ตอนที่ 649 ครอบครัวไป๋ซวงสมรู้ร่วมคิด
เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย คุณปู่ไป๋จึงบอกว่าเขาจะจัดงานเลี้ยงให้กับหลินม่ายเพื่อเฉลิมฉลองการเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาของเธอ
หลินม่ายยิ้มและบอกชายชราว่าเธอได้จัดงานเลี้ยงในเจียงเฉิงแล้ว
คุณย่าไป๋โบกมือ “บ้านสามีของหลานจัดงานให้ที่เจียงเฉิง แต่เราจะจัดให้หลานที่นี่”
หลานสาวผู้งดงามและชาญฉลาดของพวกเขาไม่คิดอวดดีต่อหน้าผู้อื่น เธอคือผู้ไม่อวดความมั่งคั่ง แต่หากจะปล่อยให้เลยตามเลยไปเช่นนี้ก็คงไม่ดีใช่หรือไหม?
ดังนั้นงานเลี้ยวจึงถูกจัดขึ้นโดยฝีมือคุณย่าไป๋
หลังมื้ออาหาร หลินม่ายพูดคุยกับผู้อาวุโสทั้งสองคนสักพัก เมื่อเห็นว่าเย็นย่ำแล้ว เธอจึงขอตัวกลับไปยังโรงแรม
คุณย่าไป๋กล่าว “หลานพักโรงแรมไหน บ้านของพ่อหลานมีห้องว่างอยู่มากมาย พักกับพวกเขาสิ หลานจะย้ายมาอยู่กับย่าหรือย้ายไปอยู่กับพ่อ พี่ชาย และพี่สาวก็ได้”
หลินม่ายปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยู่ในโรงแรมได้”
พ่อไป๋รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หลินม่ายปฏิเสธที่จะย้ายไปอยู่กับพวกเขาเพราะแม่ไป๋และไป๋ซวง
และเป็นเพราะพวกหล่อนสองคน เขาจึงปฏิเสธที่จะอยู่กับคุณปู่ไป๋และคุณย่าไป๋
เป็นเพราะแม่ไป๋และไป๋ซวงที่ทำให้หลินม่ายไม่เต็มใจที่จะเข้าใกล้ตระกูลไป๋
เมื่อเห็นเช่นนี้ คุณย่าไป๋ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้ และหยิบซองแดงออกมาส่งให้หลินม่าย
หลินม่ายไม่ต้องการ แน่นอนว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตของเธอ
สีหน้าของคุณย่าไป๋เศร้าเล็กน้อย หลานสาวไม่ต้องการเกี่ยวข้องหรือรับเอาสิ่งใดจากนางเลย
นางจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม “นี่เป็นครั้งแรกที่หลานมาเยี่ยมเยียนบ้านปู่และย่า ปู่และย่าควรให้อั่งเปาหลาน และหลานก็ควรจะรับมันไว้ด้วย”
เมื่อเห็นว่าดวงตาของคนชราแดงก่ำเล็กน้อยด้วยความกังวล หลินม่ายจึงหยิบซองแดงมาเปิด
เธอหยิบเอาธนบัตรเพียงสองใบในนั้นก่อนจะยื่นซองคืนให้คุณย่าไป๋ ยิ้มพลางกล่าว “ถือว่าหนูรับน้ำใจของปู่และย่าไว้แล้วนะคะ”
คุณย่าไป๋หัวเราะพลางกล่าว “ฉลาดซะจริง!”
เมื่อผู้เฒ่าทั้งสองส่งหลินม่ายไปอย่างไม่เต็มใจ คุณย่าไป๋ก็จับมือหลินม่ายไว้แน่นและบอกให้เธอกลับมาอีกครั้งเมื่อมีเวลา
หลินม่ายพยักหน้าด้วยด้วยรอยยิ้ม
เช่นเดียวกับเมื่อวาน พ่อไป๋เป็นคนพาหลินม่ายกลับมายังโรงแรมพร้อมกับพี่ชายและพี่สาว จากนั้นพวกเขาก็กลับบ้านไป
วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ พ่อไป๋พาหลินม่าย ไป๋ลู่ และไป๋เซี่ยไปเยี่ยมญาติสนิททุกคน
ญาติเหล่านั้นรู้สึกสงสารหลินม่ายที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากตั้งแต่ยังเด็ก โดยที่แม่ไป๋ก็ไม่รู้สึกสงสาร แต่กลับปกป้องไป๋ซวงราวกับคนงี่เง่า และทุกคนต่างก็พร่ำบ่น
วันนี้หลินม่ายเอ่ยทักทายผู้คนมากมายอย่างเป็นมิตร
หญิงชราคนหนึ่งแนะนำชายวัยกลางคนนามสกุลตู้ให้เธอได้รู้จัก โดยบอกว่าเขาต้องการขายเรือนสี่ประสานเพราะต้องการไปต่างประเทศ
หลินม่ายไปดูเรือนสี่ประสานของนายตู้ บ้านหลังนั้นเป็นเรือนสี่ประสานหนึ่งวง แต่เพิ่งได้รับการต่อเติมและดูดีมาก
หลินม่ายต้องการซื้อบ้านหลังนี้ จึงถามราคา
นายตู้ต้องการเพียงหนึ่งหมื่นหยวน เขาไม่ยอมรับข้อเสนอพิเศษใด และหลินม่ายต้องชำระเงินและสินค้าให้เสร็จภายในห้าวัน
เพราะเขาต้องรีบหาเงินไปต่างประเทศ
แน่นอนว่าการจ่ายเงินภายในห้าวันไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลินม่าย แต่สิ่งที่ทำให้เธอสงสัยคือทำไมบ้านหลังนี้ถึงขายได้เพียงหนึ่งหมื่นหยวน
เธออยู่ในเมืองหลวงมาหลายวันแล้ว และได้ทราบราคาปัจจุบันของบ้าน
ราคาเพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
เรือนสี่ประสานเล็กๆ แห่งนี้ของนายตู้เคยมีมูลค่าหนึ่งหมื่นหยวนเมื่อหลายปีก่อน
แต่ตอนนี้แม้มีเงินสองหมื่นหยวนก็ไม่อาจซื้อได้
นายตู้เสนอราคาเพียงหนึ่งหมื่นหยวน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยื่นข้อเสนออะไรเพิ่มเติม แต่ราคาก็ต่ำเกินไป
นายตู้คนนี้ต้องการศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา และเงินหนึ่งหมื่นหยวนสามารถแลกเป็นดอลลาร์สหรัฐได้หนึ่งพันดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งเพียงพอสำหรับการดำรงชีพอย่างมากสุดเพียงสองเดือน
ทำไมเขาไม่ขายบ้านให้แพงกว่านี้ อย่างน้อยสักหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนก็จะได้เงินดอลลาร์มากกว่านี้ และบ้านก็จะขายได้ง่าย
เห็นได้ชัดว่าต้องมีอะไรผิดปกติ
แม้ว่าเงินหนึ่งหมื่นหยวนจะไม่แพงสำหรับหลินม่าย แต่เธอก็ไม่อาจจ่ายไปโดยไม่ทราบเหตุผล ดังนั้นเธอจึงจะสืบหาให้รู้ให้ได้ก่อน
หญิงชราที่แนะนำบ้านให้เธอรู้สึกเสียใจและเสียดาย
หลินม่ายไม่สนใจว่าหญิงชราจะอยู่ข้างนายตู้หรือไม่ ดังนั้นเธอจึงมอบเงินให้แก่หญิงชราสิบหยวนเป็นค่าเสียเวลา
หลังจากทำงานมาทั้งเช้า ท้ายที่สุดทุกความพยายามของเธอก็เปล่าประโยชน์
หลินม่ายมองหาร้านอาหารเล็ก ๆ เพื่อรับประทานอาหารก่อนจะกลับไปยังโรงแรมเพื่อนอนพักผ่อนสักพัก
การไม่มีที่อยู่ของตัวเองนั้นลำบากมาก จะทำอาหารก็ไม่ได้
หากมีที่อยู่อาศัยของตัวเอง ไม่เพียงจะมีอิสระในการใช้ชีวิต ยังทำอาหารทุกอย่างได้ตามต้องการ
แม้ว่าพ่อไป๋จะบอกให้หลินม่ายไปยังบ้านตระกูลไป๋เพื่อรับประทานอาหารเย็นทุกวัน แต่เธอก็ไม่อยากไป
เมื่อเห็นใบหน้าของแม่ไป๋และไป๋ซวง เธอก็ไม่มีความอยากอาหารเลย
หลินม่ายมองไปรอบ ๆ ขณะเดินมองหาร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ดูพอใช้ได้
ทันใดนั้น ร่างที่คุ้นเคยสามร่างก็เข้ามาใกล้จากหัวมุมถนน
นั่นคือไป๋ซวง หลินเจี้ยนกั๋ว และสามีของหล่อนไม่ใช่เหรอ?
หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาเพิ่งรู้จักไป๋ซวงหรือพวกเขารู้จักกันเมื่อนานมาแล้วกันแน่?
นี่เป็นการพบกันครั้งแรกหรือพวกเขาพบกันบ่อยครั้งแล้ว?
หลินม่ายเข้าใกล้อย่างระมัดระวังและซ่อนตัวอยู่หลังต้นแปะก๊วยหนาทึบเพื่อแอบฟังการสนทนาของทั้งสามคน
แม้เธอจะได้ยินไม่ชัด แต่หลินม่ายก็สามารถคาดเดาเนื้อหาของการสนทนาได้คร่าว ๆ และประติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน
หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาขอเงินไป๋ซวง
แต่ทั้งคู่ไม่ได้ขออย่างชัดเจน แต่กล่าวอ้างว่าเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของไป๋ซวงในบ้านตระกูลไป๋พร้อมเรียกร้องเงิน
ซุนกุ้ยเซียงจับมือของไป๋ซวงทั้งน้ำตา “ซวงเอ๋อร์ ลูกได้รับความทุกข์ทรมานในบ้านตระกูลไป๋ เนื่องจากตระกูลไป๋ปฏิบัติต่อลูกอย่างเลวร้าย ลูกไม่จำเป็นต้องเมตตากรุณาต่อพวกเขาหรอก เราอยากให้ลูกคนเอาเงินทั้งหมดที่เป็นของลูกจากครอบครัวนั้นพร้อมหอบหิ้วเสื้อผ้าจากมา เพื่อที่ลูกจะไม่ถูกพวกเขารังแก”
ไป๋ซวงไม่ต้องการออกจากตระกูลไป๋
เพราะหากออกจากตระกูลไป๋แล้ว หล่อนก็ไม่มีที่ไปที่ดีกว่านี้
กลับไปที่บ้านตระกูลหลินเหรอ? เรื่องนี้ไม่อยู่ในหัวหล่อนสักนิด
แต่หล่อนรู้ดีว่าตนไม่อาจอยู่กับตระกูลไป๋ได้นาน และหล่อนต้องหาทางออกด้วยตัวเอง
แม้คำแนะนำของซุนกุ้ยเซียงจะฟังดูดี แต่ปัญหาคือหล่อนจะไม่สามารถขอเงินจากตระกูลไป๋ได้หากทำเช่นนั้น
ไป๋ซวงพูดด้วยความหงุดหงิด “เงินของตระกูลไป๋จะมาอยู่ในกระเป๋าของฉันได้ยังไง~”
ซุนกุ้ยเซียงพยักหน้า “ลูกคิดไม่ออกจริง ๆ เหรอ? ตราบใดที่พ่อแม่บุญธรรมของลูกเผลอ ลูกก็แค่ขโมยสมุดบัญชีเงินฝากของพวกเขาเพื่อนำมาให้แม่และพ่อ และเราจะได้เงินทั้งหมดในสมุดบัญชี หากเงินอยู่ในมือแม่กับพ่อ ก็เท่ากับเป็นเงินของลูกไม่ใช่เหรอ? เราสามารถใช้เงินก้อนนี้เลี้ยงดูชีพได้ไม่ใช่เหรอ? และเงินทั้งหมดนี้จะเป็นของลูกในอนาคต”
ในปี 1980 เนื่องจากไม่มีคอมพิวเตอร์ จึงไม่มีรหัสผ่านสำหรับการฝากและถอนเงินในธนาคาร
การถอนเงินนั้นง่ายมาก ตราบใดที่มีสมุดคู่ฝากและตราประทับส่วนตัว ก็สามารถถอนเงินได้
แม้ไป๋ซวงจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย แต่เมื่อเทียบกับซุนกุ้ยเซียงและภรรยาของเขาแล้ว หล่อนเทียบไม่ได้เลย
เมื่อมองไปยังดวงตาที่จริงใจของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ไป๋ซวงก็ถูกหลอกใช้ทันที
ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่เคยขโมยของที่บ้าน
หล่อนแค่ยังไม่กล้าขโมยสมุดบัญชีเงินฝากที่บ้านต่างหาก
หล่อนกังวลว่าหากขโมยเงินของครอบครัวไป พ่อไป๋และคนอื่น ๆ จะสงสัยหล่อนได้ง่าย เพราะหล่อนมีประวัติอาชญากรรมติดตัวอยู่
หากพ่อไป๋โทรหาตำรวจ ชีวิตของหล่อนจะต้องพังพินาศอย่างแน่นอน ดังนั้นไป๋ซวงจึงลังเล
ครอบครัวนี้พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง และหลินเจี้ยนกั๋วก็คิดแผนอันชาญฉลาดขึ้นมาได้
นั่นคือพวกเขาจะต้องร่วมมือกัน
โดยไป๋ซวงต้องบอกตำแหน่งที่เก็บสมุดบัญชีเงินฝาก เงินสด และของมีค่าในบ้าน จากนั้นก็แอบเตรียมกุญแจให้พวกเขา
หลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงจะเป็นผู้รับผิดชอบการขโมย ส่วนไป๋ซวงต้องสร้างข้อแก้ตัวให้ตัวเองเพื่อหล่อนจะได้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ไป๋ซวงได้ยินดังนั้นก็ตกลงทันที
ครอบครัวสามคนใช้รหัสลับในการวางแผน
ตราบใดที่ไป๋ซวงแขวนผ้าพันคอสีแดงไว้ที่ขอบหน้าต่าง หมายความว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาสามารถเข้าไปขโมยของได้ในวันถัดไป
ทั้งสามคุยกันและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายไม่สนใจที่จะหาร้านอาหารแสนอร่อยอีกต่อไป เธอสุ่มเลือกร้านอาหารและสั่งอาหารมาสองจาน ก่อนจะรีบกินแล้วไปยังหน่วยงานของพ่อไป๋
พ่อไป๋มีความสุขมากที่ได้พบเธอ แม้เธอจะอายุเกือบสิบเก้าปีแล้ว แต่เขาก็ปฏิบัติกับเธอเหมือนเด็ก เดินไปที่ถนนเพื่อซื้อเกาลัดให้หลินม่ายกิน
หลินม่ายไม่มีอารมณ์ที่จะกิน เธอเล่าบทสนทนาทั้งหมดของทั้งสามคนที่เธอได้ยินให้พ่อไป๋ฟัง
พ่อไป๋หน้าซีดด้วยความโกรธ
หลังจากคุยกับหลินม่ายแล้ว เขาตัดสินใจให้สองพี่น้องไป๋เฝ้าดูไป๋ซวงอย่างลับ ๆ เมื่อใดหล่อนแขวนผ้าพันคอสีแดงไว้ที่หน้าต่าง เขาจะเข้าจับกุมพวกเขาทั้งสามคน
เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่รู้เลยว่าแม่ไป๋จะแก้ต่างความผิดของหล่อนอย่างไร
วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 1 กันยายน คุณปู่ไป๋และคนอื่น ๆ ต้องการติดตามหลินม่ายไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยชิงหวา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก
หลินม่ายได้เตรียมการไว้แล้ว และเธอจะไม่รายงานตัวจนกว่าจะถึงสัปดาห์หน้า
เนื่องจากเธอบังเอิญทำใบแจ้งการรับเข้าเรียนหายและกำลังรอให้ฟางจั๋วหรานทำใบรับรองต่าง ๆ ให้เธอ เธอจึงขอให้คุณปู่ไป๋และคนอื่น ๆ มา รายงานตัวกับเธอในอีกไม่กี่วัน
แต่ภายในสองวัน พ่อไป๋และคนอื่น ๆ ก็ได้ยินข่าวลือในตรอกเสี่ยวหยาง
ว่ากันว่าหลินม่ายไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยชิงหวา เธอหลอกพ่อไป๋และคนอื่น ๆ
พ่อไป๋และพี่น้องไป๋โกรธมากเมื่อได้ยินข่าวลือเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่ได้สนใจจะชี้แจง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน หลินม่ายก็ไปยังมหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่อรายงานตัว และข่าวลือทั้งหมดก็สงบลง
และพวกเขาก็เดาได้ว่าข่าวลือนั้นมาจากไป๋ซวง
นอกจากหล่อนแล้วก็ไม่มีใครพยายามที่จะทำให้หลินม่ายเสียชื่อเสียง แม้แต่แม่ไป๋ก็ไม่คิดทำแบบนั้น
นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน หลินม่ายก็ตามหาเรือนสี่ประสาน และจับตาดูว่าว่านฮุ่ยจะมายังมหาวิทยาลัยชิงหวาหรือไม่
เมื่อวันที่ 2 กันยายน เธอก็พบว่านฮุ่ยมายังมหาวิทยาลัยชิงหวา
หล่อนมายังมหาวิทยาลัยชิงหวาด้วยรถตู้และไปยังสถานีรถไฟเพื่อรับน้องใหม่
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหมือนวางแผนได้ดี แต่ก็มีพิรุธอะนะครอบครัวหลิน ฟ้าไม่เข้าข้างพวกแกง่ายๆ หรอก
หลินม่ายตึงจัด แค่ตอนนี้ก็วางแผนเชือดทั้งยัยไป๋ซวงยัยว่านฮุ่ยเลย
ไหหม่า(海馬)