สวีซื่อจุนกลับเรือนต้านปั๋วไจอย่างไม่เต็มใจ นอนอยู่บนเตียงแต่ก็นอนไม่หลับ พอหลับตาคำพูดเหล่านั้นของบิดาก็เริ่มก้องอยู่ในหู
หรือว่าจะต้องปล่อยเถาเฉิงทิ้งไป ไม่สนใจเขาแล้วอย่างนั้นหรือ…
แค่คิดเขาก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว
เมื่อไปเรียนที่เรือนซวงฝูในตอนบ่ายก็ใจลอยเล็กน้อย
อาจารย์จ้าวอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป สุดท้ายก็ไม่ได้ถามอะไร
ในภายภาคหน้าสวีซื่อจุนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจวนหย่งผิงโหว ตอนเล็กๆ ยังพอพูดง่าย แต่ตอนนี้สวีซื่อจุนโตแล้ว สวีลิ่งอี๋เริ่มสอนวิธีการจัดการสิ่งต่างๆ แก่เขา บางเรื่องหากสวีซื่อจุนไม่เอ่ยปาก เขาเองก็ไม่อาจเป็นฝ่ายเริ่มถามได้
โชคดีที่หลังจากไปคารวะไท่ฮูหยินแล้ว สวีซื่อเจี้ยกับสวีซื่อจุนก็กลับเรือนต้านปั๋วไจด้วยกัน
“เป็นเพราะเรื่องของเถาเฉิงหรือ” อากาศยังคงเย็นในเวลากลางคืนในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นหอมของดอกเย่ว์ไหลเซียงยามค่ำคืนตลบอบอวลไปทั่วทั้งสวน สองพี่น้องนั่งเอนกายพิงเก้าอี้เหม่ยเหรินอยู่ใต้ชายคาเรือน ทานผลอิงเถาที่ปี้หลัวล้างมาให้
“อืม!” สวีซื่อจุนคิ้วขมวดเป็นปม “เขาเป็นผู้ติดตามที่ท่านแม่เหลือเอาไว้ให้!”
สวีซื่อเจี้ยเคยเห็นเถาเฉิงสองสามครั้ง คิดว่าเขาไม่ต่างจากผู้ดูแลที่ชอบประจบประแจงเหล่านั้น ไม่นับว่าเป็นความประทับใจที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ความประทับใจที่ไม่ดี
“ท่านสามารถปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อผู้ดูแลคนอื่นๆ ได้” สวีซื่อเจี้ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “หากเขามีเรื่องอันใด ท่านก็ให้เงินเขาเป็นการส่วนตัวก็พอแล้ว เหมือนที่ท่านแม่ปฏิบัติต่อสะใภ้ก่วนชิง เวลาควรทำอะไรก็ทำ หากทำผิดพลาดก็ต้องลงโทษด้วยเช่นกัน แต่มักจะมอบเสื้อผ้ากับเครื่องประดับของตัวเองให้กับสะใภ้ก่วนชิง ข้าคิดว่าท่านสามารถลอกเลียนแบบวิธีของท่านแม่ได้ เช่นนี้ก็จะสามารถดูแลเขา แล้วก็ไม่ถึงขั้นทำให้ผู้ดูแลคนอื่นๆ รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม”
สะใภ้ก่วนชิงก็คือหู่พั่ว
สวีซื่อจุนตาเป็นประกาย “เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงนะ!”
สวีซื่อเจี้ยรู้สึกดีใจมากที่ได้ช่วยเหลือพี่ชาย
“เพราะเป็นห่วงก็เลยเลอะเลือนกระมัง!” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพราะพี่สี่กังวลมากเกินไป!”
สวีซื่อจุนพยักหน้า ยอมรับอย่างจริงใจว่า “ใช่แล้ว พอข้าคิดว่าแม้แต่คนที่ท่านแม่เหลือไว้ให้ก็ไม่สามารถดูแลได้ ในใจพลันรู้สึกไม่ดี…” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คำพูดของเจ้าช่วยเตือนสติข้า ข้าจำได้ว่าไท่ฮูหยินก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน เวลามีเรื่องอันใดแล้วอยากจะมอบรางวัลให้แก่บ่าวรับใช้ข้างกาย ก็จะนำเงินส่วนตัวของตัวเองออกมา ข้าต้องคิดให้ดีว่าจะจัดการกับเถาเฉิงอย่างไร…”
******
สืออีเหนียงตบเท้าน้อยๆ ผิวขาวละเอียดของบุตรชายแรงๆ “เสร็จแล้ว!” จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้สาวใช้ยกน้ำล้างเท้าออกไป
จิ่นเกอเอามือจับเท้าแล้วร้องอุทานว่า “โอ๊ย!”
“ท่านแม่!” เขาบุ้ยปาก ท่าทางน้อยใจ “ท่านมือหนักมาก ข้าเจ็บเท้า!”
“เจ็บหรือ” สืออีเหนียงยิ้มพลางนั่งลงบนเตียงเตา “โตขนาดนี้แล้ว ยังงอแงให้แม่ล้างเท้าให้ หากไม่ตีแรงๆ สักทีเจ้าก็จะได้ใจ”
จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก กอดสืออีเหนียงจากด้านหลัง
“ท่านแม่ วันนี้พวกเราไปดูไร่นาของพี่สี่มาขอรับ!” พอเขากลับมาในตอนเช้าก็หลับไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ไปฝึกย่อเข่าที่เรือนซิ่วมู่ พอตอนบ่ายก็คัดตัวอักษรอยู่ที่ห้องหนังสือของสวิลิ่งอี๋ ไม่มีเวลาแอบมาบอกสืออีเหนียง “ที่ดินของพี่สี่ใหญ่มาก นั่งอยู่ในรถม้าตั้งนานกว่าจะออกมาได้ วันนี้ท่านพ่อยังสั่งสอนพี่สี่อีกด้วย บอกว่าพี่สี่ไม่ควรให้เงินเถาเฉิงมากมายขนาดนั้น…”
สืออีเหนียงรู้ตั้งนานแล้ว
วันนี้ตอนเช้าสวีลิ่งอี๋ก็นอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งช่วงเช้าเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถอนหายใจ แต่ก็อารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา
“เจ้าสายลับตัวน้อย” สืออีเหนียงยิ้มพลางตบมือเล็กๆ ของบุตรชายที่วางอยู่บนไหล่ของนาง “รีบไปนอนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องไปเรือนซิ่วมู่แต่เช้าตรู่!”
“ขอรับ!” จิ่นเกอมุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างเชื่อฟัง “หากรู้ว่าท่านพ่อจะออกไปค้างคืนข้างนอกข้าก็คงไม่ไปด้วยหรอก ทำเอาข้าเกือบจะทำท่าย่อเข่าไม่ได้” เขาบ่นต่ออีกว่า “แต่ข้าคิดว่าแม้ว่าเรื่องนี้เถาเฉิงจะผิด แต่พี่สี่นั้นผิดยิ่งกว่า”
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง
“เงินหนึ่งร้อยตำลึง สามารถซื้อสาวใช้ได้ตั้งหลายคน พี่สี่ให้เงินก้อนใหญ่แก่เถาเฉิงเช่นนี้ หากเถาเฉิงผู้นั้นไม่ใช่คนเลอะเลือน ถึงอย่างไรก็ต้องมีความคิดที่ไม่ซื่อ หากเถาเฉิงไม่มีความคิดเช่นนี้สิถึงจะน่าแปลก!สุดท้ายก็ถูกท่านพ่อตำหนิ แต่พี่สี่ก็ไม่สามารถลงโทษเถาเฉิงได้” เขาพูดพลางพลิกตัวหันไปมองสืออีเหนียง “หากเป็นข้า ข้าจะพูดกับเขาให้ชัดเจน อย่างเช่น เงินยี่สิบตำลึงให้เจ้าเอาไปซื้อสุราดื่ม เงินแปดสิบตำลึงให้เจ้านำไปซื้อกระดาษเงิน ลองดูสิว่าเขาจะกล้าใช้เงินเพียงสิบตำลึงไปซื้อกระดาษเงินหรือไม่” เขาเลียนเสียงแบบผู้ใหญ่ แกล้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางจริงจัง
สืออีเหนียงเข้าใจความหมายของบุตรชาย
บอกให้ชัดเจนว่าสิ่งไหนเป็นงานให้เถาเฉิงทำ สิ่งไหนเป็นรางวัลที่มอบให้เถาเฉิง หากตรวจสอบแล้วพบว่าเถาเฉิงไม่ได้ทำงานตามคำสั่งก็จะสามารถลงโทษเถาเฉิงอย่างรุนแรงได้ สวีซื่อจุนไม่ได้พูดอย่างเจาะจง หากเถาเฉิงเล่นตุกติกขึ้นมา ก็จะสามารถบอกได้ว่าเถาเฉิงเข้าใจว่าให้ใช้เงินสิบตำลึงซื้อกระดาษเงินให้ป้าเถา ส่วนที่เหลือก็เป็นเงินรางวัลที่มอบให้ แน่นอนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บ่าวจะกล้าเล่นตุกติกกับเจ้านาย แต่อย่างไรเสียวิธีการจัดการของสวีซื่อจุนนั้นค่อนข้างหละหลวม
“เจ้าไปเรียนรู้จากใครมา” ถึงกระนั้นนางก็ยังแปลกใจต่อการเรียนรู้อย่างรวดเร็วของบุตรชาย
“ตอนที่คอกม้าในเขตเป่าติ้งจะส่งม้าไปที่กรมกลาโหม ท่านพ่อก็พูดกับผู้ดูแลคอกม้าเช่นนี้” สีหน้าของจิ่นเกอแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย “ท่านพ่อมอบเงินให้คนผู้นั้นสองพันตำลึง บอกว่าหนึ่งพันแปดร้อยตำลึงให้เขานำไปจัดการรายจ่าย ที่เหลืออีกสองร้อยตำลึงมอบให้ผู้ดูแลคนนั้นไปซื้อสุราดื่ม ตอนนั้นผู้ดูแลคนนั้นดีใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะมอบเงินให้เขา ซ้ำยังโขกศีรษะขอบคุณท่านพ่อด้วย!”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้านี่จริงๆ เลย เอาแต่ทำเรื่องไร้สาระทั้งวันทั้งคืน” จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าดูสิ เป็นเพราะเจ้าเห็นว่าท่านพ่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร จึงได้รู้ว่าเมื่อเจอปัญหาเช่นนี้ควรจะทำอย่างไร แต่พี่สี่ของเจ้าไม่เคยเห็นก็ย่อมไม่รู้ เจ้าไม่ควรภาคภูมิใจเพราะเหตุนี้ อย่าคิดว่าพี่สี่ไม่เก่งเท่าเจ้าแล้วไปตำหนิเขา อย่าลืมว่าหากพี่น้องไม่สามัคคีกันก็จะถูกคนนอกรังแกได้ เขาเป็นพี่ชายของเจ้า ในฐานะน้องชาย การที่พูดเรื่องของพี่ชายเช่นนี้นั้นไม่ดีเลย! เจ้าจะต้องจำคำพูดของแม่เอาไว้ให้ดี รู้หรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มด้วยความรู้สึกอายเล็กน้อย ไถลตัวลงไปแล้วใช้ผ้าห่มปิดหน้า
“เมื่อครู่ยังชมว่าตัวเองเก่งอยู่เลย!” สืออีเหนียงดึงผ้าห่มลง เผยให้เห็นใบหน้าของจิ่นเกอ “ทำไมเล่า ตอนนี้รู้จักเขินแล้วหรือ ระวังจะหายใจไม่ออกเอาได้”
จิ่นเกอเม้มปากยิ้ม
สืออีเหนียงเดินไปบิดไส้ตะเกียงให้หรี่ไฟลง ท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพลางลูบหลังจิ่นเกอเบาๆ “หลับตาลงเถิด”
จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก เอาหน้ามุดเข้าไปในอ้อมกอดของสืออีเหนียง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
สืออีเหนียงจ้องมองใบหน้าแดงก่ำของบุตรชายภายใต้แสงไฟ ยกมุมปากขึ้นสูง เป็นเช่นนี้อยู่นาน จากนั้นนางก็ช่วยจัดผ้าห่มให้จิ่นเกออย่างเบามือ แล้วค่อยๆ เดินออกไปจากเรือนปีก
“หลับแล้วหรือ!” สวีลิ่งอี๋วางหนังสือในมือลง สีหน้าดูผิดหวังเล็กน้อย
“เป็นเพราะเรื่องของจุนเกอหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงยิ้มพลางนั่งลงข้างๆ เขา “จุนเกอเป็นเด็กไร้เดียงสา และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับมารดาของเขา เป็นไปได้ที่เขาจะยังคิดไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง วันนี้ท่านโหวตักเตือนเขาแล้ว หลังจากนี้เขาจะต้องไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างแน่นอน ท่านโหวไม่ต้องกังวล รอดูไปก่อน ถ้าหากยังไม่ดีขึ้น ท่านโหวค่อยหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ยังไม่สาย!”
พอได้ฟังคำพูดเช่นนี้ ก็ทำเอาสวีลิ่งอี๋หลุดหัวเราะออกมา
นางอาศัยโอกาสนี้พูดหยอกล้อว่า “ต่อไปท่านโหวจะทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว หากในใจรู้สึกไม่สบาย ข้าก็ต้องมาคอยดูสีหน้าของท่าน ข้าก็ไม่ใช่คนที่ชอบสร้างปัญหา แล้วจะต้องมารับเคราะห์ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำ…”
“ใช่ ใช่ ใช่…” สวีลิ่งอี๋จับมือนาง “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง…” ขณะที่พูดรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ จางลง สายตาที่มองสืออีเหนียงพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “มั่วเหยียน โชคดีที่มีเจ้าอยู่ที่นี่…”
บรรยากาศจริงจังแบบนี้ พลอยทำให้สืออีเหนียงรู้สึกเขินเล็กน้อย
“พรุ่งนี้ข้านัดตรวจบัญชีกับพี่ใหญ่” นางยืนขึ้น “ข้าขอตัวไปล้างหน้าล้างตาก่อน…” ยังไม่ทันพูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็ออกแรงเบาๆ ดึงสืออีเหนียงมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ข้าก็ยังไม่ได้ล้างหน้า!” สวีลิ่งอี๋กระซิบที่ข้างหูของนาง “พวกเราไปด้วยกันเถิด…”
******
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สาวใช้น้อยมารายงานว่าหลัวเจิ้นซิ่งมาถึงแล้ว สืออีเหนียงไปที่ห้องโถงบุปผาด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย ห้องชำระและห้องด้านในต่างก็เปียกชื้นไปหมด ชิวอวี่และคนอื่นๆ บ้างก็เก็บกวาดห้องชำระ บ้างก็เปลี่ยนมุ้งกับเครื่องนอน
“วันแต่งงานของจุนเกอถูกกำหนดไว้แล้วหรือยัง” พอนั่งลงหลัวเจิ้นซิ่งก็ถามขึ้นมาทันที
“พวกเราขอให้สำนักดาราศาสตร์ช่วยหาวันให้แล้ว ได้ขอให้คุณนายสามสกุลหวงส่งไปที่จวนสกุลเจียงแล้ว เพียงแต่รอข่าวสารจากทางฝั่งนั้นเจ้าค่ะ”
หลัวเจิ่นซิ่งพยักหน้า พูดอย่างลังเลว่า “ท่านโหว…ไม่มาหรือ”
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สวีลิ่งอี๋ไม่เคยถามถึงทรัพย์สินที่หยวนเหนียงเหลือทิ้งไว้
“ท่านโหวไปจวนติ้งกั๋วกงแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสวีลิ่งอี๋ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เตียงเตาริมหน้าต่างห้องชั้นในอย่างสงบสุข
หลัวเจิ้นซิ่งถอนหายใจเบาๆ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สวีซื่อจุนก็มาพอดี ทุกคนหยุดบทสนทนาลงและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการส่งมอบทรัพย์สินแทน
ส่วนสิ่งที่สวีลิ่งอี๋ให้ความสนใจคือสวีซื่อจุน
หลังจากที่ส่งมอบผู้ติดตามของหยวนเหนียงให้สวีซื่อจุนได้ไม่กี่วัน วันแต่งงานของสวีซื่อจุนก็ถูกกำหนดขึ้น สวีซื่อจุนเรียกเถาเฉิงเข้าจวนมา ก่อนอื่นเขาบอกเถาเฉิงอย่างอ้อมค้อมว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาไปทำธุระที่ต้าซิ่ง ก็เลยแวะเยี่ยมหลุมศพป้าเถาด้วย เขาให้เงินเถาเฉิงอีกสามสิบตำลึง ให้เถาเฉิงนำไปซื้อกระดาษเงินและเครื่องบูชาให้ป้าเถาทั้งหมด ให้ไปบอกวันแต่งงานของตัวเองแก่ป้าเถา แล้วถามเถาเฉิงว่าเขาขาดเงินหรือไม่ ถ้าหากขาดเงินก็ให้มาเอาที่เขา ซ้ำยังเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ให้เถาเฉิงอยู่ทานข้าวต่อที่จวน
เถาเชิงกลับไปด้วยความรู้สึกทั้งอายทั้งรู้สึกผิด
สวีลิ่งอี๋รู้สึกโล่งอก ช่วยสืออีเหนียงเตรียมการงานแต่งของสวีซื่อจุนอย่างตั้งใจ “…วันที่ยี่สิบหกเดือนเก้าเป็นวันดี เรือนใหม่จะซ่อมเสร็จก่อนเดือนหก ผ้าม่าน มุ้ง และมู่ลี่ควรเปลี่ยนก่อนเดือนเจ็ด เดือนแปดเริ่มเชิญแขก พอเข้าเดือนเก้าก็เตรียมการเรื่องงานเลี้ยงทันที ข้าคิดว่ามีเวลาเหลือเฟือ” แล้วพูดต่ออีกว่า “มีข่าวจากทางอวี๋หังหรือไม่”
“พี่ใหญ่ได้ส่งคนไปอวี๋หังแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่และคนอื่นๆ จะต้องมาอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะมาด้วยหรือไม่”
“ทางฝั่งหนานจิงจะมากันหมดทุกคน” สวีลิ่งอี๋พูดถึงเครือญาติของสกุลสวี “เจ้าต้องให้คนไปทำความสะอาดที่เรือนทางฝั่งไป๋ฮวาก่วนตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อถึงเวลาจะได้มีที่พักเพียงพอ”
ทั้งสองคนปรึกษากันอยู่นานเกี่ยวกับงานฉลองวันเกิดให้ไท่ฮูหยิน และเมื่อเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างผ่านไป เรือนใหม่ก็ทาสีเสร็จแล้วทั้งหลัง
สืออีเหนียงให้คนนำของของหยวนเหนียงย้ายกลับมาเหมือนเดิม “ด้านหน้าห้องโถงทางเดินมีห้องปีกซ้ายและขวา จะทำเป็นห้องหนังสือก็ได้ หรือจะทำเป็นห้องโถงบุปผาไว้รับแขกก็ได้ เมื่อเจียงซื่อเข้าจวนมานางจะเป็นคนจัดการเอง ห้องโถงที่สองทำเป็นห้องหอของพวกเจ้า ของของมารดาเจ้าให้จัดไว้ที่ห้องโถงที่สาม ในทุกๆ วันตรุษจีนหรือวันครบรอบมารดาของเจ้า เจ้าก็จะได้เข้าไปกราบไหว้บูชา”
“ท่านแม่!” สีหน้าของสวีซื่อจุนดูตื่นเต้น ดวงตาของเขาแดงเล็กน้อย “มารดาของข้าจากไปหลายปีแล้ว ข้าคิดว่าช่างมันเถิด…” แม้ว่าจะเป็นคำพูดปฏิเสธ แต่น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความลังเลเล็กน้อย
หากไม่ใช่เพราะสวีซื่อจุนเป็นห่วงเกี่ยวกับความรู้สึกของนาง แล้วเขาจะลังเลทำไม การที่ทำเช่นนี้นับว่าเป็นการยืนยันนางในฐานะแม่เลี้ยงแล้ว
“เอาตามนั้นเถิด!” สืออีเหนียงยิ้มพลางส่งแขก
สวีซื่อจุนมองนางด้วยสีหน้าสับสนพลางถอนหายใจ