หลังจากวันที่สิบห้าเดือนแปด คนที่มีมิตรภาพอันดีกับสกุลสวีก็เริ่มมาแสดงความยินดี ประตูจวนสกุลสวีที่ถูกปล่อยให้เงียบเหงามาโดยตลอดเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น
ไท่ฮูหยินไม่ได้ยุ่งเรื่องในเรือนมาสองปีแล้ว แม้ว่าวันแต่งงานของสวีซื่อจุนจะใกล้เข้ามาแล้ว แต่ไท่ฮูหยินมีสืออีเหนียงคอยดูแลเรื่องในเรือนจึงวางใจเป็นอย่างมาก ซ้ำยังไม่ถามถึงเรื่องของพิธีมงคลสมรส ยังคงเหมือนเช่นเมื่อก่อน บางครั้งก็ไหว้พระ หรือไม่ก็คุยเล่นกับป้าตู้และฮูหยินสอง หยอกล้อบรรดาหลานๆ เมื่อสกุลสวีทำเสื้อผ้าให้เจียงซื่อและตอนที่สกุลเจียงส่งรายการสินสอดทองหมั้นมาก็ได้ไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ไท่ฮูหยินจึงใช้ชีวิตอย่างสบายๆ เตรียมตัวร่วมงานเฉลิมฉลอง สืออีเหนียงถ้าวันนี้ไม่ไปสังสรรค์งานนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องไปสังสรรค์งานนั้น แม้ว่าจะมีฮูหยินห้าคอยช่วยเหลือ แต่ก็น้อยนักที่จะมีเวลาว่าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงหัวเราะพลางพูดคุยกับหู่พั่วเป็นการส่วนตัวว่า “โชคดีที่จุนเกอเป็นซื่อจื่อ เรื่องการแต่งงานก็ต้องทำตามพิธีกรรมที่กรมพิธีการกำหนด ส่วนเรื่องรับตัวเจ้าสาวและเรื่องจัดงานเลี้ยงแขกก็เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านไป๋และผู้ดูแลจ้าว มิเช่นนั้นเกรงว่าพวกเราก็คงจะยุ่งยิ่งกว่านี้”
หู่พั่วยิ้มพลางยกถ้วยชาส่งให้สืออีเหนียง พูดขึ้นมาว่า “ถ้าหากคุณชายน้อยสี่ไม่ใช่ซื่อจื่อ ย่อมต้องจัดพิธีงานแต่งตามคุณชายน้อยสอง ในจวนอาจมีแขกไม่มากขนาดนี้ งานเลี้ยงก็อาจจะไม่จำเป็นต้องจัดโต๊ะมากมายขนาดนี้ บ่าวเองก็ยิ่งไม่ต้องยุ่งเช่นนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้ม “เช่นนั้นก็เป็นข้าที่คิดผิดเอง”
ชิวอวี่และคนอื่นๆ พากันปิดปากหัวเราะ
“ท่านแม่ ตอนที่ข้าแต่งงานก็ให้พี่สะใภ้ข้าเป็นคนจัดการเถิดขอรับ” ทันใดนั้นจิ่นเกอที่กำลังคัดตัวอักษรอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านจะได้เหมือนกับไท่ฮูหยิน วันๆ ก็แค่ไปเดินดูรอบๆ แบบนี้ท่านก็จะได้นอนตื่นสายทุกวันแล้ว” ช่วงนี้เวลาเขามาคารวะท่านพ่อกับท่านแม่ บางครั้งท่านแม่ก็ยังไม่ตื่นเสียด้วยซ้ำ
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อใกล้ถึงวันแต่งงานของสวีซื่อจุน แขกผู้สูงศักดิ์ก็จะมาแสดงความยินดีอยู่เรื่อยๆ ถ้าหากต้องใช้ห้องหนังสือเล็กขึ้นมา จิ่นเกอก็ฝึกเขียนตัวอักษรอยู่ที่นั่น สวีลิ่งอี๋ต้องพบเจอแขกไม่ใช่น้อยๆ นั่นจะไม่เป็นผลดีต่อการเรียนของจิ่นเกอ จึงให้จิ่นเกอมาฝึกคัดตัวอักษรที่ห้องด้านในของตัวเอง ส่วนตัวเองก็ไปพบปะแขกเฉพาะที่ห้องโถงบุปผา
เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
จิ่นเกอไม่พอใจ ตะโกนด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ก็ข้าพูดความจริง!”
สืออีเหนียงรีบปลอบโยนเด็กน้อย “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะรอจิ่นเกอแต่งภรรยา”
ทุกคนหัวเราะกันอีกครั้ง
จิ่นเกอทำแก้มป่องราวกับอึ่งอ่างก็ไม่ปาน
สวีซื่ออวี้และภรรยารีบกลับมาจากเล่ออาน
“ท่านแม่!” ตอนที่คารวะสืออีเหนียง สวีซื่ออวี้พยุงเซี่ยงซื่อลุกขึ้น
สืออีเหนียงใจเต้นแรง สำรวจมองเซี่ยงซื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ยิ้มพลางมองสวีซื่ออวี้ “เจ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือไม่”
สวีซื่ออวี้กับเซี่ยงซื่อใบหน้าแดงก่ำ สวีซื่ออวี้ที่ปกติเป็นคนสงบนิ่งกลับดูไม่สงบราวกับนั่งอยู่บนพรมที่เต็มไปด้วยเข็มอย่างไรอย่างนั้น พูดพึมพำว่า “โหรวเน่อนาง...นางตั้งครรภ์แล้วขอรับ”
“เหตุใดพวกเจ้าไม่ส่งจดหมายมาที่จวน” สืออีเหนียงรีบให้ชิวอวี่ไปยกเก้าอี้ไท่ซือมาให้เซี่ยงซื่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่รีบกลับมาให้เร็ว” กำชับหู่พั่วให้ไปเชิญหมอหลวงหลิวมาตรวจชีพจรให้เซี่ยงซื่อ แล้วส่งคนไปบอกสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็ถามเซี่ยงซื่อว่าตั้งครรภ์กี่เดือนแล้ว ระหว่างทางราบรื่นดีหรือไม่ สภาพครรภ์เป็นอย่างไรบ้าง
“สี่เดือนแล้วเจ้าค่ะ” เซี่ยงซื่อเขินอายเล็กน้อย แต่มีความสุขมากยิ่งกว่า นางตอบสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “ท่านพี่กลัวว่าครรภ์จะได้รับการกระทบกระเทือนระหว่างเดินทาง จึงออกเดินทางหลังจากเดือนสามและพึ่งมาถึงจวนในเวลานี้ ข้าสุขภาพแข็งแรงดี ราบรื่นตลอดทาง สภาพครรภ์ก็ดี ท่านแม่สามีไม่ต้องเป็นกังวล”
สืออีเหนียงเห็นว่าแก้มนางแดงระเรื่อ และไม่เหมือนคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ จึงให้ฟังซีไปเอาโสม รังนกและเทียนหม่าส่งไปที่เรือนของเซี่ยงซื่อ เลือกสะใภ้วั่นซานกับหญิงเฒ่าที่มีประสบการณ์สองคนให้ไปรับใช้เซี่ยงซื่อ “…มีเรื่องอันใดก็ถามสะใภ้วั่นได้เลย เฉิงเกอก็เป็นคนที่นางเลี้ยงมาจนโต นางมีประสบการณ์ เจ้าไม่ต้องกลัว!” ส่งคนไปรายงานที่สกุลเซี่ยง กำชับให้เซี่ยงซื่อกลับไปพักผ่อนที่เรือน ส่วนตัวเองก็พาสวีซื่ออวี้ไปคารวะไท่ฮูหยิน
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน จิ่นเกอก็จับจ้องไปที่เซี่ยงซื่ออยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาจะไปหาไท่ฮูหยินก็จะตามไปด้วย ระหว่างทางแอบถามสวีซื่ออวี้ว่า “พี่สอง ข้าจะได้เป็นท่านอาแล้วใช่หรือไม่”
สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางยกมือขึ้นหมายจะลูบศีรษะเขา
จิ่นเกอรีบวิ่งหนีฝุ่นตลบ เรียกไว้ก็ไม่อยู่ พอสืออีเหนียงกับสวีซื่ออวี้มาถึงเรือนไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินก็รู้ข่าวตั้งนานแล้ว กำลังยิ้มพลางพูดกระซิบกระซาบกับจิ่นเกอ
“เหตุใดถึงไม่รู้ความเช่นนี้!” ไท่ฮูหยินพูดตำหนิว่า “ในเมื่อตั้งครรภ์ก็ควรจะดูแลครรภ์ให้ดี ไม่บอกผู้อาวุโสสักคำก็พากันเดินทางกลับมาแล้ว โชคดีที่ภรรยาเจ้าสุขภาพแข็งแรงดี สามารถทนต่อการเดินทางระยะไกลได้ ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมาข้าไม่ยกโทษให้เจ้าแน่” แล้วพูดต่อไปว่า “ในเมื่อกลับมาแล้ว ภรรยาเจ้าก็ไม่ต้องกลับไปเล่ออานแล้ว อยู่ดูแลร่างกายที่จวนเถิด!”
สวีซื่ออวี้ยิ้มอย่างลำบากใจ
ไท่ฮูหยินไปเยี่ยมเซี่ยงซื่อที่เรือนสวีซื่ออวี้
ฮูหยินสองที่ทราบข่าวก็รีบมาหา มอบจี้หยกเหอเถียนที่พกติดตัวอยู่ตลอดให้เซี่ยงซื่อ “นี่เป็นสิ่งที่ผู้ดูแลที่อู่ไถมอบให้ข้าตอนที่ข้าไปอู่ไถ บอกว่าได้ทำพิธีปลุกเสกมาแล้ว เจ้าพกติดตัวไว้จะช่วยปกป้องพวกเจ้าสองคนแม่ลูกให้ปลอดภัย”
เซี่ยงซื่อรับมาด้วยความเขินอาย
ฮูหยินห้านำของบำรุงอย่างหอยเป๋าฮื้อและปลิงทะเลมาเยี่ยมเซี่ยงซื่อ
หู่พั่วกลับมารายงาน “ท่านโหวบอกว่ารับทราบแล้ว ให้คุณนายน้อยสองดูแลสุขภาพให้ดีเจ้าค่ะ”
ทุกคนล้วนปิติยินดี คนในครอบครัวทานอาหารกันอย่างมีความสุขที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ในตอนบ่ายนายหญิงเซี่ยงก็มาหา
เมื่อบุตรสาวตั้งครรภ์ หินที่กดทับอยู่ในใจของนายหญิงเซี่ยงก็ถูกยกออก เมื่อมารดากับบุตรสาวได้พบกันอีกครั้ง ย่อมมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย
ในเวลานี้คนที่ส่งเทียบเชิญงานแต่งไปที่ชังโจวกลับมารายงานว่า “พอคุณหนูใหญ่รู้ว่าคุณชายน้อยสี่ได้กำหนดวันแต่งงานแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก ท่านเขยใหญ่บอกว่าอีกไม่กี่วันเขากับคุณหนูใหญ่จะพาคุณชายน้อยทั้งสองมาแสดงความยินดีกับคุณชายน้อยสี่ที่เยี่ยนจิงขอรับ”
พวกเขาไม่ได้เจอกันตั้งแต่ที่เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานเมื่อห้าปีก่อน นี่นับว่าเป็นเรื่องมงคลสองชั้น
ไท่ฮูหยินอิ่มอกอิ่มใจเป็นอย่างมาก กำชับสืออีเหนียงว่า “ให้บรรดาสตรีพักที่เรือนใน”
“เช่นนั้นข้าจะให้คนทำความสะอาดเรือนลี่จิ่งเซวียน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ให้นางพักที่ที่นางเคยอยู่เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “เด็กๆ พวกนี้ทำให้คนอดเป็นห่วงไม่ได้เลยจริงๆ ลูกยังเล็ก จะทนรับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้อย่างไร!”
หลังจากที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ให้กำเนิดบุตรชายคนโตนามว่าเซ่าอานจิ่ง ปลายปีที่แล้วก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สองนามว่าเซ่าอานสวี้ คนหนึ่งอายุสี่ขวบ อีกคนหนึ่งอายุเพียงแค่สิบเดือน
พอไท่ฮูหยินบ่นเสร็จ ก็พูดกับสืออีเหนียงว่า “ข้ายังไม่เคยเห็นหลานชายทั้งสองคนเลย หลานเขยก็หน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ เจินเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราเองก็สะสวยเช่นกัน เด็กทั้งสองคนใบหน้าก็คงจะงดงามราวกับหยกกระมัง” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความคะนึงหา
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
ไท่ฮูหยินพาสืออีเหนียงไปที่เรือนลี่จิ่งเซวียน ดูว่ามีอะไรจะต้องเพิ่มเติมอีกหรือไม่
สวีลิ่งอี๋ที่อยู่เรือนนอกพึ่งจะส่งเหลียงเก๋อเหล่ากลับไป องค์ชายสามยงอ๋องก็มาหาเพื่อมาแสดงความยินดีกับสวีซื่อจุน แล้วก็เข้ามาคำนับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ รีบกลับมาแต่งตัวตามระเบียบเพื่อเข้าเฝ้ายงอ๋อง
ผู้บัญชาการกองทัพทหารซานตงที่มาแสดงความยินดีกับสวีซื่อจุนจึงต้องให้ผู้ดูแลจ้าวเป็นคนต้อนรับโดยให้ไปรออยู่ที่เรือนนอกและได้บังเอิญพบกับโต้วเก๋อเหล่าพอดี…
ตอนนี้สกุลสวีมีรถม้าวิ่งไปมาไม่ขาดสาย
เมื่ออู่เหนียงพาซินเกอกับเตี้ยนเจี่ยเอ๋อร์เดินทางมาจากเหวินเติง เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็มาถึงจวนพอดี สืออีเหนียงจึงได้พูดกับนางแค่ไม่กี่ประโยค คุณนายใหญ่สกุลหลัวจัดงานเลี้ยงต้อนรับอู่เหนียงกับเด็กๆ นางก็ไม่มีเวลาไป จึงให้หู่พั่วนำกล่องของขวัญไปส่งที่ตรอกกงเสียนแทน
บุตรชายทั้งสองของเจินเจี่ยเอ๋อร์รูปร่างหน้าตางดงามเหมือนเซ่าจ้งหรานอย่าว่าแต่ไท่ฮูหยินเลย แม้แต่สวีลิ่งอี๋ก็เอ็นดูเป็นอย่างมาก สวีซื่ออวี้ สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยชอบเล่นหยอกล้อกับสวี้เกอที่สดใสร่าเริงและน่ารักน่าชัง ส่วนจิ่นเกอกับเซินเกอพาจิ่งเกอวิ่งเล่นไปทั่ว ทำเอาสืออีเหนียงเป็นกังวลจนต้องกำชับสาวใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายพวกเขาอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “จับตาดูไว้ให้ดี ห้ามให้ไปในที่ที่มีน้ำ แล้วก็ห้ามไปเก็บผลไม้ที่เรือนหลิงฉยงซาน…ถ้าหากจิ่งเกอไปหกล้มเข้าข้าจะลงโทษพวกเจ้า”
“มีคนกลุ่มใหญ่คอยเฝ้าดูเช่นนี้ ซ้ำยังอยู่ที่สวนหลังจวนของพวกเรา ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มพลางคล้องแขนสืออีเหนียง ถามถึงทักษะการต่อสู้ของจิ่นเกอ “…ทุกครั้งที่ท่านพี่ถามอาจารย์ผัง อาจารย์ผังก็บอกเพียงว่าเรียนได้ดี สรุปแล้วเรียนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“ได้เริ่มสอนทักษะการชกหมัดอย่างง่ายๆ แล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่ดูเหมือนว่าท่านพ่อของเจ้าจะดูพอใจกับพัฒนาการของเขาเป็นอย่างมาก”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าก็คิดอยู่แล้วว่าท่านพ่อจะต้องมีคนที่เลือกไว้อยู่แล้วแน่ๆ แต่ท่านพี่บอกว่าพวกเราก็ต้องทำให้เต็มที่ที่สุด คิดไปคิดมาจึงได้แนะนำอาจารย์ผัง…”
ช่วงที่กลับมาสกุลเดิมของเจินเจี่ยเอ๋อร์ เซ่าจ้งหรานถูกสวีลิ่งอี๋พาไปพบแขก ให้ไท่ฮูหยินกับบรรดาเด็กๆ ช่วยกันดูแลบุตรทั้งสอง เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ พอมีเวลาว่างก็เลยไปเยี่ยมเหวินอี๋เหนียงสองสามครั้ง จากนั้นก็คอยอยู่ข้างกายสืออีเหนียง บางครั้งก็ช่วยสืออีเหนียงต้อนรับแขก บางครั้งก็พูดคุยเป็นเพื่อนสืออีเหนียง
สืออีเหนียงในใจเป็นห่วงเด็กๆ ให้สาวใช้คอยไปดูอยู่เรื่อยๆ ว่ากำลังทำอะไร
“ท่านแม่ยังคงเหมือนเดิม ชอบกังวลเรื่องโน่นเรื่องนี้อยู่เรื่อย” เจินเจี่ยเอ๋อร์อดทอดถอนใจไม่ได้ ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องในวัยเด็ก ขอบตาเริ่มแดงก่ำ น้ำตาของนางพลันไหลออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
พอได้เป็นแม่คนจึงได้เข้าใจความยากลำบากของท่านแม่มากขึ้น
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้สึกจุกในอก นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นวันมงคลของน้องสี่ หากตัวเองเป็นเช่นนี้จะเป็นการทำให้ท่านแม่เสียใจไปด้วย รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหางตา ในใจก็คิดถึงความเมตตาที่ท่านแม่มีต่อนาง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลายปีมานี้ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ชังโจว ก็รู้สึกว่ามีหลายพันคำที่อยากจะพูดกับท่านแม่
“ท่านแม่ คืนนี้ข้านอนกับท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” นางกอดแขนสืออีเหนียงไว้แน่น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง “ข้ายังจำได้ว่าตอนเด็กๆ มีครั้งหนึ่งที่ข้ามานอนกลางวันที่เรือนท่าน…ท่านทำสร้อยข้อมือไข่มุกให้ข้า…มอบปิ่นปักผมดอกเบญจมาศสีทองให้ข้า…พาข้าไปเป็นแขกที่จวนของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์…ข้ากับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ ไม่สิ ไท่จื่อเฟยแอบขโมยสวมเสื้ออ่าวของท่าน…” ทันทีที่เปิดบทสนทนาก็รู้สึกตกใจเมื่อรู้ว่าเคยมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ทุกๆ เรื่องทำให้ชีวิตของนางห่างไกลจากสิ่งที่เคยเป็นเล็กน้อย และใกล้ชิดกับชีวิตในปัจจุบันมากขึ้น…
เจินเจี่ยเอ๋อร์ละทิ้งอารมณ์โศกเศร้า เปลี่ยนเป็นสตรีที่มีความสุภาพอ่อนโยนในดวงตา ซ้ำยังออดอ้อนต่อหน้านางราวกับสาวน้อย หางตาของสืออีเหนียงก็มีหยดน้ำตารื้นขึ้นเช่นกัน
“ได้สิ!” กลับมาครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร นางไม่อยากทำให้บรรยากาศเศร้าหมอง ยิ้มพลางพูดหยอกล้อว่า “ตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะไม่สนใจเขยใหญ่ จิ่งเกอ แล้วก็สวี้เกอ”
“แค่คืนเดียวเองเจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดพลางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สีหน้ามีความแน่วแน่ในแบบที่สตรีที่มีความสุขเท่านั้นจึงจะมี “อีกอย่างเด็กๆ ก็ยังมีแม่นมคอยดูแล!”
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้สึกเขินอายเล็กน้อย พูดอย่างไม่สนใจว่า “ตอนนี้ข้ากลับมาสกุลเดิมแล้ว ก็ย่อมเป็นบุตรสาวของท่านแม่เช่นเคย”
“เอาสิ!” น้อยนักที่จะมีโอกาสทำตัวออดอ้อนต่อหน้าท่านแม่ ให้คนไปจัดที่นอนให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
สวีลิ่งอี๋เบิกตาโต “แล้วข้าจะนอนที่ใด”
สืออีเหนียงหน้าแดง กลัวว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะได้ยิน ผลักเขาออกไปข้างนอก “ท่านจะไปนอนที่ไหนก็ได้!”