เถาเฉิงรีบลุกขึ้นกล่าวลา
สวีซื่อจุนกำชับให้หวังซู่ไปส่งเขา
เมื่อเดินมาถึงประตู เถาเฉิงก็รีบหยิบเงินก้อนเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือหวังซู่ “สหายหวัง นี่เป็นค่าขนมของเจ้า!ต่อไปนี้ขอให้สหายหวังช่วยพูดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าต่อหน้าซื่อจื่อสักหน่อยเถิด”
เงินอยู่ในมือของหวังซู่ เขาวัดน้ำหนักมันตามสัญชาตญาณ
ดูไม่ออกเลยว่าผู้ดูแลที่ดินตำแหน่งเล็กๆ อย่างเขาจะกล้าออกเงินถึงห้าตำลึง ช่างใจกว้างเสียจริง!
แต่ว่าหวังซู่ไม่กล้ารับไว้
ตอนที่เขาเข้ามาในจวน บิดาของเขาเตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ‘รับของของเขา กินของของเขาแล้วก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอของเขาได้ ห้ามหลงกลการเอารัดเอาเปรียบของผู้อื่นเด็ดขาด รอวันนั้นที่เจ้าต้องชดใช้หนี้ เจ้าจะรู้เองว่ามันร้ายแรงแค่ไหน อย่าว่าแต่อนาคตเลย ไม่แน่อาจจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต’
“คนกันเอง ผู้ดูแลเถาไม่เห็นต้องทำเช่นนี้เลย!”
เขายัดเงินคืนให้ “คุณชายน้อยสี่กำลังรอให้ข้าไปปรนนิบัติ ผู้ดูแลเถาค่อยๆ เดินเถิด ข้าไม่ขอไปส่งก็แล้วกัน!” พูดพลางหันหลังแล้วเดินเข้าเรือนไป
“รอเดี๋ยวก่อน สหายหวัง…” ถึงแม้ว่าเถาเฉิงจะตะโกนเรียก แต่หวังซู่ก็ไม่แม้แต่จะตอบกลับ มุมปากขยับเล็กน้อย ด่าทอเสียงเบาว่า “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย” ขณะที่หันหลังกำลังจะเดินออกไป ก็เห็นผู้ดูแลหลี่ซึ่งเป็นคนที่อยู่ห้องซือฝังเรือนนอกของจวนสกุลสวีกำลังเดินมา
“ผู้ดูแลหลี่!” เขารีบเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเข้าไปทักทาย “ไม่ได้เจอกันนาน ท่านสบายดีหรือไม่ ครั้งที่แล้วที่ข้าเอากระต่ายป่ามาให้ท่านทานหมดแล้วหรือยัง หากทานหมดแล้ว ข้าจะส่งมาให้อีกสองตัว” จากนั้นก็ยัดก้อนเงินที่ถูกส่งกลับคืนมาเมื่อครู่ใส่มือผู้ดูแลหลี่ “จู่ๆ ซื่อจื่อก็เรียกข้าเข้าจวนมา ข้ารีบมาจึงไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วย ถือว่าข้าให้เกียรติท่านด้วยสุราสองไห…”
เถาเฉิงผู้นี้ช่างอยู่เป็นเสียจริง
เพื่อเห็นแก่หน้าของซื่อจื่อ บางครั้งก็มอบหมายให้เขาเป็นคนซื้อสินค้าเล็กๆ น้อยๆ ในจวน
ผู้ดูแลหลี่หัวเราะ เอาเงินใส่เข้าไปในแขนเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ “คุณชายน้อยสี่เรียกเจ้าเข้าจวนมาพูดคุยอีกแล้วหรือ! จะว่าไปแล้วคุณชายน้อยสี่ของพวกเรานับว่าเป็นคนที่นึกถึงสหายเก่าเสมอ…” ทั้งสองคนเดินเคียงบ่ากันออกไปด้วยท่าทางสนิทสนมเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าไม่ได้สังเกตเห็นการกลับมาอย่างกะทันหันของหวังซู่และใบหน้าที่ไม่พอใจของเขา
******
จิ่นเกอเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบๆ เห็นบิดาที่นอนอยู่บนเก้าอี้จุ้ยเวิงยังคงอ่านหนังสืออยู่ เขาบุ้ยปากด้วยความผิดหวังเล็กน้อย หันกลับมามองกระดาษที่อยู่ตรงหน้า สองวันมานี้เขาได้เลิกคัดตัวอักษรตามเส้นสีแดงและได้เริ่มเขียนตัวอักษรบนกระดาษเปล่าแล้ว
สวีลิ่งอี๋ที่กำลังอ่านหนังสือยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
เจ้าเด็กคนนี้ จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยมาสองวันแล้ว
หรือว่ามีเรื่องอันใดแปลกๆ เกิดขึ้น
หากไม่ได้สัมผัสกับเด็ก ก็จะไม่มีทางรู้ว่าเด็กๆ นั้นน่าสนใจแค่ไหน
โดยเฉพาะจิ่นเกอ
เขามีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา แค่เห็นก็สามารถทำให้รู้สึกมีพลังงานเต็มเปี่ยม
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็วางหนังสือในมือลง จ้องมองบุตรชายอย่างเงียบๆ
เขาเหมือนกับเด็กในสกุลสวี ตัวสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ผมสีดำขลับ แต่ผิวขาวอมชมพูเหมือนกับสืออีเหนียง เขานั่งตัวตรง จ้องไปยังกระดาษที่อยู่ตรงหน้าเขา ขยับข้อมือที่จับพู่กันเขียนลงบนกระดาษอย่างตั้งอกตั้งใจ เม้มริมฝีปากสีแดงแน่น มีหยาดเหงื่อที่ปลายจมูกได้รูปของเขาเล็กน้อย ท่าทางจริงจังทำให้สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและสง่างาม
สวีลิ่งอี๋แอบรู้สึกภาคภูมิใจ
เมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังเฝ้าดูอยู่ จิ่นเกอจึงเงยหน้าขึ้นมา
สองพ่อลูกสบตากัน
“จิ่นเกอ!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเล็กน้อย กวักมือเรียกบุตรชายให้มาหาตัวเอง
จิ่นเกอวางพู่กันลง วิ่งมาหาบิดา แต่กลับไม่ได้ยืนด้วยท่าทางนอบน้อมเหมือนสวีซื่อจุนหรือสวีซื่อเจี้ย ซ้ำยังกอดแขนของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ใจอ่อน น้ำเสียงนุ่มนวลยิ่งกว่าเดิม “เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่”
จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก “ท่านพ่อรู้แล้วหรือขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้ว ท่าทางเหมือนจะบอกว่าเจ้าอย่าได้คิดปิดบังข้าเด็ดขาด
“พวกเขาต่างก็บอกว่าพี่สี่จะแต่งงานแล้ว…” ท่าทางของจิ่นเกอเหมือนกำลังหยั่งเชิงอยู่เล็กน้อย “จากนั้นก็จะย้ายไปอยู่ที่หลังเรือนของพวกเรา เช่นนั้นเรือนที่เขาเคยอยู่ก็จะว่าง…ข้าย้ายไปอยู่เรือนของพี่สี่ได้หรือไม่ขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้คิดที่จะย้ายไปอยู่เรือนของพี่สี่”
เมื่อเห็นท่าทางที่อ่อนโยนของท่านพ่อ จิ่นเกอก็เปล่งเสียงดังขึ้น “ข้าไม่อยากอยู่ที่เรือนหลัก ข้าอยากไปอยู่เรือนนอกเหมือนพี่สี่กับพี่ห้า อย่างไรเสียเรือนของพี่สี่ก็ว่างอยู่แล้ว…” จากนั้นก็พูดด้วยความไม่พอใจ “พวกนางมักจะทำท่าทางตกอกตกใจเวลาเห็นข้ากระโดดลงจากระเบียงทางเดินแล้วก็ไปฟ้องท่านแม่ เวลาเห็นเสื้อกั๊กของข้ามีเหงื่อก็วิ่งไปบอกท่านแม่ เวลาเห็นข้ากับฉังอานฝึกต่อสู้กันก็วิ่งไปบอกท่านแม่…แล้วท่านแม่ก็ดุข้า” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็แอบเสียใจเล็กน้อย ท่านพ่อรู้ว่าท่านแม่เคยดุเขา ไม่แน่ท่านพ่อก็อาจจะดุเขาด้วย เมื่อคิดได้เช่นนี้น้ำเสียงของเขาก็เบาลง “ข้า ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจขอรับ” เขาแอบเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ด้วยหางตา “บางครั้งเวลารีบก็จะกระโดดลงจากระเบียงทางเดินไปที่ลานแล้วออกไปตรงทางเดินกลางแจ้ง…ทางตรงนั้นเดินใกล้กว่าทางอ้อมมาก นี่เป็นสิ่งที่ท่านบอกข้าเอง!” เมื่อเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ยิ้ม จิ่นเกอก็พูดเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง ซ้ำยังพูดจาฉะฉานอย่างมีเหตุผล “ตอนนี้ข้ากำลังเรียนมวยกับอาจารย์ผัง เรียนมวยจะไม่ให้มีเหงื่อได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่ฝึกต่อสู้กับฉังอาน สาวใช้น้อยเหล่านั้นไม่รู้ หรือว่าท่านก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน หากไม่ฝึกต่อสู้กัน เกิดเจอศัตรูขึ้นมา การตอบสนองจะรวดเร็วได้อย่างไร…”
“เจ้าอย่ามาพูดจาไร้สาระกับข้า” สวีลิ่งอี๋บีบจมูกบุตรชายเบาๆ “หากเจ้าแค่ฝึกต่อสู้กับฉังอาน ท่านแม่ของเจ้าจะดุเจ้าได้อย่างไร” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าอยากย้ายออกมาก็บอกว่าอยากย้ายออกมา ไม่ต้องหาข้ออ้างให้ตัวเอง ยิ่งไม่ควรโยนความผิดให้ท่านแม่ของเจ้า ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าท่านแม่ของเจ้าไม่ใช่สตรีไร้การศึกษา ในเมื่อนางดุเจ้า เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้ามีความผิด”
จิ่นเกอหน้าแดงก่ำ
มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหว หวังซู่มาขอพบขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋จะไม่สั่งสอนจิ่นเกอต่อหน้าบ่าวรับใช้เหล่านี้
เขาหันไปมองจิ่นเกอ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ให้เขาเข้ามา!”
******
เว่ยจื่อกับป้าหังกำลังคุยกับสวีซื่อจุนเรื่องย้ายเรือน “…ของทั้งหมดได้เก็บไว้ที่เรือนแถวด้านหลังแล้ว นี่คือสมุดบัญชี ท่านให้คนเอาไปตรวจดูแล้วก็ประทับตราได้เลยเจ้าค่ะ”
เพราะนี่เป็นงานแต่งตัวเอง สวีซื่อจุนเลยรู้สึกเขินเล็กน้อย เขาตะโกนเรียกปี้หลัว “เจ้ากับหวังซู่ไปประทับตรากับผู้ดูแลหญิงทั้งสองท่าน!”
ปี้หลัวมองสวีซื่อจุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ย่อเข่ารับคำ แล้วไปที่เรือนแถวด้านหลังกับทั้งสองคน
“หวังซู่ไปไหนเสียแล้ว” ปี้หลัวรออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่เห็นเขา
หั่วชิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยให้เขาไปส่งผู้ดูแลเถาแล้ว…ไม่แน่อาจจะถูกผู้ดูแลเถาลากไปดื่มสุราแล้ว!”
ทุกครั้งที่ผู้ดูแลเถามาก็จะตีสนิทคนโน้นคนนี้ไปทั่ว
“จริงๆ เลย เจ้ากล้านินทาข้าลับหลังอย่างนั้นหรือ” หั่วชิงยังไม่ทันได้พูดจบ หวังซู่ก็ยิ้มพลางเดินเข้ามา “คราวนี้ถูกข้าจับได้เสียแล้ว!”
“คุณชายน้อยกำลังตามหาเจ้าอยู่!” หั่วชิงรีบเบนความสนใจของหวังซู่ “เจ้าไปไหนมา เร็ว มาช่วยพวกเรานับของที่ย้ายมาจากเรือนของฮูหยินคนก่อน อีกสักครู่จะได้รีบไปรายงานคุณชายน้อย!”
หวังซู่ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ยิ้มพลางรับสมุดบัญชีมาจากปี้หลัว “พวกเจ้านับกันไปถึงไหนแล้ว…”
******
ไท่ฮูหยินวางสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาลงบนโต๊ะเตียงเตาเคลือบสีดำลายวิหคชมบุปผา จนเกิดเสียงลูกประคำกระทบกัน
“สืออีเหนียงมีจิตใจกว้างขวาง” เขารับถ้วยชาจากป้าตู้ ค่อยๆ จิบหนึ่งอึก “หลายปีมานี้ก็ให้คนมาทำความสะอาดสิ่งของในเรือนหยวนเหนียงอยู่ตลอด ทุกวันตรุษจีนและวันครบรอบการจากไปของหยวนเหนียงก็จะพาจุนเกอไปจุดธูปบูชา จุนเกอก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว หากคุณหนูเก้าสกุลเจียงเห็นคงจะคิดว่าพวกเราไม่พอใจอะไรสืออีเหนียง หากเป็นเช่นนั้นจะแย่เอาได้ อาศัยโอกาสนี้ซ่อมแซมเรือนนั้นสักหน่อยก็ดี” พูดจบก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืนขึ้นในทันที “ข้าว่าข้าควรไปหาจุนเกอด้วยตัวเอง บอกคำพูดเหล่านี้กับเขา เขาจะได้ไม่ต้องมีปมในใจ”
ป้าตู้ไม่กล้าพูดอะไรมาก ยิ้มพลางพยุงไท่ฮูหยิน แล้วไปเรือนต้านปั๋วไจด้วยกัน
“…ท่านแม่จากไปหลายปีแล้ว” สวีซื่อจุนไม่ได้รู้สึกเศร้าใจกับเรื่องนี้อย่างที่ไท่ฮูหยินคิด “ข้าเองก็โตแล้ว ไม่ใช่เด็กไม่รู้จักความ ไม่มีทางคิดว่าทุกคนจะลืมท่านแม่เพียงเพราะที่อยู่เก่าของท่านแม่ถูกปรับปรุงใหม่…” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะ “อีกอย่างคนที่ไปอาศัยก็เป็นข้าไม่ใช่ใครอื่น หากท่านแม่ยังอยู่ ก็จะต้องมีความสุขอย่างแน่นอนขอรับ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย จับมือสวีซื่อจุนพลางถอนหายใจ “จุนเกอของพวกเราโตขึ้นแล้วจริงๆ!”
ย่าหลานพูดความในใจกันตลอดทั้งบ่าย จากนั้นไท่ฮูหยินก็กลับเรือนไป
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขณะที่เขากำลังทานอาหารเช้าอยู่ สวีลิ่งอี๋ก็ให้เติงหั่วบ่าวรับใช้ข้างกายมาเรียกเขาไป
สวีซื่อจุนประหลาดใจเล็กน้อย
ทุกเช้าเขาจะอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนนอก สวีลิ่งอี๋จะอยู่ที่ห้องหนังสือเล็กด้านหลังห้องหนังสือเรือนนอก หากมีเรื่องอันใดก็แค่มาเรียก...เหตุใดไม่รอให้เขาไปที่ห้องหนังสือเรือนนอกแต่กลับส่งคนมาเรียกถึงเรือน!
สวีซื่อจุนไม่สนใจทานอาหารเช้าแล้ว วางตะเกียบลงแล้วเร่งให้ปี้หลัวมาช่วยเขาเปลี่ยนชุดพลางคาดเดาว่าบิดากำลังคิดอะไรอยู่ ‘หรือว่าจะเรียกเขาไปคุยเรื่องย้ายเรือน’
เขารีบไปที่ห้องหนังสือเรือนนอก
สวีลิ่งอี๋ยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนบันไดห้องหนังสือ จิ่นเกอที่สวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีแดงกำลังดึงชายเสื้อของบิดา มองสวีซื่อจุนด้วยความสงสัย
สวีซื่อจุนยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
“ท่านพ่อ!” เขาพึ่งจะยกมือคำนับ สวีลิ่งอี๋ก็เดินลงมาจากบันได “พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถิด!”
จิ่นเกอวิ่งตามหลังสวีลิ่งอี๋
สวีซื่อจุนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไปด้วย
ฟ้าพึ่งจะสาง บนทางเดินเต็มไปด้วยบรรดาสาวใช้ที่ต้องมากวาดทางเดินในตอนเช้า
ทุกคนต่างก็หลีกทางให้ด้วยความตื่นตระหนกพลางโค้งคำนับ
ประตูใหญ่ของจวนสวีถูกเปิดไว้นานแล้ว มีรถม้าหลังคาแบนสีดำที่ดูธรรมดาจอดอยู่
สวีลิ่งอี๋ขึ้นรถม้าแล้วกำชับคนบังคับม้าว่า “ไปต้าซิ่ง”
เมื่อเหวี่ยงแส้ รถม้าก็วิ่งออกไปทันที
สวีซื่อจุนประหลาดใจอย่างมาก จากนั้นก็รีบนั่งตัวตรง มีสมาธิไม่วอกแวก มีท่าทางสง่างามของคุณชายตระกูลขุนนาง
จิ่นเกอกลับหมอบอยู่บนตักของสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อ เหตุใดพวกเราต้องไปต้าซิ่งด้วย ไปต้าซิ่งต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งวัน พวกเราจะไปทานอาหารกลางวันที่โรงเตี้ยมอย่างนั้นหรือ” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็มีท่าทางตื่นเต้น “ท่านพ่อ วันนี้พวกเราจะกลับจวนหรือไม่ หรือว่าต้องนอนที่โรงเตี้ยม ข้าได้ยินอาจารย์ผังบอกว่าโรงเตี้ยมใหญ่มาก มีคนให้อาหารม้า แล้วก็มีของกินด้วย ระหว่างทางจากชังโจวไปเยี่ยนจิง มีโรงเตี้ยมชื่อดังแห่งหนึ่งคือโรงเตี้ยมเกาเซิง สุราเกาเหลียงของที่นั่นแรงมาก…”
“นั่งลงดีๆ!” สวีลิ่งอี๋ดึงคอเสื้อของบุตรชาย “ข้าพาเจ้าออกมาข้างนอก เจ้าก็เอาแต่พูดไม่หยุด…”
“ข้าไม่พูดแล้ว ข้าไม่พูดแล้ว!” จิ่นเกอรีบเอามือทั้งสองข้างปิดปาก มีเสียงอู้อี้ดังออกมาจากฝ่ามือของเขา “ท่านพ่อออกมาคราวหน้าต้องพาข้ามาด้วยนะขอรับ!”
สวีซื่อจุนทนไม่ได้อีกต่อไป ผุดรอยยิ้มขึ้นด้วยท่าทางเอือมระอา