆ ที่พี่ชายของเขามอบให้มาให้ข้า เขาจะยิ้มกว้างอย่างมีความสุขทุกครั้งที่เห็นหน้าข้า…หัวใจของข้าค่อยๆ ละลาย ข้าเห็นเขาราวกับเป็นลูกแท้ๆ ของข้า ข้าตั้งใจจะเลี้ยงเขาให้ดี ให้เขาร่ำเรียนหนังสือ ให้เขาฝึกเขียนตัวอักษร ให้เขาไปเล่นกับพี่ชายของเขา เติบโตเป็นคุณชายที่หน้าตาหล่อเหลา มีภรรยามีลูกๆ ที่น่ารัก ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข…” นางมองไปยังสวีซื่อเจี้ย “เจี้ยเกอ!” แต่สีหน้าของนางกลับเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “เจ้าคือบุตรชายของข้า ไม่ว่าเจ้าจะรู้อะไรมา แต่ข้าเป็นคนเลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เล็ก เจ้าคือคุณชายน้อยห้าของครอบครัวคุณชายสี่ ข้าไม่มีทางให้ใครพรากเจ้าไปจากข้า!”
“ท่านแม่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียงอย่างสะอึกสะอื้น
ความกังวล ความกลัว ความไม่สบายใจและความตื่นตระหนกของสองสามวันที่ผ่านมา ตอนนี้กลายสภาพเป็นหยาดน้ำตา แล้วค่อยๆ มลายหายไปทีละเล็กทีละน้อย