เมื่อออกมาจากประตูฉุยฮวาของตรอกเหล่าจวินถัง ซื่อเหนียงก็พูดกับสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “ท่านแม่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร หากเจี้ยเกอมีชื่อเสียง เมื่อถึงเวลาต้องหมั้นหมายหรือทำงานก็จะง่ายขึ้น”
“ข้าเองก็รู้ดีเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่สามารถฝืนโชคชะตาได้ คงทำได้เพียงทำให้ดีที่สุด!”
ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องครอบครัวของสืออีเหนียง ซื่อเหนียงไม่อาจพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
นางยิ้มพลางพยักหน้า หันไปมองหาบุตรชายคนรองอวี๋ลี่ และบุตรชายคนที่สามอวี๋ฉี่
อวี๋ลี่กับสวีซื่อจุนยืนกระซิบกระซาบกันอยู่บนบันไดประตูฉุยฮวา ส่วนอวี๋ฉี่กำลังหยอกล้อเล่นกับจิ่นเกออยู่หน้าประตูฉุยฮวา มีเพียงสวีซื่อเจี้ยที่ยืนทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ใต้ชายคาประตูฉุยฮวา
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของซื่อเหนียง เขาก็ดูไม่สบายใจเล็กน้อย ยิ้มให้ซื่อเหนียงอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ไปยืนอยู่ข้างสวีซื่อจุนกับอวี๋ลี่
“พี่สอง!” เขาเรียกอวี๋ลี่ “ท่านป้าสี่มองหาท่าน!”
อวี๋ลี่เงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองมารดา รีบพูดกับสวีซื่อจุนว่า “เมื่อถึงเวลาเจ้าเขียนจดหมายมาหาข้าด้วย” ยกมือคำนับสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ย แล้วรีบเดินไปยืนอยู่ข้างมารดา
“ล่วงเลยเวลามามากแล้ว บอกลาท่านน้าหญิงสิบเอ็ดของเจ้าเถิด พวกเราเองก็ควรจะกลับได้แล้ว” ซื่อเหนียงพูดพลางละสายตาจากสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
******
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากตรอกเหล่าจวินถัง
จิ่นเกอที่เล่นจนเหนื่อยผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของมารดาอย่างรวดเร็ว
สืออีเหนียงกำลังคิดเรื่องของสวีซื่อเจี้ย
ถึงเวลาที่ต้องพูดคุยกับเขาแล้ว
สวีซื่อเจี้ยไม่เหมือนกับสวีซื่ออวี้ สวีซื่ออวี้เป็นบุตรชายอนุคนโต ฉลาดและมีความสามารถ อายุไม่ห่างกันมากกับสวีซื่อจุน เพื่อให้สวีซื่อจุนมีตำแหน่งที่มั่นคงในจวนนี้ ในอนาคตสวีลิ่งอี๋จะให้เขาแยกจวนออกไปอยู่คนเดียว ส่วนสวีซื่อเจี้ยเป็นบุตรชายคนรอง และเป็นบุตรอนุ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคุกคามสิทธิของสวีซื่อจุน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกพวกเขาออกจากัน ตราบใดที่เขาเต็มใจ เขาสามารถพึ่งพาอาศัยสกุลนี้ได้เสมอ ในสายตาของคนส่วนใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย
แต่จากมุมมองของสืออีเหนียง การถูกบังคับให้พึ่งพาสกุลนี้กับการเลือกที่จะพึ่งพาสกุลนี้นั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หากต้องการอิสระในการเลือก ก็ต้องมีความสามารถในการยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง
สวีซื่อเจี้ยใช้ชีวิตอยู่จวนนอกมาสองปีแล้ว เข้าใจโลกบ้างไม่มากก็น้อย ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะคุยกับเขาเรื่องนี้ หากเขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองเลย ก็จะได้ใช้ช่วงเวลาสองสามปีก่อนจะแต่งงานเพื่อลองพยายามค้นหาหนทางสำหรับเขา เมื่อแต่งงานแล้ว มีครอบครัวแล้ว ก็มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ จะไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้อีกต่อไป จะต้องยึดมั่นในเส้นทางที่ปลอดภัย แต่หากเขาได้พิจารณาอนาคตของตัวเองแล้ว ก็จะได้ถือโอกาสนี้หารือว่าความคิดของเขานั้นเป็นไปได้หรือไม่
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิด รถม้าก็หยุดลง
ป้าซ่งเปิดผ้าม่านรถม้า “ฮูหยิน พวกเราถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”
หู่พั่วลงจากรถก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ รับจิ่นเกอมาอย่างระมัดระวัง สืออีเหนียงจึงค่อยๆ ออกมาจากรถม้า
ชิวอวี่และคนอื่นๆ กำลังยืนรออยู่หน้าประตูฉุยฮวา
“ฮูหยิน” นางยิ้มพลางเดินเข้ามาย่อเข่าคำนับ “คุณนายใหญ่จากชังโจวส่งผู้ดูแลหญิงสองคนมามอบของขวัญวันเกิดให้ท่าน ตอนนี้กำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ!”
“อ้อ!” เมื่อนึกถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์ใบหน้าของสืออีเหนียงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข นางเหลือบมองโคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่หน้าประตูฉุยฮวา “ป่านนี้แล้ว ได้จัดเตรียมสำรับให้ผู้ดูแลหญิงทั้งสองทานหรือยัง”
“จัดเตรียมแล้วเจ้าค่ะ” ชิวอวี่พยุงสืออีเหนียงขึ้นรถลาก “แต่ผู้ดูแลหญิงทั้งสองบอกว่าต้องการมาคารวะท่านก่อนแล้วค่อยไปทานข้าว พวกบ่าวไม่อาจโน้มน้าวพวกนางได้ พี่ฟังซีจึงนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนผู้ดูแลหญิงทั้งสองอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า หลังจากกลับมาที่เรือนก็ไปทักทายสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่ห้องโถง
ผู้ดูแลหญิงทั้งสองเป็นตัวแทนเจินเจี่ยเอ๋อร์โขลกศีรษะคำนับสืออีเหนียงสามครั้งด้วยความเคารพ จากนั้นก็มอบของขวัญวันเกิด
สืออีเหนียงถามถึงสถานการณ์ของเจินเจี่ยเอ๋อร์
เมื่อรู้ว่าตอนนี้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนดูแลเรือน และเข้ากันได้ดีกับสะใภ้โอวหยางซื่อ ค่อนข้างมีชื่อเสียงในสกุลเซ่า และพึ่งจะตั้งครรภ์ ปลายปีนี้ก็จะคลอดบุตรอีกครั้ง รอยยิ้มของนางก็ยิ่งอิ่มอกอิ่มใจมากกว่าเดิม ให้รางวัลผู้ดูแลหญิงทั้งสองเป็นเงินสิบตำลึง เมื่อกลับไปที่ห้องด้านในก็เปิดถุงผ้าใส่ของขวัญภายใต้โคมไฟ
ด้านในมีเสื้อผ้าสองชุด ถุงเท้าสองคู่ เครื่องประดับผมทองคำหนึ่งคู่และปิ่นปักผมหยกน้ำเต้าเหอเถียน
สืออีเหนียงหยิบถุงเท้าที่ทำจากผ้าซงเจียงขึ้นมา
ด้านล่างของถุงเท้าปักลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนคู่ด้วยสีเดียวกัน ขอบถุงเท้าปักลายคลื่นน้ำด้วยสีเดียวกัน เมื่อปักแบบเก็บด้าย ด้ายจะถูกปักในทิศทางตรงกันข้าม
นี่เป็นความเคยชินของเจินเจี่ยเอ๋อร์
สืออีเหนียงทั้งดีใจทั้งปวดใจ
เด็กคนนี้ตอนนี้เป็นผู้ดูแลจวนแล้ว ก็ยังทำงานเย็บปักให้นางด้วยตัวเอง
นางมองดูลายปักบนเสื้อผ้า
ทั้งหมดล้วนเป็นลวดลายที่ซับซ้อนอย่างมาก
ลวดลายเช่นนี้ต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนกัน!
“เป็นอะไรหรือ” สวีลิ่งอี๋เห็นว่าพอสืออีเหนียงเข้ามาในห้องก็นั่งบนเตียงเตาแล้วเปิดดูเสื้อผ้าในถุงผ้าทันที “ปักได้ไม่ดีหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดพึมพำพลางเก็บถุงเท้า “ปักได้ดีเลยทีเดียว! เลือกสีอย่างพิถีพิถัน ข้าว่าจะเก็บเอาไว้ใส่ตอนเทศกาลวันไหว้บะจ่าง!”
สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยรอยยิ้ม
ภายใต้แสงสว่าง ดวงตาเปล่งประกายสดใส
สืออีเหนียงยิ้มอย่างเขินอาย
“อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะอายุยี่สิบสามปีแล้ว…” ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปลูบใบหน้าของนาง “ยังไม่เคยจัดงานวันเกิดดีๆ ให้เจ้าเลย…” ท่าทางทอดถอนใจเป็นอย่างมาก
จัดงานวันเกิดดีๆ อย่างนั้นหรือ
แบบไหนถึงจะเรียกว่าดี
พวกเขาต่างก็มีผู้อาวุโสอยู่เบื้องบน ยังจะสามารถจัดงานวันเกิดอย่างใหญ่โตได้อย่างนั้นหรือ
“พูดอะไรกันเล่าเจ้าคะ!” สืออีเหนียงพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ได้รับของขวัญเช่นนี้ ยังไม่นับว่าเป็นงานวันเกิดที่ดีหรือ” นางพูดพลางยกถุงผ้าในมือขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จับมือนางอย่างแนบแน่น
*****
วันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็พากันมาหา
สวีซื่อจุนมอบผ้าไหมสู่จิ่นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ทอลายแตงเทียนหลัวเป็นของขวัญวันเกิด ส่วนสวีซื่อเจี้ยมอบกล่องใส่พู่กันลายดอกเหมยที่แกะสลักจากไม้ไผ่เซียงเฟยให้เป็นของขวัญ
ผ้าไหมสู่จิ่นทอลวดลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนคู่เป็นพื้นหลัง ปักสีน้ำตาลเถาแตงและสีเขียวแตงเทียนหลัว มีลายลูกไก่สีเหลืองสองตัวกำลังจิกข้าวสาร ดูละเอียดโดดเด่นและราวกับมีชีวิต
กล่องใส่พู่กันใช้สีม่วงแกะสลักลวดลายดอกเหมยบนไม้ไผ่เซียงเฟย ดูมีเอกลักษณ์มากเช่นกัน
สืออีเหนียงมองดูขนาดของผ้าไหมสู่จิ่น ยิ้มแล้วพูดว่า “เราเอาผ้าไหมสู่จิ่นไปแขวนไว้บนผนังห้องหนังสือของข้าดีหรือไม่”
“จะดีหรือขอรับ” สวีซื่อจุนพูดอย่างลังเลว่า “ข้าเห็นว่าคนอื่นมักจะเอามันไปวางรองโต๊ะเครื่องแป้ง”
“เหตุใดจะไม่ดีเล่า!”
สืออีเหนียงพาทั้งสองคนไปที่ห้องหนังสือ นำกล่องใส่พู่กันเครื่องปั้นดินเผาสีครามอันเก่ามาเปลี่ยนเป็นกล่องใส่พู่กันไม้ไผ่ที่สวีซื่อเจี้ยมอบให้ จากนั้นก็เรียกป้ารับใช้ให้ถอดภาพบนผนังลงมาแล้วเอาผ้าไหมสู่จิ่นไปแขวนแทน
ขณะที่กำลังยุ่งอยู่ จิ่นเกอที่ตื่นจากนอนกลางวันก็มาคารวะสืออีเหนียง
“ท่านแม่ สองวันก่อนท่านพึ่งติดกระจกหน้าต่างใหม่ไปไม่ใช่หรือ” เขาเอียงคอมองดูทั้งสามคนที่กำลังยุ่งอยู่ “เหตุใดวันนี้ถึงได้จัดห้องใหม่อีกแล้วเล่า”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็หัวเราะเช่นกัน
ทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ทางขวา คนหนึ่งอยู่ทางซ้ายเพื่อช่วยปรับความสูง หันมาถามเขาว่า “ดูดีหรือไม่”
จิ่นเกอยืนมองอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไปดูด้านหน้าผ้าไหมสู่จิ่น แล้ววิ่งหันกลับไปยืนดูอยู่ที่ประตูห้องหนังสือเป็นเวลานาน พูดอย่างจริงใจว่า “สวยกว่าพัดขนนกยูงที่แขวนอยู่ในห้องหนังสือของท่านพ่อเยอะเลย!”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียง “หึๆ” ดังขึ้นในห้อง
“ข้าพูดเรื่องจริงนะ!” จิ่นเกอมองบรรดาพี่ชายที่ทำหน้าอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะ เขาเลยทำหน้าบึ้งตึง
คราวนี้ทุกคนกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้แล้ว พากันหัวเราะออกมาดังลั่น
เซี่ยงซื่อก้าวเท้าเข้ามาพอดี
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของนางเผยให้เห็นความอึดอัดเล็กน้อย
“ท่านแม่ คุณชายน้อยทั้งหลายกำลังช่วยท่านตกแต่งห้องอยู่หรือเจ้าคะ!”
คำพูดของนางทำให้สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยหัวเราะอีกครั้ง
สีหน้าของเซี่ยงซื่อยิ่งอึดอัดมากขึ้นกว่าเดิม
“เจ้าไม่ต้องไปสนใจพวกเขา” สืออีเหนียงเหลือบมองทั้งสองคนด้วยท่าทางตำหนิ พูดกับเซี่ยงซื่อด้วยรอยยิ้มว่า “สองคนนี้ซุกซนจะตายไป!” จากนั้นก็ชี้ไปที่ผ้าไหมสู่จิ่นที่แขวนอยู่บนกำแพง “ดูดีหรือไม่”
เซี่ยงซื่อมองดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง พูดอย่างจริงจังว่า “โดดเด่นเป็นอย่างมาก!”
ราวกับกำลังชื่นชมเด็กผู้หญิงว่าน่ารักมากอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงหัวเราะ
สีหน้าเซี่ยงซื่อดูเขินอายเล็กน้อย รีบเอากล่องไม้จื่อถานแกะสลักลายดอกเบญจมาศใบเล็กจากมือสาวใช้ ใช้สองมือมอบให้สืออีเหนียง “ท่านแม่เจ้าคะ นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ท่านพี่กับข้ามอบให้ท่าน ไม่ว่ากี่ปีก็ขอให้ท่านงดงามเฉกเช่นวันนี้ตลอดไป”
โชคดีที่ในวันเกิดของไท่ฮูหยินทุกคนต้องพูดว่า ‘ขอให้ท่านร่ำรวย มีโชคลาภวาสนาดั่งมหาสมุทร อายุยืนดุจขุนเขา’ ไม่เช่นนั้นประโยคนี้ก็คงกลายเป็นของนางไปแล้ว
สืออีเหนียงอดกระแอมเบาๆ ไม่ได้
หู่พั่วเดินเข้าไปรับกล่องมา
สาวใช้ยกชาเข้ามา
สืออีเหนียงเรียกให้เด็กๆ มาดื่มชา
“…ตอนบ่ายข้ายังมีเรียนอีก!” สวีซื่อจุนไม่กล้าอยู่นาน เมื่อนึกถึงบรรยากาศสนุกสนานเมื่อครู่ เขาก็รู้สึกไม่อยากไปเล็กน้อย
“ส่วนข้าจะทบทวนบทเรียนอยู่ที่นี่กับท่านแม่!” สวีซื่อเจี้ยเลือกอยู่ต่อ
ส่วนจิ่นเกอก็กอดถุงผ้าใส่หนังสือของตัวเองเดินเข้ามา “ท่านแม่ ข้าจะคัดอักษรอยู่กับท่านที่นี่ขอรับ!”
“ได้สิ!” สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบศรีษะบุตรชาย “แต่ว่าห้ามรบกวนพี่ห้าทบทวนบทเรียน เข้าใจหรือไม่”
จิ่นเกอรีบพยักหน้า
เซี่ยงซื่อเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงให้หู่พั่วไปส่งนาง เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าสวีซื่อเจี้ยยืนด้วยท่าทางลังเลอยู่ตรงนั้น
“เป็นอะไรไปหรือ” สืออีเหนียงถามด้วยรอยยิ้ม
สวีซื่อเจี้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก้าวไปข้างหน้าแล้วจับแขนสืออีเหนียง พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ท่านว่าข้าไปเข้าร่วมการสอบขุนนางดีหรือไม่ขอรับ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
สวีซื่อเจี้ยเห็นดังนั้นก็หน้าแดงก่ำ
“ท่านแม่ ข้ารู้ว่าข้าเรียนไม่เก่งเท่าพี่สอง” เขาพูดพึมพำ “แต่ว่าข้าจะพยายามอย่างหนัก…”
เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นเหมือนกับพี่สอง เมื่อมีข่าวดีส่งมา ท่านแม่ก็จะมีความสุขมากใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เหล่าจวินถังเมื่อวานนี้ทันที
“เป็นเพราะคำพูดของท่านย่าอย่างนั้นหรือ” นางถามเขาอย่างอ่อนโยน
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ลำบากใจ…แล้วก็รู้สึกอยากไปเข้าร่วมการสอบขุนนางอยู่บ้าง…เช่นนี้ ต่อไปข้าก็จะสามารถเลี้ยงดูท่านแม่ได้แล้ว…หากครอบครัวอยู่ในสถานการณ์คับขัน ซ้ำยังไม่สามารถปล่อยท่านพ่อท่านแม่ที่สูงอายุแล้วออกไปทำมาหากินได้ ก็นับว่าอกตัญญู…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็รีบอธิบายต่อไปว่า “ข้าไม่ได้จะบอกว่าไม่มีคนเลี้ยงดูท่านแม่ พี่สอง พี่สี่ แล้วก็น้องหกต่างก็ดีกันทั้งนั้น ข้าเพียงจะบอกว่าข้าอยากเลี้ยงดูท่านแม่…” ขณะที่พูดเขาก็มีสีหน้าโศกเศร้าเล็กน้อย “ไม่ใช่ ข้าหมายความว่า ข้าก็ควรจะดูแลท่านแม่จึงจะถูก…”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย
นางเหลือบมองจิ่นเกอที่กำลังหมอบเขียนตัวอักษรอยู่บนโต๊ะอย่างตั้งใจ ก่อนจะจับมือสวีซื่อเจี้ย “เจ้ามากับข้า!”
ไปที่ห้องรับแขกตรงข้ามกับห้องหนังสือ