ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองสีหน้าสับสนงุนงงของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างยอมรับชะตากรรมตัวเอง ”ลืมมันไปเสียเถอะ แค่การมีตัวตนของเจ้าก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ข้าเสียสมาธิ ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าย่อมไม่สามารถตั้งสมาธิได้”
ข้าน่ารำคาญจริงอย่างที่เขาว่าหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มโมโห
ทันใดนั้นนางก็ถูกเขาสวมกอดเอาไว้ นิ้วของเขาลูบไปตามเส้นผมอ่อนนุ่มของนางเหมือนกำลังลูบขนสัตว์เลี้ยง เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า ”เจ้านี่มันโง่งมจริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่เชื่ออีกหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสะดุดลมหายใจตัวเอง กลิ่นอันคุ้นเคยที่อยู่รอบนางทำให้นางรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ
ในที่สุดทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ
สำหรับทุกคนยกเว้นก็แต่เขา กับความรักอันไร้เงื่อนไขและความรักใคร่เอ็นดูที่เขามีต่อนาง
ความจริงที่ว่าเขามักจะพูดจาเหน็บแนมและไม่เคยเปิดเผยความคิดที่แท้จริงของตัวเองออกมาไม่ได้ทำให้นางผิดหวังแต่อย่างใด เพราะอย่างไรนางก็ชินกับพฤติกรรมนี้ของเขาแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะคิกคัก แล้วกางแขนออกไปกอดเขา เอวแน่นและแข็งแกร่งที่อยู่ในวงแขนของนางกอดแล้วให้ความรู้สึกดียิ่งนัก
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาลง เขาก็สังเกตเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ไร้เดียงสาที่มุมปากของนาง และดวงตาที่มองมาที่เขาด้วยความรักอย่างลึกซึ้ง เขารู้สึกได้ถึงนิ้วของนางที่ไต่ไปตามเอวตัวเอง และเริ่มนึกสงสัยในรสนิยมผู้หญิงของตัวเองขึ้นมา เขาตกหลุมรักผู้หญิงที่ไม่สามารถละมือออกจากเขาตลอดเวลาได้อย่างไร
“ชอบหรือเปล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วสวยขึ้นข้างหนึ่ง กลิ่นกายหอมฟุ้งของเขาโอบล้อมเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้อีกครั้ง
“ไม่เลวทีเดียว ข้าชอบสัมผัสของผิวนุ่มๆ ลื่นๆ แบบนี้” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดในใจว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นของนางในอนาคต และนางจะสามารถสัมผัสมันได้มากเท่าที่นางต้องการ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยรอยยิ้มเย็นชาและชั่วร้ายออกมา ”ในเมื่อเจ้าชอบมันมากถึงเพียงนั้น หลังจากนี้ค่อยหาเวลาให้เจ้าสัมผัสดูก็แล้วกัน” แต่เป็นบนเตียง ไม่ใช่ที่นี่…
เฮ่อเหลียนเวยเวยดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี จากนั้นนางจึงถามว่า ”นี่เป็นกรณีพิเศษสำหรับข้าหรือ”
“อืม เป็นกรณีพิเศษ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับตัวเข้าไปหานาง แล้วกระซิบคำพูดนั้นใส่หูนางอย่างชั่วร้าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่แล่นไปทั่วร่างจากการสัมผัสอันเหนือความคาดหมายนี้ นางตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคลายมือออกด้วยท่าทางพอใจกับผลกระทบที่เขามีต่อนาง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่ทหารรักษาพระองค์ที่ขึ้นธนูเตรียมพร้อมอยู่ไกลออกไป น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจขณะเอ่ยว่า ”เจ้ายังกล้าเล็งธนูใส่ข้าอยู่อีกหรือ เจ้าคิดจะฆ่าแม้กระทั่งข้าหรือ”
ทหารรักษาพระองค์มองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ พวกเขาไม่กล้าขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่พวกเขาก็ได้รับคำสั่งมาจากฮ่องเต้ และคำสั่งนั้นสั่งให้พวกเขาประจำการอยู่ที่นี่และล้อมบริเวณนี้เอาไว้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องมองพวกเขา มือข้างหนึ่งของเขายังคงโอบเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ ทันใดนั้นเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขาก็สะบัดขึ้นในสายลม กองทัพปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา ทหารทุกนายล้วนแต่แต่งกายด้วยชุดสีดำ แต่ละคนถือหอกยาวไว้ในมือ การปรากฏตัวของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทั้งยังไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้!
มีบางคนจำกองทัพนั้นได้ พวกเขาคือองครักษ์เงาที่องค์ชายสามฝึกมากับมือ
ว่ากันว่าไม่มีใครกล้าเข้าใกล้องครักษ์เงาแปดพันนายเหล่านี้ในระยะหกสิบลี้
พวกเขาเคยได้ยินข่าวลือมามากมาย แต่แทบไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน
ในเวลานั้น ทหารรักษาพระองค์ที่ประจำการอยู่ในวังหลวงมาหลายปีต่างก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นในร่าง
องครักษ์เงายืนอยู่ข้างหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ใบหน้าของพวกเขามีหน้ากากปิดบังอยู่ราวกับกองทัพอันชั่วร้ายที่ถูกส่งตรงมาจากนรก พวกเขายืนตรงรอรับคำสั่งจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เมื่อเห็นการปรากฏตัวของพวกเขาและแสงที่สะท้อนอยู่บนมีดสีเงินของพวกเขา เสนาบดีอาวุโสหลายคนที่เคยพึ่งพาจวนผู้อาวุโสก็เริ่มลนลาน
เดิมทีแล้วพวกเขาวางแผนที่จะเปิดเผยตัวตนขององค์ชายเจ็ด แต่ตอนนี้พวกเขากลับตัวแข็งไปด้วยความกลัว
ทหารรักษาพระองค์รู้ว่านี่เป็นศึกที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ ทันใดนั้นเสียงเหมือนอะไรบางอย่างตกลงกระทบพื้นก็ดังไปทั่ว
ใครบางคนวางคันธนูลงแล้วคุกเข่าลงกับพื้นอย่างยอมรับความพ่ายแพ้
ทหารรักษาพระองค์สิบคน ร้อยคน พันคนต่างยอมรับความพ่ายแพ้และคุกเข่าต่อหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว!
เสนาบดีทุกคนในราชสำนักมองภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน
เสนาบดีจำนวนหนึ่งเคยเป็นคนขององค์ชายสาม บ้างก็เป็นคนของจวนผู้อาวุโส และบ้างก็ยังเป็นคนของฮ่องเต้เอง
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางแผนการนี้มานานแล้ว
พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะได้เป็นคนที่ขึ้นครองบัลลังก์
แน่นอนว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ แต่เขาไม่เคยเข้าใจวิถีทางการเมืองของเหล่าเสนาบดี ต่อให้เขามีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่พวกเขาก็คิดว่าสุดท้ายอำนาจในมือของเขาจะต้องหมดลง
แต่ตอนนี้เมื่อลองมองย้อนกลับไป องค์ชายใหญ่ก็จมน้ำตายเพราะเสียมารยาทต่อฮ่องเต้ด้วยการพูดจาไม่ระวังตอนที่ตระกูลหลี่รังแกองค์ชายสาม
ตระกูลมู่หรงเคยได้รับความเชื่อใจและความโปรดปรานจากฮ่องเต้มาหลายทศวรรษ ฮ่องเต้ถึงกับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าโปรดปรานมู่หรงฮองเฮาและองค์ชายห้า
แต่ชะตาของพวกเขากลับจบลงด้วยการถูกกักบริเวณตลอดชีวิตและถูกตัดหัวทั้งตระกูล ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นเพราะความพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสีองค์ชายสาม
ที่ผ่านมา เรื่องร้ายทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม แต่เมื่อพวกเขาขุดลึกลงไป ก็พบว่ารากของมันล้วนแต่เกิดขึ้นจากองค์ชายสามทั้งสิ้น
เสนาบดีเหล่านั้นอดตัวสั่นไม่ได้เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ตอนนี้มาถึงคราวฮ่องเต้ เมื่อมีปีศาจอาศัยอยู่ในร่างของเขา องค์ชายสามก็ปรากฏตัวขึ้นและนำความยุติธรรมมาสู่เขาด้วยการตัดสินบิดาของตัวเองด้วยความตาย
ไม่มีใครตั้งคำถามว่าทำไมองค์ชายสามถึงได้ขึ้นครองบัลลังก์ สำหรับคนที่เหลือนั้นมันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
แต่เสนาบดีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในราชสำนักมาจะมองไม่เห็นกลอุบายนั้นได้อย่างไร
ผลจากการตระหนักถึงสิ่งนี้ช้าเกินไป ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกที่วิ่งไปตามกระดูกสันหลังได้อย่างชัดเจน
พวกเขาสงสัยว่าองค์ชายที่พวกเขาเคยคิดว่าจะถูกตัดสิทธิ์จากบัลลังก์ได้ทุกเมื่อคิดแผนการที่จะกุมชะตากรรมของทั้งราชสำนักเอาไว้ในมือมานานเพียงใด
องค์ชายใหญ่ไม่อยู่แล้ว องค์ชายห้าไม่อยู่แล้ว แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่อยู่แล้ว
เวลานี้ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าใครจะเป็นผู้ได้ครองบัลลังก์ต่อไปในอนาคต
พวกเขาเคยแอบเหยียดหยามเขาเอาไว้ตอนที่ผู้หญิงเอาแต่ใจและไร้ค่าอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยอภิเษกสมรสกับองค์ชายสาม พวกเขาคิดว่าการไร้ความสามารถของนางจะเร่งให้เขาพบกับความล้มเหลว เพราะเดิมทีนั้นฐานะของเขาในราชสำนักก็จัดว่าเสียเปรียบอยู่แล้ว
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นเจ้าของร้านขายอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ อีกทั้งอำนาจนั้นยังทำให้นางสามารถชิงการควบคุมของตระกูลเฮ่อเหลียนกลับมาไว้ในมือได้อีกด้วย แต่ความสามารถของนางที่ทำให้กองกำลังลับยอมสวามิภักดิ์ได้ต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า!
ขนาดแยกกัน ลำพังแค่ตัวตนของสองคนนี้ก็น่ากลัวพออยู่แล้ว
แต่เมื่อครู่นี้ ตัวตนอันแข็งแกร่งและแน่วแน่ขององค์ชายสามเพิ่งจะทำให้ทหารรักษาพระองค์ยอมแพ้ได้สำเร็จ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยืนหยัดอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัวในตอนที่นางถูกทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นล้อมไว้
ตอนนี้เมื่อทั้งสองร่วมมือกัน อนาคต… ย่อมกลายเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา
ความกระวนกระวายเริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาของเสนาบดีจำนวนหนึ่ง
หนานกงเลี่ยยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ข้างพวกเขาตลอดเวลา เขารู้รายละเอียดทุกอย่างของแผนการนี้มาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังสามารถเดาสิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ออกได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้พวกเขาคงกำลังนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
แต่เขามั่นใจว่าพวกเขาคงไม่รู้ว่าอาเจวี๋ยมีความสามารถมากพอที่จะขึ้นครองบัลลังก์มานานแล้ว
ถ้าเขาอยากได้บัลลังก์จริงๆ เขาคงใช้กองกำลังของตัวเองก่อกบฏไปตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว
แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น เขาปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไป และจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยเมย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสง่างามว่า ”ข้าจะยอมรับบัลลังก์ก็ต่อเมื่อมันมาหาข้าด้วยตัวเอง”
เขาไม่เคยสนใจที่จะบังคับใช้อำนาจของตัวเองยามเมื่ออยู่ในราชสำนัก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับให้ความสำคัญกับวิธีการที่จะทำให้ได้สิ่งนั้นมาโดยไม่ต้องเสียแรงและเป็นธรรมชาติ
หลังจบเหตุการณ์ทั้งหมด เฮ่อเหลียนเวยเวยที่เพิ่งได้ยินการคาดเดาของเหล่าเสนาบดีจึงใช้โอกาสนี้เพื่อหาคำยืนยันกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ท่านวางแผนฆ่าองค์ชายใหญ่มาตั้งแต่ต้นแล้วหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองนาง แล้วพูดช้าๆ ว่า ”จริงอยู่ที่ข้าต้องการฆ่าเขา แต่เหตุผลข้อสำคัญที่ทำให้ข้าลงมือไม่ใช่เพราะบัลลังก์”
“เช่นนั้นเหตุผลคืออะไรหรือ”