ตอนที่ 650 ซื้อเรือนสี่ประสาน
อย่างไรก็ตาม ว่านฮุ่ยไม่ได้ไปรายงานตัวทันทีมาถึงมหาวิทยาลัยชิงหวา แต่ใช้ประโยชน์จากความไม่พร้อมของรุ่นพี่ที่รอต้อนรับน้องใหม่และทิ้งกระเป๋าไว้อย่างเงียบงัน
หลินม่ายรู้สึกงุนงง
อีกฝ่ายมาถึงมหาวิทยาลัยชิงหวาแล้ว ทำไมไม่ปลอมตัวเป็นเธอ?
หล่อนมามหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่ออะไร?
หล่อนกำลังรอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อใส่ร้ายหลินม่าย หรือกำลังลังเลกันแน่?
หลินม่ายคิดว่าความเป็นไปได้ที่สองน่าจะเป็นไปได้มากกว่า
เพราะว่านฮุ่ยไม่มีเรื่องอื้อฉาวของหลินม่ายให้ขุดคุ้ยเพื่อนำมาเปิดโปง จึงไม่อาจทำตามเหตุผลประการแรกได้
หลินม่ายเดาว่าสาเหตุที่ว่านฮุ่ยไม่มารายงานตัววันนี้เพราะว่าความเสี่ยงที่จะปลอมตัวเป็นนักเรียนคะแนนอันดับหนึ่งรายวิชาวิทยาศาสตร์ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นหล่อนจึงลังเลและคอยตรวจสอบสถานการณ์ก่อน
แม้ว่าหนังสือพิมพ์จะลงข่าวว่าเธอเป็นที่หนึ่งในวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ แต่ก็ไม่มีรูปของเธอ ดังนั้น หลายคนทั่วประเทศก็ไม่แน่ว่าจะจดจำเธอได้
แต่ชื่อของเธอเป็นที่รู้จักในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่ว่านฮุ่ยจะสวมรอย
หลินม่ายคิดว่าว่านฮุ่ยกำลังจะบ้าคลั่งเพราะต้องการแทนที่เธอในมหาวิทยาลัยชิงหวา แต่ไม่คาดคิดว่าแผนการของตนจะมีอุปสรรคขวางกั้น
หากว่านฮุ่ยฉลาดพอ หล่อนคงไม่พลาดโอกาสในการจัดการและสวมรอยเป็นหลินม่าย
หลินม่ายแอบติดตามว่านฮุ่ยเพื่อดูว่าหล่อนกำลังจะไปที่ไหน
ว่านฮุ่ยเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วมหาวิทยาลัยชิงหวาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพบโรงแรมราคาถูกที่จะเข้าพัก และไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีก
เนื่องจากเมื่อวานมีชายคนหนึ่งต้องการขายบ้าน ดังนั้นเขาจึงนัดกับหลินม่ายในตอนเที่ยงวันนี้เพื่อดูบ้าน
ตอนนี้เป็นเวลาจวนจะเที่ยง ดังนั้นหลินม่ายจึงต้องเร่งรีบ
หลินม่ายไม่มีเวลาจับตาดูว่านฮุ่ยอีกต่อไป ขณะกำลังจะจากไป เธอพลันเห็นว่านฮุ่ยออกมาจากโรงแรมเล็ก ๆ และเดินตรงไปที่มหาวิทยาลัยชิงหวา
หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินตามไปอย่างเงียบงัน
เมื่อว่านฮุ่ยมาถึงมหาวิทยาลัยชิงหวา หล่อนก็เดินไปรอบ ๆ แผนกต้อนรับเพื่อรับน้องใหม่ พูดคุยกับเจ้าหน้าที่สองสามคำ และจากไปอย่างกระฉับกระเฉง
หลินม่ายสวมหน้ากาก เดินไปถามพนักงานที่พูดกับว่านฮุ่ยเมื่อครู่ว่าว่านฮุ่ยพูดอะไรกับหล่อน
เมื่อเห็นว่าเธอสวมหน้ากากอยู่ พนักงานจึงถามด้วยความตกใจ “เธอมีโรคติดต่ออะไรหรือเปล่า? อย่าเข้าใกล้ฉันนะ!”
น้องใหม่หลายคนที่กำลังสอบถามเรื่องการลงทะเบียนต่างถอยร่นไป เหลือเพียงหลินม่ายที่ยืนอยู่ที่โต๊ะรับน้อง
หลินม่ายรู้สึกตกใจกับคำถามของเจ้าหน้าที่ และอธิบายพลางยกมุมปาก “ฉันไม่มีโรคติดเชื้ออะไรค่ะ ฉันใส่หน้ากากเพราะพายุทรายในเมืองหลวงรุนแรงเกินไป”
พายุทรายในเมืองหลวงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในปัจจุบัน แต่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เหล่าเฉ่อเคยเขียนในหนังสือเรื่อง ‘คนลากรถ’ ของเขาว่า ‘เสี่ยงจื่อ หนีกลับไปปักกิ่งและเข้าไปในห้องศุลกากร ‘เท้าเหยียบฝุ่นที่อ่อนนุ่มและสกปรก’ พร้อมเขียนว่า ‘ชั้นของฝุ่นตกลงมาบนใบไม้แห้งในปักกิ่ง’
นี่คือคำอธิบายของพายุทราย
นอกจากนี้เหล่าเฉ่อยังได้บรรยายถึงพายุทรายในบันทึกของเขาด้วยว่า ‘ลมจะพัดพาทรายและทำให้มืดมิด จนดวงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นสีเหลือง’
หลินม่ายมาจากเจียงเฉิง เมืองที่มีทะเลสาบหลายร้อยแห่ง ที่ซึ่งดอกไม้บาน ต้นหลิวเขียวขจี หญ้ากำลังเติบโต นกกระจิบกำลังโบยบิน และทิวทัศน์ก็สวยงาม เธอไม่เคยเห็นพายุทรายมาก่อน ดังนั้นเธอจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยเมื่อเธอมาถึงเมืองหลวง
เจ้าหน้าที่รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเธอพูดภาษาจีนกลางสำเนียงใต้
ชาวใต้จำนวนมากไม่สามารถปรับตัวกับพายุทรายได้เมื่อมาถึงเมืองหลวง
น้องใหม่ที่ซ่อนตัวอยู่ห่างไกลก็รวมตัวกันอีกครั้งอย่างเชื่องช้า
เจ้าหน้าที่บอกหลินม่ายว่า เมื่อสักครู่นี้ว่านฮุ่ยถามหล่อนว่าตนสามารถลงทะเบียนในฐานะผู้ทำคะแนนสูงสุดในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่
หลินม่ายถามต่อ “แล้วคุณตอบไปว่ายังไงคะ?”
“ฉันตอบว่าไม่ค่ะ” พนักงานถามหลินม่ายอย่างระแวดระวัง “ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้คะ?”
หลินม่ายพยายามคิดหาข้ออ้าง “ฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้า และฉันก็อยากจะมีความสุขกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อให้ได้อันดับหนึ่ง ฉันเลยถามเพราะอยากรู้ว่าอันดับหนึ่งมารายงานตัวแล้วหรือยัง เลยอยากสอบถามวิธีการค่ะ”
ความจริงแล้ว เธอได้ฟังเนื้อหาการสนทนาระหว่างว่านฮุ่ยกับเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน แต่เธอกลับเสียจังหวะไปเพียงประโยคเดียว แต่พนักงานไม่ได้สังเกตเลย
เจ้าหน้าที่ยิ้มให้กำลังใจเธอ พลางกล่าว “ถ้าเธออยากเห็นนักเรียนอันดับหนึ่ง ให้ลองมาดูในอีกสองวัน นักเรียนอันดับหนึ่งควรจะเดินทางมารายงานตัวภายในสองวันนี้”
หลินม่ายกล่าวคำขอบคุณและจากไป
เธอรู้อยู่ในใจแล้วว่าว่านฮุ่ยซึ่งเป็นผู้สมองพิการยังคงต้องการมาเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาแทนเธอ
แต่คนไร้ปัญญาคนนี้ระมัดระวังตัวและต้องการดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเธออยู่เสมอ
หลินม่ายไม่สามารถมาเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาได้เพราะใบรายงานตัวสูญหาย ดังนั้นเธอจึงต้องหาวิธีออกใบรับรองเพื่อลงทะเบียน
หากเป็นสถานการณ์ในอดีต ว่านฮุ่ยจะกล้าเสี่ยงและปลอมตัวเป็นเธออย่างแน่นอน
หลินม่ายเยาะเย้ยในใจ เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะปล่อยไปอย่างง่ายดาย เธอต้องทำลายชื่อเสียงของว่านฮุ่ย!
หลินม่ายออกจากมหาวิทยาลัยชิงหวา และรีบไปยังสถานที่ที่ตกลงกับผู้ขาย ซึ่งผู้ขายก็มาถึงแล้ว
แต่ไม่มีใครมาเพิ่ม มีเพียงสี่คนเท่านั้น
หลินม่ายมองไปยังใบหน้าทั้งสี่ที่ดูคล้ายคลึงกัน และรู้ทันทีว่าพี่น้องทั้งสี่คนเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ร่วมกัน
เธอขอโทษและบอกว่าติดธุระจึงล่าช้าและนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอมาสาย
สี่พี่น้องพูดพร้อมกันว่าไม่เป็นไร
ผู้เป็นพี่ใหญ่ในนั้นชวนเธอไปยังร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารและพูดคุยกัน
ทั้งสี่พี่น้องล้วนเป็นชาย นั่นทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขาในฐานะหญิงเพียงคนเดียว
หลินม่ายเสนอ “เราไปดูบ้านกันก่อนดีกว่าค่ะ แล้วค่อยมารับประทานอาหาร ฉันยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำในช่วงบ่ายนี้”
อันที่จริงเธอไม่ได้มีธุระอะไรที่ต้องจัดการในตอนบ่าย
แต่จุดประสงค์ที่เธอพูดเช่นนั้น ก็เพื่อไม่ให้ชายทั้งสี่คิดว่าเธอสนใจบ้านมากแล้วหาทางขึ้นราคา
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายทั้งสี่จึงพาเธอเข้าไปเยี่ยมชมบ้าน
พี่รองของครอบครัวนี้เป็นผู้ติดต่อทำการซื้อขายกับหลินม่าย
พี่รองบอกหลินม่ายในเวลานั้นว่าบ้านของพวกเขาใหญ่มาก
แต่หลินม่ายไม่คิดว่ามันจะเป็นเรือนสี่ประสานสามวง ใหญ่โตยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้มาก
ศาลาภายในได้รับการตกแต่งและจัดระเบียบอย่างดี
พี่รองกล่าวแนะนำ “ดูสวนของเราสิครับ เราปลูกดอกไม้ใบหญ้าและต้นไม้ไว้มากมาย ทิวทัศน์สวยงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาว และจะสวยงามยิ่งขึ้นเมื่อมีหิมะตกเชียวล่ะครับ”
หลินม่ายเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
ทิวทัศน์ที่เธอเห็นตอนนี้คือ สวนที่เต็มไปด้วยองุ่นซึ่งมีรสชาติพิเศษ
หลินม่ายอยากจะซื้อเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่มีทิวทัศน์อันงดงามแบบนี้ไว้ชื่นชมเหลือเกิน
แต่สิ่งที่เธอแสดงออกมาคือท่าทางเฉยเมยและถามว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการขายบ้าน
สี่พี่น้องอธิบายทันที
หลายปีที่ผ่านมา สี่พี่น้องต้องทนทุกข์ทรมานมากกับเรือนสี่ประสานหลังนี้
พวกเขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สืบทอดความมั่งคั่งจากตระกูล แต่ไร้ความสามารถ บ้านหลังนี้เป็นที่พึ่งทางจิตใจแก่พวกเขามากก็จริง แต่ก็นำมาซึ่งความเศร้าใจไม่น้อย
หากขายไปก็คงอุ่นใจมากขึ้น
นอกจากนี้พวกเขาทั้งสี่ยังไม่ต้องการอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะง่ายที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งเมื่ออยู่ด้วยกัน
ดังนั้นพี่น้องทั้งสี่จึงขายบ้านเพื่อนำเงินมาซื้อบ้านแยกของแต่ละคน
หลินม่ายไม่พูดอะไรหลังจากได้ยินเหตุผลในการขายบ้าน
พี่น้องทั้งสี่งุนงงและมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเธอต้องการซื้อหรือไม่
พี่รองถามอย่างไม่แน่ใจ “เสี่ยวหลิน คุณชอบเรือนสี่ประสานหลังนี้ไหมครับ?”
หลินม่ายไม่ตอบ แต่กลับเอ่ยถาม “เรือนสี่ประสานของพวกคุณราคาเท่าไหร่คะ?”
พี่ชายรองและพี่ชายสามยกมือขึ้นในลักษณะเดียวกัน “คุณคงได้เห็นกับตาแล้วว่าบ้านของเรางดงามและใหญ่โตขนาดไหน ดังนั้นราคาต่ำสุดจึงจะอยู่ที่สามแสนหยวน”
มือของหลินม่ายสั่นด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
แน่นอนว่าเงินเพียงเท่านั้นไม่ใช่ราคาแพงสำหรับบ้านหลังใหญ่โตเช่นนี้ เพราะหลังผ่านไปราวสองถึงสามทศวรรษ เงินสามแสนหยวนจะกลายเป็นอย่างน้อยสามร้อยล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นลาภลอยมหาศาล
แม้เธอจะคิดเช่นนั้นในใจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่หลินม่ายจะตอบโต้ข้อเสนอในทันที
ตอนนี้เธอกำลังจะซื้อบ้าน ดังนั้นเธอควรต่อรองราคาตามราคาตลาดปัจจุบัน
หลินม่ายพูดกับพี่ชายรอง “สามแสนแพงเกินไป ฉันจ่ายไม่ไหวหรอกค่ะ”
พี่น้องมองหน้ากันอย่างสลดใจ
บ้านของพวกเขาใหญ่มาก การขายในราคาสามแสนหยวนจึงถือว่าไม่แพง
คนที่มาดูบ้านแต่ไม่ได้เงินมากมายขนาดนั้นก็หมดหนทาง
พี่ใหญ่ในหมู่พวกเขาเอ่ยถาม “แล้วคุณจ่ายได้เท่าไหร่ครับ?”
หลินม่ายกล่าวอย่างจริงจัง “มากที่สุดที่ฉันจ่ายได้คือสองแสนห้าหมื่นหยวนค่ะ และฉันต้องหายืมเงินด้วย”
สี่พี่น้องเผยสีหน้าประหลาดใจ
ยังไม่มีใครเสนอราคาสูงเช่นนี้มาก่อน
แต่สี่พี่น้องยังคงแสดงออกอย่างเฉยเมยราวกับว่าราคานี้ยังต่ำเกินไป
พี่ใหญ่ของพวกเขากล่าว “เสี่ยวหลิน ราคาที่เราเสนอเป็นราคาที่ต่ำที่สุดแล้ว แม้ว่าคุณจะอยากได้น้อยกว่านี้ ก็ลดราคาไม่ได้หรอกครับ”
พี่คนที่สองกล่าว “คุณก็เห็นแล้วว่าบ้านของเรามีทำเลดีและมีลานกว้าง แม้จะซื้อในราคาสามแสนหยวนก็ไม่ถือว่าขาดทุน”
แฝดคนที่สามกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเรามาถอยกันคนละก้าวดีกว่าครับ เราจะขายในราคาสองแสนเก้าหมื่นหยวน”
แฝดคนที่สี่กล่าว “นี่คือราคาต่ำสุดที่เราสามารถลดให้ได้แล้ว”
พี่น้องสี่คนนี้มีความคิดที่แน่วแน่
ในเมื่อผู้หญิงคนนี้สามารถจ่ายได้สองแสนห้าหมื่นหยวน เธอต้องสามารถใช้จ่ายได้อีกสี่หมื่นหยวนแน่ ดังนั้นทำไมพวกเขาจะไม่ขอเพิ่มล่ะ?
หลินม่ายผายมือ “ฉันไม่สามารถจ่ายสองแสนเก้าหมื่นหยวนได้จริง ๆ ข้อตกลงนี้คงต้องจบลงแล้วละค่ะ” หลังพูดจบ เธอก็ทำท่าจะจากไป
ฝาแฝดทั้งสี่รีบตะโกนหยุดเธอ “เราตกลงยอมรับข้อเสนอของคุณครับ!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หูววว เรือนสี่ประสานสามวงเชียวนะ ถือว่าถูกนะสองแสนห้าเนี่ย
ไหหม่า(海馬)