หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแห่ขบวนศพของสือเหนียง สืออีเหนียงรู้สึกโศกเศร้าอยู่ระยะหนึ่ง
นางนึกถึงวันเก่าๆ ที่ทุกคนเคยอยู่ด้วยกันในหอลู่จวิน นึกถึงความไม่สบายใจตอนที่มาเมืองหลวง นึกถึงตอนที่เจอหน้ากันที่ประตูฉุยฮวาที่สวยงามของจวนสกุลสวีในเทศกาลซานเย่ว์ซาน นึกถึงบรรยากาศที่ได้ฟังบทเพลง ‘ลำนำพิณผีผา’ เป็นครั้งแรก…ดูเหมือนทุกอย่างจะค่อยๆ มลายหายไปจากนาง เคลื่อนไกลออกไปตามสือเหนียง
อารมณ์ของสืออีเหนียงมีอิทธิพลต่อทุกคนที่อยู่รอบตัวนาง จิ่นเกอมักจะเงยหน้าขึ้นมามองมารดาของตัวเองด้วยสายตาที่สดใสตอนที่เขาฝึกเขียนตัวหนังสือ ทุกครั้งที่เขาเห็นมารดาถือเข็มกับด้ายอยู่ในมือแต่กลับนั่งเหม่อลอย สีหน้าของเขาก็มักจะมีความเป็นกังวลที่ไม่สอดคล้องกับอายุของเขา ทำอะไรอย่างเบาไม้เบามือมากขึ้น ครั้งหนึ่งเขายังเคยพูดกับฉังอานว่า “ท่านป้าสิบของข้าไม่อยู่แล้ว ท่านแม่ของข้าเลยเสียใจ เราอย่าไปรบกวนท่านแม่เลย”
ตอนแรกจิ่นเกอไม่ค่อยสนใจฉังอาน แต่ทุกคนฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยกันที่เรือนซวงฝู ความตั้งใจและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของฉังอาน ในบรรดาเด็กๆ มีเพียงฉังอานคนเดียวที่ตามจิ่นเกอทัน จิ่นเกอจึงมองฉังอานเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่เป็นคนเริ่มทักทายฉังอานก่อน บางครั้งยังพูดคุยเรื่องทั่วไปกับเขาอีกด้วย
ฉังอานคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองควรออกความเห็น เลยไม่ปริปากพูดอะไร เพียงส่งยิ้มให้จิ่นเกอ
จิ่นเกอคิดว่าเขาทำตัวน่าเบื่อเกินไป จึงถือลูกหนังไปเล่นกับฉังซุ่น
ฉังซุ่นเตะลูกหนังไปมา ประเดี๋ยวก็เตะไปบนทางเดิน ประเดี๋ยวก็เตะลงตะกร้า ประเดี๋ยวก็เตะไปข้างหลังบ่อปลา สาวใช้น้อยพากันหาลูกหนังจนเหงื่อออกท่วมตัว เขาหัวเราะคิกคัก เล่นสนุกยิ่งกว่าเดิม คิดหาวิธีเตะลูกหนังเข้าไปในมุมกำแพง ซุกซนเป็นอย่างมาก
จิ่นเกอหัวเราะแล้วเล่นกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นฉังอานที่กำลังตั้งใจฝึกแกว่งแขนตามที่อาจารย์ผังสอนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ เขาก็เริ่มคิดว่ามันน่าเบื่อ จึงลูบหัวฉังซุ่นเบาๆ “เจ้าไปเล่นเองเถิด!” จากนั้นก็นั่งลงบนตั่งเหม่ยเหรินข้างๆ
อาจินรีบยกน้ำอุ่นเข้ามา “คุณชายน้อยอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร!” จิ่นเกอดื่มน้ำจนหมด “ท่านแม่ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
หวงฮูหยินสกุลหย่งชังโหวไม่สบาย สืออีเหนียงจึงไปเยี่ยนนางพร้อมกับไท่ฮูหยิน
“ยังเลยเจ้าค่ะ!” อาจินตอบด้วยรอยยิ้ม “ให้บ่าวส่งคนไปเฝ้าที่ประตูฉุยฮวาหรือไม่เจ้าคะ พอฮูหยินสี่กลับมาแล้ว เราจะได้รู้ทันที!”
“ช่างมันเถิด!” จิ่นเกอล้มตัวนอนลงบนตั่งเหม่ยเหริน แกว่งขาสองข้างไปมาด้วยความเบื่อหน่าย “ข้ารอท่านแม่อยู่ที่นี่ดีกว่า!”
อาจินยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วพูดต่ออีกว่า “หรือว่าให้บ่าวล้างลูกบ๊วยกับผลซิ่งมาให้ท่าน?”
“ไม่ต้องหรอก!” แสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิสาดส่องกะทบลงมาบนตัวของเขา พลอยทำให้จิ่นเกอดูมีท่าทีเกียจคร้าน “ครั้งก่อนฉังอานทานไปชามหนึ่ง ยามดึกกลับท้องเสีย เราแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน”
ในขณะที่เขากำลังพูด สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาพอดี
“ทำไมมานอนอยู่ที่นี่” เขาถาม “ท่านแม่ของเจ้าเล่า”
“ท่านพ่อ!” จิ่นเกอกระโดดลงจากตั่งเหม่ยเหริน แล้วโค้งคำนับสวีลิ่งอี๋
ฉังอานและฉังซุ่นเห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้ามาโค้งคำนับสวีลิ่งอี๋ด้วยความเคารพ
“ท่านแม่ยังไม่กลับมาเลย!” จิ่นเกอพูดต่อไปอีก “ท่านพ่อทานอาหารเที่ยงแล้วหรือยังขอรับ” เขาถามด้วยท่าทีราวกับเป็นผู้ใหญ่
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะ “ข้าทานแล้ว” รู้สึกว่าท่าทีของบุตรชายช่างน่าตลก เขาถามกลับ “เจ้าทานแล้วหรือยัง”
“ข้าก็ทานแล้วเช่นกัน!” จิ่นเกอพูดต่ออีกว่า “แล้วข้าก็นอนกลางวันแล้วด้วย”
“แล้วเจ้าทำการบ้านหรือยัง” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วถามเขา
“ทำเสร็จแล้วขอรับ!” จิ่นเกอเอียงหัวมองบิดา “ไม่เพียงแต่ทำการบ้านเสร็จแล้ว ยังอ่านหนังสือที่ท่านแม่บอกให้ข้าอ่านจบแล้ว ฝึกย่อเข่าครู่หนึ่ง แล้วก็เตะลูกหนังกับฉังซุ่น…” เขาพูดด้วยท่าทีที่ไม่มีอะไรทำ
สวีลิ่งอี๋ถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากไปขี่ม้ากับพ่อหรือไม่”
“อยากขอรับ!” จิ่นเกอดีใจกระโดดโลดเต้นทันที “ข้าอยากไปขี่ม้ากับท่านพ่อ!” สายตาของเขาเป็นประกาย
“ได้เลย” สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย “เจ้าไปเปลี่ยนเป็นเสื้อต่วนเฮ่อ เราไปขี่ม้ากัน!”
จิ่นเกอรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง
*****
ตอนที่สืออีเหนียงกลับมา จิ่นเกอพึ่งอาบน้ำเสร็จ เขาหน้าแดงก่ำ นั่งพูดคุยกับหงเหวินและอาจินที่กำลังเช็ดผมให้เขาบนเก้าอี้ “…นั่งบนหลังม้า สามารถมองเห็นที่ไกลๆ บรรดาบ่าวรับใช้และคนขี่ม้าอยู่ข้างล่างข้า แค่ยื่นมือขึ้นไปก็เด็ดใบไม้ที่อยู่บนหัวได้…ตอนที่ม้าวิ่งขึ้นๆ ลงๆ ไม่สบายตัวอย่างมาก แต่เมื่อลมพัดผ่านก็ทำให้เสื้อผ้าเกิดเสียง ต้นไม้และเรือนค่อยๆ ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง สนุกยิ่งนัก!” เมื่อได้ยินเสียงก็หันมามอง พอเห็นว่าเป็นสืออีเหนียง เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไป “ท่านแม่! วันนี้ยามบ่ายท่านพ่อพาข้าไปขี่ม้าด้วยขอรับ!” เขาพูดด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น “แล้วยังมีพี่สี่กับพี่ห้า พี่สี่ชมว่าข้ากล้าหาญอีกด้วย! “
สืออีเหนียงตกใจ
บอกว่าจะเริ่มเรียนขี่ม้าเมื่ออายุสิบปีไม่ใช่หรือ
นางเงยหน้าขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋เดินออกมาจากห้องข้างใน
“วันนี้ตอนบ่ายพาจุนเกอกับเจี้ยเกอไปสนามม้า” เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เห็นจิ่นเกออยู่ที่เรือนคนเดียว ข้าจึงพาจิ่นเกอไปด้วย!” จากนั้นก็พูดอีกว่า “อาการของหวงฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง เจ้ากลับมาดึกแบบนี้ นางป่วยหนักอย่างนั้นหรือ”
“แค่เป็นหวัดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่ออีก “ท่านแม่กับหวงฮูหยินไม่ได้พบกันบ่อยๆ จึงอยู่พูดคุยกันนานหน่อย ก็เลยกลับมาดึก” พูดจบ นางก็พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ขี่ม้าอันตราย จิ่นเกอยังเด็ก…”
นางเคยเห็นเด็กที่ได้รับบาดเจ็บจากการขี่ม้า
“ไม่ต้องเป็นห่วง!” สวีลิ่งอี๋คิดว่าสืออีเหนียงเป็นห่วงจิ่นเกอเกินไป “พวกเขาขี่ม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว แล้วยังมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในการขี่ม้าคอยดูแลอยู่ข้างกาย ตอนแรกแค่ให้เขานั่งบนหลังม้าแล้วให้อาจารย์ถือม้าเดินวนไปรอบๆ สองสามรอบ หรือไม่ก็ให้ม้าวิ่งเหยาะๆ ไม่อันตราย!”
“แต่ระวังเอาไว้ย่อมดีกว่า!” สืออีเหนียงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ “จิ่นเกอยังเด็ก แม้แต่แรงดึงบังเหียนก็ยังไม่มี ยิ่งไปกว่านั้น ขี่ม้านั้นอันตราย ข้าคิดว่ารอให้เขาอายุครบสิบปีก่อนแล้วค่อยเรียนขี่ม้าเถิด!”
สวีลิ่งอี๋เองก็ไม่ได้อยากให้จิ่นเกอเรียนขี่ม้าเร็วเช่นนี้ แต่เขาคิดว่าเด็กผู้ชายทุกคนล้วนชอบขี่ม้าจึงพาเขาไปเล่น เขาตอบเพียง “อืม” แล้วพูดถึงเรื่องนายท่านสองและนายท่านสามสกุลหลัวกับสืออีเหนียงแทน “นับวันดูแล้ว อีกสองวันก็น่าจะมาถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง เจ้าก็เตรียมตัวเถิด ถึงตอนนั้นเราพาลูกๆ ไปคารวะท่านอาทั้งสองท่าน”
สืออีเหนียงพยักหน้า ก่อนจะพูดเบาๆ “เรื่องของท่านอาทั้งสองท่าน…มีความคืบหน้าหรือไม่เจ้าคะ”
ถึงแม้ว่าหลัวเจิ้นซิ่งจะเป็นคนช่วยจัดการ แต่สวีลิ่งอี๋ก็ไปหาเฉินเก๋อเหล่า สมุหราชเลขาธิการกระทรวงขุนนางอยู่บ่อยๆ
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันเถิด!” เขาพูดอย่างคลุมเครือ “ยึดหนังสือของกระทรวงขุนนางเป็นหลัก”
เรื่องที่สวีลิ่งอี๋ไม่มั่นใจ เขาไม่มีทางให้คำสัญญา
สืออีเหนียงยิ้มขึ้น จิ่นเกอที่รู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งเลยดึงแขนเสื้อของมารดา “ท่านแม่ วันนี้ข้าแข่งขี่ม้ากับพี่ห้าด้วยขอรับ”
“อ้อ!” สืออีเหนียงเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ “บอกว่าแค่นั่งบนหลังม้าเดินวนรอบๆ สองสามรอบไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมีแข่งม้าด้วย”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วมองสืออีเหนียง
จิ่นเกอพูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “เรานั่งข้างหลังอาจารย์แล้วแข่งม้าขอรับ!”
“จริงหรือ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วโอบกอดเขา “ยังไม่ไปเช็ดผมให้แห้งอีก ระวังจะเป็นหวัดเอาได้” นางพูดพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน
สวีลิ่งอี๋เดินตามไป เขาฉวยโอกาสหยิกเอวสืออีเหนียง “คิดว่าข้าโกหกเจ้าอย่างนั้นหรือ!”
สืออีเหนียงร้องขึ้นมาเบาๆ
“ท่านแม่!” จิ่นเกอรีบถามนาง “ท่านเป็นอะไรหรือ” ถามด้วยท่าทีแปลกใจ
“ไม่มีอะไร” สืออีเหนียงฝืนยิ้ม “แค่ถูกตัวเรือดกัดเข้า!”
จิ่นเกอไม่เข้าใจ “ตัวเรือด? ตัวเรือดแค่ผายลมเหม็นไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดมันถึงกัดคนด้วย”
สืออีเหนียงหลุดหัวเราะกับความเข้าใจผิดนี้ของจิ่นเกอ นางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางมองดูพวกเขาสองแม่ลูกด้วยสายตาที่เอือมระอา
สืออีเหนียงหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม
อารมณ์ที่หดหู่ของนางดีขึ้นไม่น้อย
*****
นายท่านสองรับตำแหน่งขุนนางมาตลอด แต่หลังจากไปถึงซานตงกลับกลายเป็นคนไม่มีอำนาจ เขารู้สึกเหมือนตอนอยู่ที่เยี่ยนจิงที่ถูกควบคุมอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรมากนัก แล้วยังต้องจ่ายค่าเสบียงอาหาร ลำบากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก จึงคิดอยากกลับไปหกกรม แต่สุดท้ายก็ได้รับตำแหน่งกรมการทูตภายใน ถึงแม้ว่าจะเป็นตำแหน่งธรรมดาเหมือนเดิม แต่มีหน้าที่ตรวจฎีกาทุกวัน ต้องไปมาหาสู่กับหกกรม ทำให้เขาดูสูงส่ง สำหรับนายท่านสองสกุลหลัวที่ก่อนหน้านี้นั้นรู้สึกเบื่อหน่ายเลยพอใจอยู่ไม่น้อย แต่นายท่านสามสกุลหลัวไม่เหมือนกัน หนึ่งคือเขายังอายุน้อย สองคือบุตรชายทั้งสองคนของตัวเองยังเด็ก หากได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสาม บุตรชายก็สามารถสืบทอดตำแหน่งได้ สวีลิ่งอี๋จึงพยายามหาตำแหน่งข้าหลวงที่จี่หนานให้เขา
ทุกคนล้วนแต่พึงพอใจ
หลังจากพบปะกันที่เยี่ยนจิงแล้ว ครอบครัวนายท่านสามสกุลหลัวไปรับตำแหน่ง นายท่านสองสกุลหลัวกับนายหญิงสองสกุลหลัวอาศัยอยู่ที่ตรอกเหล่าจวินถัง หลังจากผ่านพ้นวันเกิดของไท่ฮูหยินไป นายหญิงสองสกุลหลัวก็บอกให้ซื่อเหนียงเชิญสืออีเหนียงมาทานอาหารและฟังงิ้วที่เรือนของตัวเอง
สืออีเหนียงพาลูกๆ ไปด้วย
ซื่อเหนียงถามถึงสวีซื่ออวี้ “…ปีนี้จะร่วมเข้าสอบการสอบเซียงซื่อ หรือไม่”
“สอบเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบด้วยรอยยิ้ม “เขาเขียนจดหมายกลับมาช่วงปีใหม่ บอกว่าจะมาถึงเยี่ยนจิงเดือนหก ข้ากำลังเตรียมต้อนรับเขากลับมา!”
ซื่อเหนียงพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรต่ออีก
แต่สายตาของนายหญิงสองสกุลหลัวกลับจับจ้องไปที่สวีซื่อเจี้ยที่อยู่ข้างกายสืออีเหนียงตลอดเวลา “ปีนี้เจี้ยเกออายุสิบสองปีแล้วใช่หรือไม่ จะลงสนามสอบด้วยหรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“ที่จริงเขาเองก็อยากลองดูเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงไม่อยากทำให้สวีซื่อเจี้ยลำบากใจ จึงยิ้มแล้วพูดแทนเขา “แต่ข้าคิดว่าเขายังเด็ก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ตั้งใจเล่าเรียนอีกสักสองปีแล้วค่อยว่ากันดีกว่า” จากนั้นก็พูดต่ออีกว่า “ปีนี้อวี้เกอจะสอบเซียงซื่อ ปีหน้าจุนเกอก็จะแต่งงานแล้ว หากเขาเข้ามาแทรกตรงกลาง ข้าคงจะดูแลไม่ทั่วถึง!”
นายหญิงสองสกุลหลัวขยับปากราวกับกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ซื่อเหนียงกลับกระแอมไอขึ้นมาเบาๆ แล้วพูดว่า “น้องหญิงสิบเอ็ดได้รับจดหมายของน้องหญิงเจ็ดแล้วหรือยัง นางตั้งครรภ์อีกแล้ว”
“ได้รับแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มพลางมองซื่อเหนียง ก่อนจะหันไปถามนายหญิงสองสกุลหลัว “นางสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
“สบายดี” นายหญิงสองสกุลหลัวพูดถึงบุตรสาวของตัวเอง ใบหน้าของนางพลันเต็มไปด้วยความสุข “ตอนนี้แม่สามีของนางเห็นนางเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน ขอให้นางมีลูกเพิ่มอีกสักสองสามคน แตกกิ่งก้านสาขาให้สกุลจู!” จากนั้นก็พูดแต่เรื่องของชีเหนียง ไม่พูดถึงเรื่องของสวีซื่อเจี้ยอีกเลย
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา นั่งฟังเงียบๆ พลางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก