ตอนที่ 640 ต้องการลงโฆษณาคั่นละคร
หลังจากบินกลับจากฮ่องกงมายังเจียงเฉิง หลินม่ายก็กลับไปทำงานเหมือนเดิม
ยังเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน เธอกำลังจะไปเจียงเฉิงเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย
เธอจะต้องส่งต่องานที่เจียงเฉิงให้ผู้บริหารระดับสูงภายใต้เธอให้ได้มากที่สุด
แบบนี้จะได้ดูแลได้ทั้งการงานและการเรียน ไม่หนักหนาสาหัสเกินไป
โรงงานตัดเสื้อ โรงงานผลิตภัณฑ์อาหาร โรงงานขนาดเล็กขนาดใหญ่เหล่านี้ย้ายที่ไปโรงงานใหม่หมดแล้ว
โรงงานตัดเสื้อโรงงานเก่าที่ว่างลงใช้เป็นที่ผลิตซอสพริกและผักดองประเภทต่าง ๆ
หลินม่ายตั้งชื่อให้โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตซอสพริกและผักดองโดยเฉพาะแยกออกมาต่างหาก ชื่อว่าโรงงานอาหารรสชาติพิเศษติ่งเซียง
โรงงานอาหารติ่งเซียงขยายฐานการผลิตใหญ่ขึ้น จำเป็นต้องรับสมัครพนักงานเพิ่ม
หลังจากรับสมัครพนักงานเสร็จแล้ว โรงงานอาหารรสเลิศติ่งเซียงจึงเปิดอย่างเป็นทางการ
ถึงแม้จะมีข้อคิดเห็นไม่ลงรอยกับผอ.เขตโอวหยางเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรหลินม่ายก็ยังมีความเคารพนับถือเขา
ธุรกิจนั้นมีทั้งมิตรภาพและลู่ทางมากมาย
ได้รู้นิสัยใจคอของผอ.เขตโอวหยางก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน
บางทีวันหนึ่งอาจจะต้องพึ่งพาผอ.เขตโอวหยาง ทำไมต้องตัดหนทางของตนเองด้วย?
ครั้งหนึ่งผอ.เขตโอวหยางเคยพูดไว้ว่า ถ้าหลินม่ายเปิดโรงงานใหม่ จะต้องเชิญเขาไปตัดริบบิ้นให้ได้
โรงงานอาหารรสเลิศติ่งเซียงของหลินม่ายกำลังจะเปิด แน่นอนว่าเธอต้องเชิญผอ.เขตโอวหยางมาด้วย ส่วนเขาจะเต็มใจมาหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว
เพราะเขตของผอ.เขตโอวหยางจ่ายภาษีเป็นจำนวนมาก อัตราการจ้างงานใหม่พนักงานที่ถูกเลิกจ้างไปแล้วอยู่ในระดับสูง เขาจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับรองฝ่าย ทำงานในฐานะสมาชิกคณะกรรมการประจำเมือง รู้จักในนามคณะกรรมการโอวหยาง
คณะกรรมการโอวหยางรู้สึกยินดีที่ได้รับเรียนเชิญจากหลินม่าย รับปากจะเข้าร่วมพิธีตัดริบบิ้นของโรงงานอาหารรสชาติพิเศษติ่งเซียง
ครั้งก่อนที่เขากับหลินม่ายมีเรื่องไม่ลงรอยกัน ล้วนแล้วแต่ถูกพวกผู้ใหญ่เบื้องบนบีบบังคับ
กล่าวได้ว่า หากไม่มีหลินม่าย เขาคงไม่มีวันนี้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขายังพอรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง
เมื่อถึงวันพิธีเปิดโรงงานอาหารติ่งเซียง คณะกรรมการโอวหยางก็เข้าร่วมตามกำหนดการ เจ้าภาพและแขกเหรื่อพบปะสังสรรค์กันอย่างรื่นเริงยินดี
หลินม่ายกลัวว่าโจวฉายอวิ๋นเพียงคนเดียวจะไม่สามารถรับมือกับโรงงานขนาดกลางที่มีคนกว่าร้อยชีวิตได้
จึงใช้โอกาสนี้เลื่อนตำแหน่งหยางกั๋วเฟิง เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไปที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง ขึ้นเป็นผู้จัดการโรงงานอาหารรสเลิศติ่งเซียงให้จัดการโรงงานร่วมกับโจวฉายอวิ๋น
โจวฉายอวิ๋นเป็นผู้จัดการโรงงานและเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิค
หล่อนพึงพอใจกับการจัดการของหลินม่ายมาก
ถึงแม้หล่อนจะเติบโตในหน้าที่แล้ว แต่การให้หล่อนจัดการกับโรงงานขนาดกลางคนเดียว หล่อนก็คิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถมากมายขนาดนั้น
ให้หล่อนเป็นผู้จัดการโรงงาน ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก ขณะที่หยางกั๋วเฟิงรับผิดชอบในการขาย แบบนี้ก็เข้าท่าดี
แต่พี่สะใภ้ของหล่อนกลับยุยงว่าหล่อนเป็นลูกที่หลินม่ายทอดทิ้งแล้ว
หล่อนเริ่มก่อร่างสร้างธุรกิจกับหลินม่าย สุดท้ายเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไปเป็นผู้จัดการโรงงาน และแต่งตั้งหล่อนเป็นผู้จัดการโรงงาน
ดังนั้นพี่สะใภ้จึงยุยงให้โจวฉายอวิ๋นออกมาทำธุรกิจเองคนเดียว
ตอนนี้โจวฉายอวิ๋นรำคาญพี่สะใภ้จนจะเป็นบ้าแล้ว
ระหว่างเทศกาลวันปีใหม่ ไม่ใช่พี่สะใภ้ของหล่อนหรือที่ไปพูดไม่ดีใส่หลินม่าย จนถึงตอนนี้เวลาเจอหลินม่ายหล่อนยังแทบจะไม่กล้าสู้หน้า
ตอนนี้ยังจะมายุแยงความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและหลินม่ายอีก ด้วยการบีบให้หล่อนออกมาทำธุรกิจเพียงลำพัง
ไม่ต้องพูดถึงว่าหล่อนได้ลงนามในข้อตกลงรักษาความลับกับหลินม่ายแล้ว
ถ้าเกิดสูตรซอสพริกและกะปิเล็ดลอดออกมา หล่อนจะต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนมหาศาลถึงสิบล้านหยวนให้โรงงานอาหารรสเลิศติ่งเซียง
แต่หล่อนได้รับการผ่อนปรนให้จ่ายเพียงห้าสิบล้านหยวนเท่านั้น เพื่อแสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจหล่อน
ถึงแม้หล่อนจะไม่ได้ลงนามในข้อตกลงรักษาความลับกับหลินม่าย แต่ต่อให้มีมีดมาจ่อคอหล่อนก็ตาม หล่อนก็จะไม่หักหลังหลินม่ายแล้วออกมาทำคนเดียว
พ่อแม่ของหล่อนมอบชีวิตแรกให้หล่อน แต่ชีวิตที่สองหลินม่ายล้วนเป็นคนมอบให้หล่อน
เป็นหลินม่ายที่ทำให้หล่อนใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิและมั่นใจ
สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือพ่อแม่ที่อยู่กับหล่อนกลับถูกคำพูดเหล่านั้นของพี่สะใภ้มอมเมา
พวกเขาคิดว่าหล่อนเป็นลูกที่ถูกหลินม่ายทอดทิ้งจริง ๆ ทั้งยังยุยงให้หล่อนออกมาทำเองคนเดียว
โจวฉายอวิ๋นรำคาญใจกระทั่งต้องโกหก
บอกว่าหล่อนคิดว่าความสามารถของตนมีขีดจำกัด ดังนั้นจึงขอให้หลินม่ายจัดการให้หล่อนเป็นผู้จัดการโรงงาน
พี่สะใภ้และพ่อแม่ของหล่อนได้ยินแบบนี้ ก็ด่าหล่อนว่าโง่
โจวฉายอวิ๋นยินดีฟังครอบครัวของตัวเองด่าหล่อน ดีกว่าได้ยินพวกเขากล่าวหาหลินม่ายแม้เพียงครึ่งคำ
พวกเขาทำไมไม่ถามตัวเองเล่า ว่าพวกเขามีสิทธิ์อะไรไปด่าทอหลินม่าย หลินม่ายติดค้างอะไรพวกเขางั้นหรือ?
ไม่ใช่ว่าโจวฉายอวิ๋นดูถูกครอบครัวของตน แต่ถึงแม้หล่อนจะออกมาทำเองจริง ๆ ครอบครัวของหล่อนจะมีทุนในการทำกิจการหรือ?
เป็นเพราะหลินม่าย โจวฉายอวิ๋นกับครอบครัวจึงโต้เถียงกันอยู่เสมอ นานวันเข้า หล่อนก็เลิกกลับไปเยี่ยมบ้านฝั่งแม่
แค่เพียงส่งเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไปให้พ่อแม่ของหล่อน และทุ่มเทหัวใจทั้งหมดให้กับโรงงานอาหารติ่งเซียง
ขวดซอสพริกและผักดองที่หุ้มห่อด้วยพลาสติกชุดแรกลำเลียงออกจากฐานการผลิต ไม่เพียงแต่มีตลาดทดลองสองแห่งคอยรองรับเท่านั้น หลินม่ายยังให้หยางกั๋วเฟิงจัดหาพนักงานขายเพื่อขายสินค้าโดยเฉพาะ
ผลตอบรับที่ได้คือพนักงานขายขายไปได้หนึ่งสัปดาห์ ซอสพริกเกือบทั้งหมดแทบจะไม่ประสบความสำเร็จ
มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น ยิ่งบรรจุภัณฑ์ดีเท่าใดราคาก็ยิ่งแพงเท่านั้น เหล่าแม่บ้านย่อมไม่เต็มใจที่จะซื้อมัน
รู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะซื้อซอสพริกขวดหนึ่งที่ราคาเกือบจะเท่าเนื้อหนึ่งชั่ง เอาไปซื้อเนื้อสักชั่งกินยังจะดีกว่า
เพราะผักดองทุกประเภทบรรจุในพลาสติกห่อหุ้มง่าย ๆ เพิ่มราคาขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นยอดขายจึงไม่ได้รับผลกระทบ กลับพุ่งทะยานขึ้นกว่าเดิม
ถึงอย่างไรคนก็ชอบอาหารสะอาดถูกหลักอนามัย
ถึงแม้การโปรโมทขายจากพนักงานขายโดยตรงของซอสพริกจะเจออุปสรรค และถึงแม้ยอดขายซอสพริกในตลาดทั้งสองไม่เป็นที่พอใจนัก อย่างน้อยก็ยังพอมีคนซื้อมัน
แสดงให้เห็นว่ายังพอมีตลาดสำหรับซอสพริกขวด เพียงแต่ตลาดนี้ต้องการคนมาพัฒนา
หลินม่ายมีประสบการณ์ของชีวิตครั้งก่อน เธอมีเครื่องมือตลาดที่จำเป็นในการพัฒนาตลาดอยู่แค่ปลายนิ้ว
อย่างแรกต้องมีโฆษณาดึงดูด อย่างที่สอง ต้องมีรางวัลสำหรับการขาย
ในตอนนี้ สถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนกำลังออกอากาศ ‘ดาบมังกรหยก’ ที่ผู้คนตอบรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ผลของโฆษณาช่วงเปิดเรื่องของ ‘ดาบมังกรหยก’ จะต้องดีมากอย่างแน่นอน
หากหลินม่ายต้องการจองพื้นที่โฆษณาในช่วงเปิดเรื่องของ ‘ดาบมังกรหยก’ ก็ต้องไปที่สถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน
เรื่องนี้สามารถมอบหมายให้ผู้จัดการที่ประจำอยู่ที่ปักกิ่งจัดการได้
เพื่อที่จะรองรับการเติบโตขององค์กร หลินม่ายได้สร้างสำนักงานในเมืองสำคัญหลาย ๆ เมืองเพื่อให้สะดวกต่อการพัฒนาธุรกิจ
ในด้านการประชาสัมพันธ์หลินม่ายตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างในโฆษณาให้แตกต่างจากโฆษณาเหล่ามาม่าในชาติก่อนของเธอ
สิ่งแรกที่จะปรับปรุงคือการเต้น
การเต้นในโฆษณาของเหล่ามาม่าในชาติก่อนทั้งแข็งทื่อเป็นผีดิบและพิลึกพิลั่น หลินม่ายจึงเปลี่ยนให้เป็นท่าเต้นที่มีชีวิตชีวาและเต้นตามได้ง่าย
และผู้ทำการแสดงกลุ่มนั้นไม่ต้องหรี่ตา
เห็นได้ชัดว่าในมายาคติของจีน ถือว่าคนที่ดวงตากลมโตนั้นสวยงาม อย่างไรก็ตามคนท้องถิ่นที่เรียกตนเองว่าเป็นศิลปินกลับชอบสร้างภาพลวงไว้ในใจชาวโลกว่าคนจีนเป็นคนตาชั้นเดียว หยามเหยียดคนจีน เพื่อประจบประแจงเอาใจคนตะวันตก
มากมายถึงขนาดที่ว่าเมื่อชาวตะวันตกพูดถึงจีน ก็จะคิดถึงตาเล็กหยีขึ้นมาทันที
หลินม่ายจะต้องแก้ไข้ความเข้าใจผิด ๆ นี้ของชาวตะวันตกให้ได้
คำพูดที่ใช้โฆษณาก็สามารถเปลี่ยนได้เช่นกัน หนึ่งขวดไม่จำเป็นต้องกินถึงหนึ่งปีครึ่ง
ตอนนี้เป็นฤดูร้อน เป็นธรรมดาที่ความอยากอาหารของทุกคนไม่ค่อยดี
สโลแกนของโฆษณาเด้งขึ้นมาทันที “ซอสพริกติ่งเซียง กินกับอะไรก็อร่อย”
หลังจากโฆษณาเสร็จแล้ว หลินม่ายจึงส่งคนบินไปที่ปักกิ่งทันที
หลังจากผ่านไปสองวัน ทางปักกิ่งก็โทรมาบอกว่า ‘ดาบมังกรหยก’ ตารางออนแอร์คิวเต็มแล้ว ไม่สามารถแทรกเข้าไปได้อีก
โฆษณาสามารถไปสอดแทรกในช่วงเวลาอื่นได้
อย่างไรก็ตามแต่ โฆษณาในช่วงเวลาอื่นย่อมให้ผลลัพธ์น้อยกว่าโฆษณาใน ‘ดาบมังกรหยก’ มาก
หลินม่ายหวังว่าซอสพริกติ่งเซียงจะเป็นที่นิยมขึ้นมาโดยผ่านการโฆษณา หากเป็นช่วงเวลาอื่นเธอไม่สนใจ
ถึงแม้ว่าช่วงเปิดและช่วงปิดของ ‘ดาบมังกรหยก’ จะแทรกไม่ได้ แต่ช่วงกลางเรื่องก็สามารถมีโฆษณาได้
หลินม่ายสั่งงานทางไกลผู้จัดการที่สำนักงานปักกิ่ง ให้เขาไปคุยกับสถานีโทรทัศน์กลางเกี่ยวกับโฆษณาคั่นกลางในละคร
โฆษณาซอสติ่งเซียงของเธอมีความยาวแค่ประมาณหนึ่งนาทีเท่านั้น ถ้าหากคั่นกลางระหว่างละครก็ส่งผลกระทบต่อผังออกอากาศทางโทรทัศน์แค่นิดหน่อยเท่านั้น ผู้นำของสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนน่าจะตกลง
ผู้จัดการได้ยินคำพูดของหลินม่าย ก็ลังเลไปชั่วขณะ
เขากังวลว่าโฆษณาระหว่างละครนั้นจะไม่เกิดผลมากนัก อีกทั้งการจะลงโฆษณาก็มีค่าใช้จ่ายสูง
ตั้งแต่โฆษณาผลิตภัณฑ์โฆษณาแรกของหลินม่ายออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กลาง ผู้บริหารธุรกิจเก่าแก่จมูกดีเหล่านั้น มีใครไม่รู้บ้างว่าเธอทำเงินได้มากแค่ไหนจากการโฆษณา
ทุกคนจึงแห่แหนกันไปที่สถานีโทรทัศน์กลางเพื่อลงโฆษณาในโทรทัศน์
สถานีโทรทัศน์กลางแน่นอนว่าน้ำขึ้นเรือย่อมลอยขึ้นสูงตาม ตอนนี้ไม่รู้ว่าต้องจ่ายค่าโฆษณากี่แสนหยวนเพื่อออกอากาศโฆษณาต่อเดือน คนเขาจึงไม่อยากพูดคุยกับคุณ
มันไม่ใช่ราคาราวกับกระหล่ำปลีที่หลินม่ายเคยจ่ายอีกต่อไป
ผู้จัดการไม่อยากเสียค่าโฆษณาแสนหยวนต่อเดือน ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับการจัดการของหลินม่าย
อย่างไรก็ตามหลินม่ายกลับมาจากชีวิตครั้งก่อน จึงรู้ว่าแทรกโฆษณาคั่นกลางระหว่างละครมีประสิทธิผลมากกว่าช่วงเปิดเรื่องกับท้ายเรื่อง
โฆษณาที่เล่นช่วงต้นเรื่องกับช่วงท้ายเรื่อง ถ้าคนดูไม่อยากดูโฆษณา อาจจะไปห้องน้ำหรือหาชาดื่มฆ่าเวลา รอให้เพลงประกอบขึ้นก่อนที่จะนั่งลง
แต่ถ้ามีโฆษณาคั่นละคร ถึงคนดูจะไม่อยากดู ก็ยังต้องดูโฆษณาเหมือนถูกบังคับกลาย ๆ อยู่หน้าโทรทัศน์ เพราะกลัวจะพลาดฉากอันน่าตื่นเต้นที่กำลังจะมาถึงไป
หลินม่ายบอกให้ผู้จัดการไปคุยกับสถานีโทรทัศน์กลางอย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลว่าโฆษณาออกอากาศแล้วจะได้ผลหรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อยากให้มาทำเอง แต่ฝีมือกับเงินทุนไม่ถึง จากรุ่งก็จะกลายเป็นร่วงนะ
งานยากแล้ว จะแทรกโฆษณาได้หรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)