เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดถึงสิ่งที่นางพูดออกไป นางอยากรีบขุดหลุมแล้วมุดลงไปอยู่ในนั้นจนแทบทนไม่ไหว!
“เจ้าคิดออกหรือยังว่าจะเผชิญหน้ากับข้าอย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอื้อมมือผ่านใบหูของนางไปและสัมผัสเข้ากับขนนกสีดำที่อยู่ด้านหลังนาง ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดสั้นลงอย่างมาก ลมหายใจของเขากระทบกับริมฝีปากของนางในทุกคำพูดที่เขาเอื้อนเอ่ย และเฮ่อเหลียนเวยเวยก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นกายอันน่าดึงดูดของเขาได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งสันกรามของเขาก็ยังดูเย้ายวนอย่างที่สุด
ข้าจะคิดอะไรออกได้อย่างไร สิ่งเดียวที่ข้าคิดออกก็มีแค่เรื่องจูบเขาเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น แล้วส่งยิ้มชั่วร้ายให้กับเขา ”ทำไมไม่ให้ข้าจูบท่านก่อนล่ะ แล้วเราค่อยมาคุยกันต่อ”
ดวงตาเย็นชาราวกับหินหรี่ลง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงร่างของนางเข้ามาใกล้ นิ้วของเขาแนบเข้ากับริมฝีปากบางของนาง ก่อนจะลูบมันไปมาอย่างแรง ”เจ้าคิดว่าคราวนี้เจ้าจะหลอกข้าได้หรือ”
“ในเมื่อท่านก็กลับมาแล้ว จะช่วยแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงยิ้มอยู่ แต่หัวใจของนางกลับดิ่งวูบ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ”แกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ”
“เป็นไปได้สิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยออกแรงไปที่นิ้วและพยายามพยุงตัวเองขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ”ไม่ใช่สำหรับข้า”
ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก นางควรทำอย่างไรดี
นางอยากคว้าตัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้ามาแล้วถามว่าเขาต้องการให้นางทำอย่างไร
“ท่านต้องแยกตัวเองออกอย่างชัดเจนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ไม่ว่าจะเป็นเศษชิ้นส่วนวิญญาณหรือเป็นวิญญาณดั้งเดิมของท่าน สำหรับข้าแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นท่านอยู่วันยังค่ำ เข้าใจบ้างหรือเปล่า?!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนที่จะหมดความอดทนกับอะไรง่ายๆ เพราะถ้านางไม่ชอบอะไร นางก็จะทำเพียงแค่อยู่ให้ห่างจากมันเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นสิ่งที่นางชอบ นางก็จะทุ่มทั้งหัวใจและจิตวิญญาณเพื่อปกป้องอีกฝ่าย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางทุ่มสุดตัวตะโกนออกมา
“ข้ารู้ว่าท่านเข้าใจเพราะท่านฉลาดมาก ท่านก็แค่กำลังใช้ประโยชน์จากความรักที่ข้ามีต่อท่านต่างหาก และเพราะอย่างนั้นท่านก็เลยทำตัวอวดดีได้เช่นนี้!” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระชากคอเสื้อของเขาแล้วคำรามว่า ”ถ้าท่านโกรธ ท่านจะจับข้ามัดเอาไว้ก็ได้ ทำไมต้องทำตัวเย็นชาเช่นนี้ด้วย?!”
สมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงหึ่งๆ หลังจากเสียงคำรามของนางสิ้นสุดลง นางสูดหายใจเข้าลึกและดูใจเย็นลงได้ในที่สุด น้ำเสียงของนางแผ่วเบา ”แล้วแต่ท่านก็แล้วกัน อย่างไรตอนนี้ท่านก็กลับมาแล้ว และถ้าท่านจะเกลียดข้าก็เกลียดไป ท่านจะเลิกคุยกับข้าก็ไม่เป็นไร แต่อย่าเพิ่งมายุ่งกับข้าตอนนี้ ข้าเหนื่อยแล้ว” หลายวันมานี้เรี่ยวแรงของนางถูกดูดหายไปกับความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น สภาพจิตใจของนางเครียดขึงเหมือนกับคันธนูที่ถูกขึ้นสาย และสุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางผลักเขาออก พร้อมกับยกเท้าขึ้นเตรียมตัวจะเดินจากไป
แต่ก่อนที่นางจะทันได้ยกขาขึ้น ใครคนหนึ่งก็คว้าข้อมือนางไว้จากทางด้านหลังอย่างแรง แผ่นหลังของนางแนบกับหน้าอกของเขา พร้อมกับเสียงอันคุ้นเคยที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยนั้นก็ดังก้องขึ้นข้างหู ”ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าชอบถูกมัดมากขนาดนี้”
“ปล่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามควบคุมลมหายใจตัวเองให้คงที่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเยาะ ”ปล่อยหรือ เราทำพันธสัญญานิรันดร์กันแล้ว จากนี้เป็นต้นไปเจ้าจะได้เป็นของข้าอย่างแท้จริงเสียที ทุกอย่างของเจ้าเป็นของข้า อะไรทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถไปจากที่นี่ได้ตามอำเภอใจหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ นางเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้ง บัดซบ ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย
คนคนนี้ไม่เลิกแกล้งนางเสียที
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะกัดเขา และนางก็ทำเช่นนั้นจริงๆ นางคว้ามือของเขาขึ้นมาแล้วอ้าปากขึ้น
แต่สุดท้ายนางก็ทำไม่ลง
การทิ้งรอยไว้บนมืออันงดงามนี้มีแต่จะเป็นบาป
นับว่าหายากทีเดียวที่นางจะสามารถคิดถึงเรื่องความสวยความงามขึ้นมาได้ในเวลาเช่นนี้ ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหม่นแสงลง ใครบางคนก็เปรียบความรักเหมือนกับการแข่งขัน ใครจริงจังมากกว่า คนนั้นชนะ
มันไม่มีถูกมีผิด สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าใครจะรู้สึกผิดมากกว่ากัน แต่เป็นใครที่มีความรักลึกซึ้งและใครที่ห่วงใยกันมากกว่าต่างหาก
ตอนนี้คนที่ห่วงใยเขามากเกินไปก็คือนาง
นี่ถือเป็นการแก้แค้นนางหรือเปล่า
นางยังจำตอนที่เขายอมทิ้งทิฐิของตัวเองและขอร้องให้นางอยู่กับเขาได้
แต่นางก็ยังคงลาจากเขา
ตอนนี้การแก้แค้นที่ว่านั่นกำลังมาเยือนนาง นางพูดทุกอย่างออกไปด้วยความดื้อรั้นเพราะนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเป็นผู้แพ้จะเจ็บปวดมากถึงเพียงนี้
“ครึ่งก้านธูป” ทันใดนั้นเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เขายอมผละมือออกจากข้อมือของนาง และทำเพียงกุมมันเอาไว้หลวมๆ เท่านั้น เขาประทับริมฝีปากบางของตัวเองเข้ากับใบหูข้างซ้ายของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจ ครึ่งก้านธูปหรือ เขากำลังบอกว่านางเหลือเวลาเท่าใดก่อนจะได้พบจุดจบหรือ
“ข้าเย็นชากับเจ้าเพียงแค่ครึ่งก้านธูป แค่นี้เจ้าก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแหบพร่า ”เจ้าเคยคำนวณหรือเปล่าว่าข้าต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าจะทำใจได้ตอนที่เจ้าโผล่มา แล้วจากไป”
สมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยว่างเปล่า ภาพของเด็กชายผู้สูงศักดิ์ปรากฏขึ้นในหัวของนาง เด็กชายจอมหยิ่งยโส พูดน้อย และไม่เคยเข้าใกล้ใคร สิ่งเดียวที่เขาทำก็คือการรอให้นางกลับมาอย่างเชื่อฟัง ดวงตาของนางแดงระเรื่อทันทีที่คิดได้เช่นนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมา แล้วใช้นิ้วเรียวของตัวเองสัมผัสเข้าที่หว่างคิ้วของนาง จากนั้นเขาจึงเลิกผมหน้าม้าของนางขึ้นแล้วประทับจูบเข้าที่หน้าผากของนาง แล้วไล่ลงมาที่ดวงตา จนถึงจมูก ในที่สุดเขาก็ดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดแล้วใช้เสื้อคลุมขนสัตว์ห่อตัวนางไว้พร้อมกับแนบจมูกของตัวเองเข้ากับจมูกของนาง
ในเวลานี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอ่อนโยนอย่างมาก เขาให้ความรู้สึกเหมือนกับเหล้าองุ่นชั้นดีที่ถูกรินลงแก้วภายใต้ผืนฟ้ายามราตรี มันนุ่มนวลอย่างหาที่เปรียบมิได้ด้วยรสหวานกลมกล่อมที่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกเท่านั้น ผู้ชายคนนี้สามารถมอบความรักที่ทั้งโลกต้องอิจฉาให้กับนางได้ตราบใดที่เขาเต็มใจทำ
เขากระซิบกับนางว่า ”หลังจากเจ้าไป ข้าก็คิดว่าถ้าข้าได้เจอเจ้าอีกครั้ง ข้าจะหักแขนขาเจ้าทิ้งซะ เจ้าจะได้อยู่กับข้าตลอดไป”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา
“แต่พอข้าได้เห็นเจ้า สิ่งเดียวที่ข้าคิดออกกลับมีแค่ข้าต้องการเจ้าเหลือเกิน ข้าอยากแสดงความรักให้เจ้าเห็นจนขาของเจ้าหมดแรง และร้องขอความเมตตาจากข้า ต่อให้เจ้าอยากไปจากข้า เจ้าก็ไม่สามารถไปไหนได้” ในระหว่างที่พูด ริมฝีปากบางของเขาก็ประทับลงมาที่ริมฝีปากของนางและกัดมันเบาๆ มันไม่ได้เจ็บ แต่กลับทำให้นางรู้สึกจั๊กจี้เสียด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ ใบหน้าของนางร้อนวูบวาบอย่างผิดปกติ
คนคนนี้ เขากำลังคิดไร้สาระอะไรอยู่!
“ข้าพยายามห้ามตัวเองไม่ให้มองเจ้าเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง แต่ข้าต้องขอยอมรับว่าเจ้าเก่งเรื่องเรียกร้องความสนใจจากข้าจริงๆ” น้ำเสียงแหบพร่าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย้ายวนอย่างมาก แต่มันก็ไพเราะราวกับเครื่องดนตรีชั้นดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เขาหมายถึงเสียงบ่นเมื่อครู่ของนางนั่นเอง เขาคิดจะใช้เรื่องนี้แกล้งนางอีกนานแค่ไหนกัน
นอกจากนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังฟังดูเหมือนเยาะเย้ยอย่างชัดเจน
อันที่จริงเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังสงสัยอยู่ว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่
ทำไมเขาไม่พูดออกมาเลยล่ะว่านางก็แค่ลืมเขาไม่ลง และก็แค่ฝันกลางวันอยู่เท่านั้น
หรือบางทีเขาอาจจะหมายความว่านางดูมีเสน่ห์สำหรับเขา
ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น เขาก็คงไม่จูบนางอย่างอ่อนโยนถึงเพียงนั้นแน่
แต่ประโยคสุดท้ายของเขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ ทำไมถึงได้บอกว่านางเก่งเรื่องเรียกร้องความสนใจจากเขาล่ะ…