ตอนที่ 652 รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งตัวจริงและตัวปลอม
เมื่อคิดได้ว่าต้องออกไปหาซื้อเสื้อผ้ากับไป๋ลู่และไป๋เซี่ยในตอนเที่ยงวัน หลินม่ายจึงตั้งใจว่าจะกลับมาสะสางกับว่านฮุ่ยในตอนบ่าย
หลินม่ายรีบไปที่สถานที่นัดหมาย พบว่าไป๋ลู่และพี่ชายมาถึงแล้ว
ทั้งสามคนยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ดังนั้นไป๋เซี่ยจึงเสนอขึ้น “ไปเถอะ พี่ชายจะพาพวกเธอไปกินเกี๊ยว ต้องท้องอิ่มก่อนถึงจะมีแรงเดินซื้อของ”
หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จแล้ว สามพี่น้องจึงเริ่มซื้อของ
ระหว่างทางไป๋ลู่ก็แนะนำให้หลินม่ายซื้อเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว
หล่อนชมอย่างเกินจริงว่าเสื้อผ้าจิ่นซิ่วเป็นเสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่ใต้ฟ้าและบนโลกเคยมีมา ว่ากันว่าไม่ว่าจะเป็นใครที่สวมใส่เสื้อผ้าจิ่นซิ่ว ก็จะเป็นคนที่สวยที่สุดบนถนนเส้นนั้น
ไป๋เซี่ยพยักหน้ารับอย่างจริงจังอยู่ข้าง ๆ
ถึงแม้ในตอนโปรโมทเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว หลินม่ายจะยอมให้ข่าวค่ำปักกิ่งสัมภาษณ์ แต่เธอก็ไม่ได้เปิดเผยใบหน้า
ส่วนโฆษณาเสื้อผ้าจิ่นซิ่วที่ออกอากาศบน CCTV ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเธอ
นอกจากนี้หลินม่ายไม่เคยเปิดเผยกับใครในครอบครัวไป๋ว่าเธอเป็นเจ้าของเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว ดังนั้นไป๋เซี่ยและไป๋ลู่จึงไม่รู้ว่าเสื้อผ้าจิ่นซิ่วเป็นของหลินม่าย
หลินม่ายไม่พูดอะไร ปล่อยให้ไป๋ลู่และไป๋เซี่ยเลือกเสื้อผ้าให้เธอ
ก่อนหน้านี้หลินม่ายไม่ได้บอกใครในครอบครัวไป๋ว่าเธอมีบริษัท เนื่องจากเราไม่ควรคิดร้ายต่อคนอื่น แต่ควรระวังคนอื่นที่อาจคิดร้ายต่อเรา
ตอนนี้เธอยังไม่บอก เป็นเพราะรู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่ถึงโอกาสที่เหมาะสม
ยิ่งกว่านั้นเธออยากจะดูท่าทางของพ่อไป๋และคนอื่น ๆ ไปก่อน จึงยังไม่รีบร้อนที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้
หลินม่ายเดินตามไป๋ลู่และไป๋เซี่ยไปที่ร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว
สองพี่น้องเลือกเสื้อผ้าให้หลินม่ายคนละหนึ่งชุด จากนั้นบอกว่าเสื้อผ้าที่พวกเขาเลือกหลินม่ายใส่แล้วดูดีมาก ให้หลินม่ายซื้อเสื้อผ้าที่ตนเป็นคนเลือก
หลินม่ายเห็นพวกเขาเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ตนจะเลือกฝ่ายไหนก็ไม่เหมาะทั้งนั้น แบบนั้นจะทำจะเป็นการทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย
หลินม่ายจึงทำการจับฉลาก ได้ชุดกระโปรงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่ไป๋ลู่เลือกให้เธอ
ไป๋ลู่ทั้งมีความสุขและภูมิใจในตนเอง
ไป๋เซี่ยทำแก้มป่อง หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา จากนั้นจึงซื้อชุดเดรสที่เขาชอบให้หลินม่าย
หลินม่ายห้ามไม่ทัน ได้แต่รับชุดนั้นมา
เธอถามอย่างลังเลใจ “พี่คะ พี่เอาเงินมาซื้อเสื้อผ้าให้ฉัน พี่ยังมีเงินเหลือไหมคะ?”
ถึงแม้ไป๋เซี่ยจะอายุยี่สิบสามปีแล้ว แต่ก็ยังศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาอยู่ ในมือจึงมีเงินไม่มาก
ไป๋เซี่ยหน้าแดงเล็กน้อย เขามีเงินไม่มาก แต่เขาจะตระหนี่ตอนซื้อเสื้อผ้าให้น้องสาวคนเล็กไม่ได้
เขาจึงพูดเป็นเชิงตบหน้าตัวเองให้อ้วน(1) “ถึงพี่ชายเธอจะมีเงินไม่มาก แค่เงินซื้อเสื้อผ้าให้เธอสองสามตัวยังพอมีบ้าง”
หลินม่ายเห็นแบบนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก
ถ้าขืนยังพูดเรื่องนี้ต่อไปอาจจะทำร้ายจิตใจของไป๋เซี่ย
เธอตั้งใจจะหาโอกาสทดแทนให้พวกเขาทีหลัง
เงินที่พ่อไป๋ให้มาสามารถใช้ซื้อเสื้อผ้าได้มากมาย นอกจากนี้ไป๋ลู่และพี่ชายยังซื้อรองเท้าหนังแกะราคามากกว่าหกสิบหยวนให้หลินม่ายอีกคู่หนึ่ง
รายได้โดยเฉลี่ยในปักกิ่งโดยทั่วไปแล้วก็สูงกว่าทั่วทั้งประเทศ ค่าแรงของลูกจ้างส่วนใหญ่มากกว่าหนึ่งร้อยหยวนขึ้นไป
รองเท้าหนังแกะราคามากกว่าหกสิบหยวนนับว่าแพงมาก
หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ก็เกือบจะถึงเวลาเข้าเรียน
ทั้งไป๋ลู่และไป๋เซี่ยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลับ ถึงแม้พวกเขาไม่ได้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิงหวาหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่ก็เป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทุกคน
ทั้งสองคนบอกลาหลินม่าย จากนั้นก็รีบไปมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียน
หลินม่ายกลับไปที่บ้าน เก็บเสื้อผ้าและรองเท้าที่ซื้อมา แล้วจึงนำใบรับรองหลายฉบับไปที่มหาวิทยาลัยชิงหวา จากนั้นก็ไปหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับนักศึกษาเพื่อลงทะเบียน
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับนักศึกษาให้เธอแสดงจดหมายตอบรับเข้าเรียน
หลินม่ายบอกเขาว่าจดหมายตอบรับเข้าเรียนส่งไปไม่ถึงเธอ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับนักศึกษาผายมือ “คุณไม่มีจดหมายตอบรับเข้าเรียน ผมก็ดำเนินการลงทะเบียนให้คุณไม่ได้ เอาแบบนี้ คุณไปที่ภูมิลำเนาของคุณ ไปทำใบรับรองมาก่อน เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน จากนั้นค่อยมาลงทะเบียนอีกครั้ง”
หลินม่ายหยิบเอกสารและใบรับรองมากมายออกมาจากกระเป๋าหลุยส์ วิตตองของเธอ “ฉันไปทำใบรับรองมาทุกประเภทแล้วค่ะ เอกสารที่ต้องเตรียมมาก็เตรียมมาครบแล้วค่ะ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับนักศึกษาหยิบใบรับรองและเอกสารต่าง ๆ ขึ้นมาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามด้วยความสงสัย “คุณชื่อหลินม่ายหรือ? ที่จบจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้จากเจียงเฉิงใช่หรือไม่?”
หลินม่ายพยักหน้าเป็นการยืนยัน
“ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ใช่คนที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้หรอกหรือ?”
หลินม่ายพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่ค่ะ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาพึมพำเสียงเบา “จะมีนักเรียนที่สอบเข้าได้อันดับหนึ่งสองคนได้ยังไงล่ะเนี่ย!”
หลินม่ายแสร้งถามอย่างงุนงง “นักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยอันใดหนึ่งสองคนอะไรคะ?”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาไม่ตอบคำถามของเธอ แต่ให้เธอนั่งอยู่ในห้องสักครู่ จากนั้นเขาก็ออกไปสักพัก
ในตอนที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษากลับเข้ามาในห้องทำงาน ก็นำชายในชุดเครื่องแบบพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งกลับมาด้วย
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับนักศึกษาพูดกับหลินม่ายด้วยท่าทางใจดี “คุณไม่ต้องกลัว คนนี้เป็นหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเรา เขามาที่นี่เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองและเอกสารของคุณ”
หลินม่ายพยักหน้า “ไม่มีปัญหาค่ะ แต่คุณพึ่งพูดว่ามีคนได้รับอันดับหนึ่งสองคน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ บอกฉันได้ไหมคะ?”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับนักศึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกเธอว่าเมื่อวานนี้มีนักศึกษาชื่อหลินม่ายมารายงานตัวแล้ว
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาบอกว่า ข้อมูลของหลินม่ายทั้งสองตรงกัน นี่ไม่ใช่ว่ามีคนที่ได้รับอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสองคนหรือ?
หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “จะมีคนที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้าสองคนได้อย่างไรคะ จะต้องมีคนหนึ่งเป็นตัวจริง และคนหนึ่งเป็นตัวปลอมแน่นอนค่ะ อันที่จริงเรื่องนี้แก้ได้ง่ายมาก แค่เชิญครูประจำชั้นของนักเรียนที่สอบเข้าได้อันดับหนึ่งมาชี้ตัวก็ได้แล้วไม่ใช่หรือคะ? หรือไม่ก็เอาข้อสอบปีนี้ออกมาให้ฉันกับนักศึกษาที่ได้อันดับหนึ่งคนนั้นทำอีกดูอีกครั้ง แค่นี้ก็สามารถบอกว่าใครปลอมแปลงตัวตนได้แล้ว”
ว่านฮุ่ยพึ่งเรียนมัธยมปลายปีหนึ่ง ปีนี้กำลังจะขึ้นมัธยมปลายปีที่สอง หลินม่ายไม่เชื่อว่าหล่อนจะทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของปีนี้ได้
ว่านฮุ่ยคนนี้ช่างกล้าจริง ๆ ถึงกับกล้าแอบอ้างเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง
ถึงแม้ว่านฮุ่ยจะสามารถฉกฉวยประโยชน์ได้จากช่องโหว่ เปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวของเธอทั้งหมดเป็นของตัวเอง จากนั้นใช้ประโยชน์จากความคิดที่ว่าคงไม่มีใครกล้าแอบอ้างเป็นนักเรียนที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ปะปนเข้ามา
แต่ด้วยความรู้ระดับมัธยมปลายปีที่หนึ่งของหล่อน ถึงแม้ตนจะไม่เปิดโปงหล่อน ก็เป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะตามหลักสูตรทันหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาไปแล้ว ผลสุดท้ายก็คือต้องถูกไล่ออกอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
สุดท้ายก็กลายเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ(2)
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับนักศึกษาคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “พวกเรามาตรวจเอกสารและใบรับรองของคุณและหลินม่ายอีกคนก่อนเถอะ ถ้าตัดสินจากการตรวจสอบเอกสารกับใบรับรองได้ว่าใครเป็นคนที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยตัวจริง ก็ไม่จำเป็นต้องขอให้อาจารย์ลำบากลำบนมาถึงที่นี่ และไม่จำเป็นต้องสอบใหม่”
หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยตรวจสอบเอกสารและใบรับรองของหลินม่ายเป็นเวลานาน จากนั้นพูดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษา “ใบรับรองเหล่านี้ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นของปลอมครับ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีที่ใช้ในการปลอมแปลงสูงมาก ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นของจริงครับ”
ยุคนี้ล้าหลังเกินไป การตรวจสอบเอกสารทั้งหมดต้องอาศัยสายตาของมนุษย์ทั้งหมด
อย่างที่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยบอก ถ้ามีคนที่ใช้เทคโนโลยีปลอมแปลงขั้นสูง ก็ไม่สามารถมองออกด้วยตาเปล่า
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาพยักหน้า “ผมจะไปหาเอกสารของหลินม่ายอีกคนมาตรวจสอบดู”
ใบรับรองและเอกสารของหลินม่ายคนนี้ดูไม่ออกว่าเป็นเอกสารปลอม ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฉบับจริงสูงมาก
ใบรับรองของหลินม่ายอีกคนเป็นไปได้ที่จะเป็นเอกสารปลอม
เขากำชับหลินม่าย ว่าถ้าเรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน ก็ยังไม่สามารถให้เธอออกไปจากห้องได้
ว่ากันตามเหตุผลแล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง มหาวิทยาลัยไม่ใช่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ย่อมไม่มีสิทธิลิดรอนเสรีภาพของคนอื่น
แต่หลินม่ายรู้ว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่คนในยุคนี้ไม่ได้รู้กฎหมายมากนัก ไม่รู้ว่านี่คือการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลที่ผิดกฎหมาย
ดังนั้นเธอจึงไม่โต้แย้งอะไร ตอบตกลงอย่างเชื่อฟัง
ตั้งแต่ว่านฮุ่ยล้มเหลวในการสอบเข้าโรงเรียนมัธยม เรื่องนี้ก็กลายเป็นเงามืดในจิตใจของหล่อนมาโดยตลอด ยิ่งอยากเรียนให้เก่งเท่าใด ก็ยิ่งเรียนไม่เข้าสมอง ผลการเรียนย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนเกลียดที่สุด แต่สิ่งที่หล่อนเกลียดมากกว่า คือผลการเรียนของว่านเสียนพี่สาวของหล่อนกลับดีขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามอาจารย์ของมหาวิทยาลัยทางไกลของพวกเขาก็เปิดเผยข่าวว่า ถึงแม้ว่านเสียนและนักศึกษาปีนี้จะไม่ได้รับประกันการมีงานทำ แต่ก็มีหน่วยงานของรัฐบางแห่งทำข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยทางไกล นักเรียนที่ผลการเรียนดีครึ่งหนึ่งจะถูกคัดเลือก หลังจากผ่านระยะเวลาทดลองงานแล้ว พวกเขาก็จะได้เป็นพนักงานประจำ
ด้วยผลการเรียนปัจจุบันของว่านเสียน ขอแค่ผลการเรียนของหล่อนไม่ตก หล่อนจะต้องถูกหน่วยงานรัฐจ้างหลังเรียนจบแน่นอน อย่างน้อยในอนาคตก็จะได้เป็นข้าราชการเล็ก ๆ
เมื่อเปรียบเทียบพี่สาวน้องสาวสองคนแล้ว แน่นอนว่าแม่ว่านจะต้องขัดหูขัดตาว่านฮุ่ยมากกว่าเดิม
อยู่ที่บ้านทุกวันก็เอาแต่ต่อว่าด่าทอหล่อน บอกว่าการเรียนของหล่อนทำให้เปลืองเงินเปล่า ๆ
เงินที่ครูประจำชั้นและครูคนอื่น ๆ ให้ว่านฮุ่ยเป็นทุนการศึกษา เพียงพอให้หล่อนเรียนแค่หนึ่งปีเท่านั้น
หล่อนกำลังจะขึ้นมัธยมปลายปีที่สองแล้ว กลับไม่มีค่าเทอม หวังให้พ่อแม่ของตนจ่ายให้ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
แม่ว่านอยากให้หล่อนเป็นลูกจ้างชั่วคราวของโรงงานรัฐเพื่อหาเงินให้พี่สาวกับน้องชายเรียน ว่านฮุ่ยจะยอมได้อย่างไร?
หล่อนพยายามทุกวิธีเพื่อหาเงิน
ไม่ว่าจะเป็นแอบแคะมุมกำแพงห้องของพี่สาว หรือว่าตามตื๊อหลี่หมิงเฉิง ก็ไม่ได้เงินแม้แต่เฟินเดียว
หล่อนร้อนรนกระวนกระวายราวกับมดที่อยู่ในกระทะร้อน ๆ เมื่ออยู่ที่โรงเรียน หล่อนก็เห็นหลินม่ายที่ภาคภูมิใจกับคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยสูง ๆ ของเธอ
หล่อนคิดว่ามันช่างระคายเคืองลูกตาหล่อนเหลือเกิน ดังนั้นจึงอยากเล่นลูกไม้กับหลินม่าย จึงไปที่ไปรษณีย์เพื่อรับจดหมายตอบรับเข้าเรียนของหลินม่าย
อยากจะลองทำลายจดหมายตอบรับเข้าเรียนของเธอ ดูซิว่าหลินม่ายจะไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยชิงหวาอย่างไร
แต่เมื่อคิดว่าตนจะไม่มีโอกาสได้เรียนอีกแล้ว หลินม่ายกลับได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวา และในอนาคตพี่สาวของหล่อนกำลังจะได้เป็นข้าราชการเล็ก ๆ
ทันใดนั้นหล่อนนึกอยากลองเสี่ยงดวงขึ้นมา วางแผนที่จะไปที่มหาวิทยาลับชิงหวาภายใต้ชื่อของหลินม่าย
ถึงอย่างไรหล่อนก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถึงแม้จะแทนที่ไม่ได้ อย่างมากก็แค่กลับไปที่เดิม
แต่ถ้าแทนที่ได้สำเร็จ ก็จะได้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวา ดูซิว่าพ่อแม่จะกล้าดูถูกหล่อนอีกหรือไม่
ด้วยความคิดเช่นนี้ อันดับแรกว่านฮุ่ยก็ใช้วาทศิลป์ของหล่อนหลอกแม่ว่าน
บอกว่าตราบใดที่หล่อนได้เข้ามหาวิทยาลัยชิงหวา ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะมีอนาคตที่แสนสดใส แม้แต่ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันครอบครัวก็ไม่ต้องออกด้วยซ้ำ
แค่ให้แม่ว่านซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ให้หล่อน หล่อนจะไม่ได้ถูกเพื่อนร่วมชั้นดูถูกเพราะมอซอเกินไปในตอนที่ไปมหาวิทยาลัย
แม่ว่านคิดว่าถึงอย่างไรการเรียนมหาวิทยาลัยสี่ปีก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจากครอบครัวแม้แต่แดงเดียว และในวันหน้าว่านฮุ่ยอนาคตไกล ยังสามารถช่วยเหลือน้องชายของหล่อนได้อีก
ดังนั้นจึงทำตามที่หล่อนต้องการ ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หล่อน อีกทั้งยังให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังปักกิ่ง
ในตอนที่มาถึงปักกิ่ง ว่านฮุ่ยก็ไม่ใจร้อน
ในทางตรงกันข้ามหล่อนคอยสังเกตสถานการณ์อย่างลับ ๆ เป็นเวลาสิบวัน ก็ไม่มีวี่แววว่าหลินม่ายจะมารายงานตัว
คิดว่าเพราะเธอไม่ได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียน จึงคิดว่าตัวเองพลาดสิทธิ์แล้ว ดังนั้นจึงไม่มารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยชิงหวา
ไมแปลกใจว่าถึงแม้คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะสูงมาก แต่ก็มักมีคนที่พลาดสิทธิ์เพราะเขียนแบบแสดงความประสงค์เข้ามหาวิทยาลัย(3)ไม่เป็นอยู่ทุกปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ
ตั้งแต่เริ่มต้นการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย เนื่องจากขาดความต่อเนื่องของข้อมูล ทำให้มีนักเรียนแอบอ้างตัวตนแทบทุกปี
นักศึกษาหลาย ๆ คนหมดสิทธิ์ไปเพราะจดหมายตอบรับเข้าเรียนของพวกเขาถูกคนสวมรอย เนื่องจากไม่ได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียน จึงคิดว่าตนมีคะแนนไม่เข้าเกณฑ์มหาวิทยาลัย
จนกระทั่งผ่านไปหลายปีถึงจะรู้ว่ามีคนแอบอ้างเป็นตัวเอง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว
เพราะคนที่สวมรอยเรียนจบโรงเรียนอาชีวศึกษาหรือมหาวิทยาลัยไปแล้ว ได้รับใบรับรองการจบการศึกษา เริ่มทำงาน และกลายมาเป็นคนที่มีความสามารถที่สังคมต้องการไปแล้ว
ส่วนคนที่ถูกขโมยโอกาสในการศึกษาเล่าเรียน ก็กลายมาเป็นคนไร้ความสามารถ
ถึงแม้จะวิ่งไปป่าวประกาศเรื่องตัวเอง ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของใครได้ ทำได้เพียงยอมรับความโชคร้ายของตัวเอง
ว่านฮุ่ยกล้าสวมรอยหลินม่ายก็อาศัยความจริงข้อนี้
ขอแค่หล่อนเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาให้จบสี่ปี หลังจากได้รับใบปริญญาแล้ว หล่อนก็จะกลายเป็นคนมีประโยชน์ต่อประเทศและสังคม
หากหลินม่ายอยากจะฉุดหล่อนให้ตกต่ำ ก็เป็นแค่ฝันกลางวันเท่านั้น
ถึงอย่างไรการที่ประเทศจะฝึกฝนคนมีความสามารถขึ้นมาหนึ่งคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างคนเก่งก็เป็นที่ต้องการ จะลงโทษคนมีความสามารถได้อย่างไร?
ว่านฮุ่ยมีความสุขกับช่วงเวลาดี ๆ ที่ตนขโมยมาอย่างสบายใจเฉิบขณะที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้
สนุกสนานกับเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย รับน้องอย่างมีความสุข
สิ่งที่หล่อนกังวลในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ ตอนนี้หล่อนพึ่งอยู่มัธยมปลายปีที่หนึ่ง ในขณะที่หลินม่ายเลือกวิชาเอกวิศกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ
วิชาเอกนี้มีคนเลือกน้อยมาก กล่าวได้ว่ามันยากมาก
แบบนี้หล่อนจะเรียนเข้าใจได้อย่างไร?
ดูเหมือนมีแต่ต้องเรียนให้หนักมากขึ้นเท่านั้น
ขณะที่ว่านฮุ่ยและเพื่อนของหล่อนกำลังเข้าพิธีรับน้อง เจ้าหน้าที่รับเข้าศึกษาก็เรียกหล่อนออกมาจากกลุ่ม
ให้หล่อนแสดงจดหมายตอบรับเข้าเรียน สำเนาทะเบียนบ้าน และเอกสารอื่น ๆ ออกมา
ลางสังหรณ์พลันผุดขึ้นในใจของว่านฮุ่ย หล่อนข่มความตระหนกไว้ในใจแล้วถาม “ทำไมถึงต้องการเอกสารพวกนี้คะ?”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาบอกตรง ๆ “เพราะมีหลินม่ายอีกคนมารายงานตัวน่ะสิ พวกเราต้องตรวจสอบว่าใครเป็นตัวจริง ใครสวมรอยมา”
ในใจของว่านฮุ่ยตื่นตระหนกมาก นึกไม่ถึงว่าตอนที่หล่อนกำลังสวมรอย หลินม่ายจะตลบหลังจู่โจมหล่อนแบบนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะแผนของหล่อนไม่มีใครรู้ หล่อนคงคิดว่าหลินม่ายกำลังขุดหลุมรอให้ตนกระโดดลงไปแล้ว
ถึงแม้ในใจหล่อนจะสั่นไหวอย่างรุนแรง แต่ภายนอกกลับนิ่งสงบ รีบไปที่หอพักนักศึกษาเพื่อเอาเอกสารทันที
ผ่านไปสักพัก หล่อนก็มาที่ห้องของเจ้าหน้าที่รับเข้าศึกษาพร้อมกับสองมือที่ว่างเปล่า แล้วบอกเขาด้วยความตื่นตกใจว่าหอพักนักศึกษาของพวกเธอถูกขโมยขึ้นและบัตรประจำตัวของหล่อนก็หายไปแล้ว
เจ้าหน้าที่รับเข้าศึกษาไม่ได้ไร้สมอง เขาบอกว่าเขาอยากตรวจสอบเอกสาร จากนั้นว่านฮุ่ยก็บอกว่าเอกสารของหล่อนถูกขโมยไปหมดแล้ว ใครจะเชื่อ!
หัวขโมยจะขโมยบัตรประจำตัวของหล่อนไปทำไม? มันขายแลกเงินได้หรือไง?
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษายืนยันได้ทันทีว่าว่านฮุ่ยเป็นตัวปลอม
แต่ตอนนี้เขายังไม่มีหลักฐาน จะยืนกรานว่าหล่อนเป็นคนสวมรอยนั้นไม่ง่ายเลย
เขาจึงขู่ว่านฮุ่ยด้วยสีหน้าใจดี “ไม่เป็นไร ผมได้แจ้งครูประจำชั้นของคุณแล้วว่าให้บินมาปักกิ่งพรุ่งนี้ เพื่อชี้ตัวว่าใครเป็นหลินม่ายตัวจริง”
ว่านฮุ่ยหน้าเผือดสีทันที
เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าศึกษาพูดต่อ “คุณบอกว่าห้องพักนักศึกษาของคุณถูกขโมยขึ้นใช่ไหม? งั้นผมจะไปแจ้งความ ให้ตำรวจมาตรวจสอบ หัวขโมยต้องถูกจับและถูกลงโทษตามกฎหมาย ให้เขาถูกกฎหมายลงโทษ ผมจะไม่ให้นักศึกษาที่ไร้ศีลธรรมอยู่ในมหาวิทยาลัยของเราเป็นอันขาด!”
หลังจากนั้นก็หันหลังจากไป
เป็นสำนวน แปลว่าพยายามทำให้ตัวเองดูมีฐานะทั้งที่จริงๆ แล้วยากจน เหมือนกับการตบหน้าตัวเองให้บวมเพื่อให้ดูเหมือนคนอ้วนที่อยู่ดีกินดี
เป็นสำนวน แปลว่ากระทำเรื่องบางอย่างแล้วได้ผลลัพธ์สูญเปล่า
แบบแสดงความประสงค์เข้ามหาวิทยาลัย เป็นแบบฟอร์มที่ต้องกรอกมหาวิทยาลัยและคณะที่อยากเข้าหลังจากผ่านการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หลังจากผลคะแนนออกก็เลือกไปมหาลัยที่ตรงตามคะแนนของตัวเอง
สารจากผู้แปล
ของที่ไม่ใช่ของเธอ ต่อให้ขโมยมามันก็กลับไปอยู่ในมือเจ้าของตัวจริงอยู่ดีจ้ะยัยว่านฮุ่ย จงโดนไล่ออกไปซะ
ไหหม่า(海馬)