จ้าวเฟยลู่ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า ท่านหญิงซูซูผู้นี้มีตรงไหนที่ไม่ดี ถึงได้ทำให้ซูชีไม่ชอบเสียขนาดนี้!
ต้องรู้ก่อนว่า หากสตรีในใจเขาสามารถปฏิบัติต่อตนเองเหมือนกับซูซูแบบนี้ล่ะก็ เขาจะต้องทิ้งภาระ ทิ้งทุกอย่างบนตัวแล้วไปให้ไกลแสนไกลอย่างไม่รีรอแน่นอน!
“ท่านหญิงซูซู พวกเรากลับไปกันก่อนเถอะ ข้างนอกหนาวเกินไป” อีกอย่างสุขภาพของท่านก็เพิ่งจะดีขึ้น อย่าได้ทิ้งโรคเรื้อรังอันใดไว้เชียวนะ
ซูซูหันกลับไปมองจ้าวเฟยลู่แวบหนึ่งด้วยอารมณ์หดหู่อย่างเห็นได้ชัด
“พี่จ้าว ท่านก็รู้ ข้าเพียงแค่อยากปลอบเขา อยากเบนความสนใจเขาเท่านั้นเอง”
จ้าวเฟยลู่ไม่เอ่ยอันใด ซูซูเอ่ยต่อว่า “ท่านว่าข้าทำให้คนรำคาญ และรังเกียจมากใช่หรือไม่”
จ้าวเฟยลู่ได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กลัวว่าหากตนเองยังไม่ยอมตอบคำถาม ท่านหญิงซูซูจะตกอยู่ในสภาพที่หาทางออกไม่ได้อีก
เขาจึงเอ่ยยิ้มๆ “ไม่หรอก นิสัยท่านร่าเริงมาก ตลอดทางนี้มีท่าน พวกเราทุกคนอารมณ์ดีกันมากเลย”
เขาไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่า การมีท่านหญิงซูซูอยู่ด้วยตลอดเส้นทางนี้ พวกเขามีช่วงเวลาที่คุยกันแล้วหัวเราะสนุกสนานจริงๆ
ซูซูเบ้ปาก
“แต่ข้ากลับช่วยอะไรไม่ได้ในยามที่เขามีเรื่องหงุดหงิดใจ ไม่เพียงแต่จะช่วยไม่ได้ ยังถึงขั้นถ่วงแข้งถ่วงขาเขาเลยด้วยซ้ำ…”
จ้าวเฟยลู่ปฏิบัติต่อซูซูเหมือนกับปฏิบัติต่อน้องสาวตนเอง เพราะเขาก็มีน้องสาวอายุประมาณนี้ ทั้งยังน่ารักไร้เดียงสาคนหนึ่งเช่นกัน
“จิตใจของบุรุษ ก็เหมือนกับจิตใจของพวกท่านเหล่าสตรี ทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ถูกตลอด ดังนั้นตอนที่เขามีเรื่องหงุดหงิดใจ บางครั้งสิ่งที่พวกเราควรทำ ก็ไม่แน่ว่าต้องช่วยคลี่คลาย แต่ยืนปลอบใจอยู่อีกด้านเงียบๆ นั่นก็เป็นการสนับสนุนประเภทหนึ่งเช่นกัน”
“วางใจเถอะ คุณชายเจ็ดตระกูลซูจะต้องเข้าใจท่านแน่ๆ”
วาจานี้เขาก็แค่หยอกให้ซูซูอารมณ์ดี ใครจะไปรู้ว่าในใจซูชีคิดอันใดอยู่
ซูซูเชื่อวาจาของจ้าวเฟยลู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้นอกจากเลือกที่จะเชื่อวาจาของเขาแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไรได้อีก ดังนั้นจึงพยักหน้าตาม
ส่วนทางด้านซูชี
เขาหลบเลี่ยงกลุ่มคน มาถึงภัตตาคารซึ่งเป็นกิจการตระกูลซูอีกแห่ง แม้ว่าเห็นประตูแล้วจะดูรุ่งเรืองมาก แต่กลับเห็นได้ชัดว่าคึกคักสู้ภัตตาคารที่อยู่ตรงข้ามไม่ได้
ความจริงแล้วเขาไม่ต้องครุ่นคิดให้ละเอียดก็รู้ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นมาอย่างไร
ตอนนี้ชื่อเสียงตระกูลซูในอำเภอเฟ่ย เรียกได้ว่าฉาวโฉ่ยิ่งนัก!
เพียงแต่ถูกชื่อเสียงและฐานะของตระกูลซูในแคว้นเทียนฉีบังคับ ใต้เท้านายอำเภอที่เคยดำรงตำแหน่งจึงทำได้แค่ปกป้อง หลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่ง
ตระกูลซูใช้อำนาจบาตรใหญ่กับแผนการอันโหดเหี้ยมที่นี่ เพราะมีอำนาจยิ่งใหญ่มาตลอด ไหนเลยจะมีใครกล้าไปฟ้อง ย่อมต้องกล้าสนทนากันเป็นการส่วนตัวเท่านั้น…
เดิมซูชีก็เฉลียวฉลาด จึงคิดทุกอย่างออกในเวลาชั่วครู่เดียว!
ความเสียหายที่เกิดจากคนใน ปัญหาเล็กน้อยก็สามารถกลายเป็นหายนะได้ หากว่ามีมาก ก็เกรงว่าตระกูลซูจะถูกพวกเขาทำให้เดือดร้อน และเดินไปบนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับได้…
อาจ้าวติดตามอยู่ข้างหลังซูชีเงียบๆ เมื่อเห็นซูชีเข้าไปในภัตตาคารที่เป็นกิจการของตระกูลซู เขาจึงตามเข้าไปด้วยเป็นธรรมดา
“โอ้! สุขสันต์วันปีใหม่ขอรับคุณลูกค้า! คุณลูกค้าจะแวะกินอาหาร หรือพักที่ร้านขอรับ”
เพิ่งจะเข้ามาในภัตตาคาร ก็เจอกับสายตาพิจารณาพวกเขาขึ้นๆ ลงๆ จากเสี่ยวเอ้อร์ ตอนที่ค้นพบว่าพวกเขาอาจจะเป็นคนร่ำรวย ถึงได้แย้มรอยยิ้มบางๆ ต้อนรับ!
สำหรับสีหน้าท่าทีเช่นนี้ ซูชีย่อมชักสีหน้าใส่เป็นธรรมดา
อาจ้าวเอ่ย “ยกอาหารขึ้นชื่อของพวกเจ้ามาสองจานกับสุราชั้นดีอีกกาหนึ่ง!”
เสี่ยวเอ้อร์พิจารณาทั้งสองคนครู่หนึ่งอีกครั้ง มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มลำพองใจ ตะโกนเสียงดังว่า “ได้เลยขอรับ! คุณลูกค้ารอสักครู่นะขอรับ!”
ลูกค้าที่มาในวันนี้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นแกะตัวอ้วนพีตัวหนึ่ง!
อ่อ ไม่ใช่สิ! แกะตัวอ้วนพีสองตัวต่างหาก!
ขอแค่สามารถจัดการกับแกะอ้วนสองตัวนี้ได้ เช่นนั้นปีนี้เขาก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้แล้ว!
เสี่ยวเอ้อร์ถอยออกไปอย่างได้ใจ ซูชีกลับถอนหายใจเบาๆ
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า กิจการตระกูลซูของพวกเรา จะมีวันที่มีคนทำให้เสียหายแบบนี้ด้วย!”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ!
ทุกวันพี่ใหญ่ไม่เพียงแต่ต้องจัดการกิจการยิ่งใหญ่ของตระกูล แต่ยังต้องรับมือกับการโจมตีทั้งในที่ลับและที่แจ้งของคนในตระกูลบ่อยๆ ด้วย เดิมก็ยากจะป้องกัน เฉกเช่นคนที่กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาที่เลี้ยงไว้ข้างนอกประเภทนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอันใดดี!
หรือต้องตำหนิที่พี่ใหญ่จัดการเรื่องราวและใช้คนได้ไม่เหมาะสม?
เขา ซูชีเป็นคนที่ไม่มีคุณสมบัติจะเอ่ยเช่นนั้นมากที่สุด!
เพราะในใจซูชีเข้าใจดีว่า หลายปีมานี้ แม้ว่าเขาจะมีผลงาน แต่กลับสร้างปัญหาไม่น้อยเช่นกัน!
แต่พี่ใหญ่ไม่เคยตำหนิเขาสักประโยค แม้ว่าเขาจะก่อเรื่อง พี่ใหญ่ก็จะช่วยตามล้างตามเช็ดให้ตนเองอยู่ข้างหลัง!
ตอนนี้ เขาพบกับเรื่องแบบนี้ เช่นนั้นเขาพิจารณาดูแล้ว ก็เห็นว่าจำเป็นต้องจัดการตามธรรมเนียมของตระกูลซูให้พี่ใหญ่สักหน่อย!
ต้องให้คนที่อยู่ข้างนอกรู้ว่า แม้ว่าตระกูลซูจะอยู่ห่างไกลจากพวกเขา แต่กลับไม่ได้หัวหมุนเพราะถูกพวกเขาปิดหูปิดตา!
“อาจ้าว ตอนนี้จดหมายที่ส่งไปเมืองหลวงต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงจะได้รับข่าวกลับมา”
เขาหันไปถามอาจ้าว อย่างไรเสียเรื่องอย่างการส่งข่าว ยังคงเป็นอาจ้าวที่ค่อนข้างชำนาญ!
อาจ้าวก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงได้ตอบว่า “อย่างมากห้าวัน อย่างน้อยสามวันขอรับ”
ซูชีหรี่ตาลง แล้วพยักหน้า
“อีกครู่กินข้าวเสร็จ เจ้าก็รีบกลับเมืองหลวงไปรายงานเรื่องนี้ให้พี่ใหญ่ตัดสินใจ!”
อย่างไรเสียหัวหน้าตระกูลซูก็คือพี่ใหญ่ แม้ว่าในใจเขาจะโกรธแค้นไม่พอใจ แต่กลับต้องได้รับคำสั่งจากพี่ใหญ่ก่อนถึงจะสามารถลงมือจัดการเรื่องราวได้!
แม้ว่าเขา ซูชีจะอยู่ในยุทธภพมาเป็นเวลานาน แต่กลับรู้กฎเกณฑ์ข้อนี้ดี
อาจ้าวพยักหน้าเห็นด้วย
เวลาชั่วครู่หนึ่ง เสียงตะโกนของเสี่ยวเอ้อร์ก็ดังขึ้น ตอนที่ลูกค้าคนอื่นซึ่งกินอาหารในห้องโถงเห็นใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานของเสี่ยวเอ้อร์ ล้วนรู้สึกจนปัญญาและเห็นอกเห็นใจคนโง่ที่ถูกหลอกสองคนนั้น
คนทั้งอำเภอเฟ่ย มีใครที่ไม่รู้บ้างว่า สถานที่ที่กิจการตระกูลซูมีส่วนเกี่ยวข้องล้วนเป็นสถานที่ที่กินคนไม่คายกระดูก[1]?
ยกเรื่องอาหารในตอนนี้มาเอ่ยแล้วกัน เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นจะต้องยกอาหารที่ขึ้นชื่อและใช้รับแขกทั้งหมดในภัตตาคารมาหลอกเอาเงินคนพวกนี้แน่นอน!
คนพวกนี้ บางคนก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง บางคนก็อยากดูเรื่องสนุก ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนาน เสี่ยวเอ้อร์จึงไม่กล้าสร้างความลำบากใจให้พวกเขามากกว่านี้ ถึงได้ทำให้พวกเขามีสถานที่สงบเงียบเล็กน้อย
“คุณลูกค้า อาหารที่พวกท่านสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ!”
เสี่ยวเอ้อร์เอ่ย พลางนำอาหารยกมาในมือวางลงบนโต๊ะ
อาหารสองจานธรรมดาที่ล้นเหลือ บวกกับสุรากาหนึ่ง
เดิมซูชีนึกว่าอาหารครบหมดแล้ว ตอนที่เตรียมจะกิน เสี่ยวเอ้อร์กลับยกอาหารมาอีกสองจาน หลังวางเรียบร้อยแล้วก็จากไปอีกครั้ง ไปกลับแบบนี้ต่อเนื่องกันสี่ห้ารอบ สุดท้ายโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ไม่ใหญ่ก็เต็มไปด้วยกับข้าวละลานตา
[1] กินคนไม่คายกระดูก เป็นการอุปมาถึงคนที่มีจิตใจอำมหิตและโลภมาก