“อะไรนะขอรับ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ชื่อเยว่ลู่สะบัดหน้ากลับไปหาทูตอย่างแรง
น้ำเสียงของทูตยังคงแผ่วเบาขณะเอ่ยว่า ”คนจากทั้งสี่เมืองกำลังมองดูพวกเราอยู่ในเวลานี้ ถ้าเจ้าไม่ขอโทษ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะพูดถึงเมืองหวงจื่อของเราอย่างไร ทุกคนจะกล่าวว่าเรารังแกเด็ก เทียบกับการที่เจ้าขอโทษเขา เจ้าคิดว่าการกระทำใดจะส่งผลกระทบมากกว่ากันหรือ”
“แต่เห็นได้ชัดว่าเขา…” เมื่อเห็นสีหน้าของทูตหวัง เยว่ลู่ก็ทำได้แค่ข่มความโกรธที่พวยพุ่งขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาหันไปพูดกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยว่า ”ข้าขอโทษ”
คำสามคำนั้นเย็นชาอย่างมากจนเหมือนมันถูกเค้นออกมาจากกรามที่ขบเข้าหากันแน่นของเขา ความไม่เต็มใจของเขาปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจแล้วจะทำไม อย่างไรเขาก็ต้องขายหน้าต่อหน้าทุกคนอยู่ดี
ทูตทั้งสองไม่สามารถรักษาสีหน้าผ่อนคลายที่เคยมีเมื่อตอนมาถึงได้อีกต่อไป ตอนนี้แม้แต่รอยยิ้มของพวกเขาก็ยังดูแข็งทื่อ
หลิวอวี้ลอบมองไปที่บัลลังก์ด้วยดวงตาเป็นประกาย กลอุบายของพระชายาสามได้ผลดีทีเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเช่นกัน รอยยิ้มหยอกล้อที่อยู่บนริมฝีปากบางของเขาเหมือนกำลังพูดว่า ”เจ้าไร้ยางอายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยดูจะเข้าใจ นางตอบเขาเสียงเบาว่า ”ข้าเรียนรู้มาจากท่านอย่างไรล่ะ อีกอย่าง คนที่ทำตัวไร้ยางอายก็คือฝ่ายนั้นต่างหาก พวกเขารังแกเจ้าเจ็ดของเราก่อน”
“ใช่ขอรับ พวกเขารังแกข้า” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพยักหน้าอย่างร่าเริง
องครักษ์เงาที่มองดูอยู่ข้างๆ รู้สึกลำบากใจอย่างมาก เขาทำหน้าที่รับใช้อยู่ภายในวังหลวงมาก็หลายปี แต่ไม่เคยเห็นใครที่จะสามารถรังแกองค์ชายเจ็ดได้จริงสักคน แค่เขาไม่ไปต่อยตีใครเข้าก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว นับประสาอะไรที่เขาจะยอมปล่อยให้ตัวเองถูกใครรังแกได้ อีกอย่างหนึ่ง… ที่ว่าขี้กลัวนั่นหมายถึงใครกัน หมายถึงองค์ชายเจ็ดของพวกเขาที่เอาแต่ก่อเรื่องวุ่นอย่างไม่สะทกสะท้านคนนี้จริงๆ น่ะหรือ
เห็นทีเขาคงต้องแยกแยะสิ่งที่ได้ยินให้ดีแล้วกระมัง…
แต่แน่นอนว่าทูตทั้งสองยังไม่ลืมจุดประสงค์เดิมของตัวเอง เมื่อพ่ายแพ้ด้านคารม พวกเขาย่อมมองหาลู่ทางอื่นเพื่อที่จะคว้าชัยในศึกนี้
“ตอนนี้ปล่อยให้พวกเขาสนุกกันไปก่อนก็แล้วกัน คนจากเมืองเซวียนหยวนมาถึงเมื่อใด พวกเขาจะต้องหัวเราะไม่ออกแน่ เมื่อถึงเวลานั้นคนสุดท้ายที่จะได้หัวเราะก็คือพวกเรา” ทูตหวังยกแก้วของตัวเองขึ้นพร้อมกับใช้โอกาสนี้กระซิบใส่หูเยว่ลู่ที่ยังเดือดดาลอยู่ ”จักรวรรดิจ้านหลงขาดแคลนนักพรตที่มีความสามารถ การสอนบทเรียนให้พวกเขาย่อมเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเจ้า”
เยว่ลู่ดื่มเหล้าองุ่นเข้าไปอึกใหญ่ด้วยความโกรธ เมื่อเขาวางแก้วลง ดวงตาของเขาก็เรืองแสงอย่างชั่วร้าย
ทูตหวังยืนขึ้นหลังจากให้คำแนะนำกับเขา และกล่าวอย่างสุภาพว่า ”องค์ชายสาม เมืองหวงจื่ออยู่ห่างไกลจากที่นี่มากพ่ะย่ะค่ะ แต่เราเอาประชาชนเป็นที่ตั้งเสมอ ที่เรารีบตรงมาที่นี่ในชั่วข้ามคืนก็เพราะได้ยินว่าผนึกในเมืองหลวงกำลังตกอยู่ในอันตราย จุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราคือการช่วยเหลือมิให้ประชาชนต้องเสี่ยงกับอันตราย องค์ชายสามจะให้โอกาสเมืองหวงจื่อได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น แววตาเป็นปริศนาก็พลันปรากฏขึ้นในดวงตาสีเข้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยราวกับเขากำลังไตร่ตรองอะไรอยู่ จากนั้นเขาจึงกอดอกและยกมือขึ้นเท้าคาง ริมฝีปากของเขาค่อยๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้มอันเย็นชา ”ใต้เท้าหวังต้องการโอกาสอันใดจากข้าหรือ”
“เมืองของกระหม่อมจะให้ความช่วยเหลือด้านกำลังกับท่านพ่ะย่ะค่ะ เราสามารถส่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายฝีมือดีที่สุดที่เรามี และทหารม้าออกไปคุ้มกันบริเวณใกล้เขตเมืองหลวงได้พ่ะย่ะค่ะ” ทูตหวังสังเกตเห็นว่าปลาติดเบ็ดแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดต่ออย่างกระตือรือร้นว่า ”องค์ชายสามไม่ต้องเกรงใจเลยพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นสถานการณ์พิเศษ เมืองทั้งสี่ควรร่วมมือและก้าวข้ามมันไปด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังสิ่งที่ผู้แทนคนนั้นพูดพลางหมุนแหวนบนนิ้วไปพร้อมกัน เขาหัวเราะออกมาน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า ”ใต้เท้าหวัง ท่านหมายความว่ายามใดที่เมืองหวงจื่อประสบปัญหา ข้าย่อมสามารถยกทัพไปช่วยจัดการได้อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะมอบความช่วยเหลือให้ก็แล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าระยะนี้องค์ชายสี่ของท่านดูเหมือนจะชอบลักพาตัวสาวชาวบ้านอยู่บ่อยๆ เสียด้วยสิ องครักษ์เงา ไปรวบรวมกำลังของเรามา วันพรุ่งนี้เราจะมุ่งหน้าไปช่วยฮ่องเต้หวงอบรมสั่งสอนบุตรชายของเขากัน ท่านคิดเห็นเช่นใดกับแผนการนี้หรือ ทูตหวง”
ใบหน้าของทูตหวงบิดเบี้ยวและแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ นิ้วมือของเขาสั่นด้วยความโกรธ แต่เขาไม่สามารถสรรหาคำพูดให้มาปฏิเสธได้
นอกจากจะปากคอเราะร้ายแล้ว สายตาขององค์ชายยังเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่มองเขาก็ทำให้ทูตหวังรู้สึกเหมือนร่วงลงไปในขุมนรกที่ทุกอย่างกลับตาลปัตร มันหนาวยะเยือกแทนที่จะร้อน…
ทันใดนั้น น้ำเสียงอันไพเราะและชัดเจนก็ดังมาจากนอกท้องพระโรง ”แผนการนี้ย่อมไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน”
ทุกคนหันหน้าไปทางต้นเสียง
ชายในเสื้อสีเขียวทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวเดินเข้ามาในท้องพระโรง ที่ด้านหลังของเขามีคนจำนวนหนึ่งเดินเรียงแถวตามมา นอกจากบรรดาทูตแล้ว ยังมีคนที่แต่งตัวเหมือนผู้อาวุโสอีกหนึ่งคนรวมอยู่ด้วย ชายคนนั้นมีใบหน้าคมคาย จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบาง ผมสีดำของเขาทิ้งตัวลงปกคลุมเสื้อคลุมขนสัตว์ของตัวเอง ใบหูข้างหนึ่งของเขามีต่างหูหยกขาวประดับอยู่ ท่าทางทรงอำนาจของเขาแสดงออกถึงความสูงศักดิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาสีเข้มคู่นั้น พวกมันเป็นสีดำราวกับทะเลลึกที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันรุนแรงและน่าหลงใหล
เขาเดินไปที่กลางท้องพระโรงด้วยรอยยิ้ม ”แต่ เมื่อเทียบกับประโยชน์ส่วนตนแล้ว การช่วยชีวิตของประชาชนหลายพันคนจากอันตรายควรจะเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับผู้ปกครอง แผนการเหล่านั้นล้วนแต่สามารถนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแก้ไขปัญหาปัจจุบันภายในเมืองหลวงให้ได้ต่างหาก”
“นั่นมันองค์ชายรัชทายาทของเมืองเซวียนหยวน ซงเจิ้งเหวินเหรินนี่นา!” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังโดยไม่รู้ตัวหลังจากเห็นชายคนนั้น
ชื่อ ’ซงเจิ้งเหวินเหริน’ ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นอ้าปากค้างอย่างรวดเร็ว แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังก้มหน้านิ่ง ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองชายคนที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรงแม้แต่นิดเดียว
ซงเจิ้งเหวินเหรินเป็นที่รูัจักกันอย่างกว้างขวาง นอกจากจะเป็นหนุ่มรูปงามแล้ว เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทของราชวงศ์เซวียนหยวนอีกด้วย ระดับพลังปราณของเขาอยู่ในธาตุทอง ผู้คนลือกันว่าเขาแข็งแกร่งพอๆ กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลยทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับท่าทางเฉยชาและการหลีกเลี่ยงไม่ทำตัวเป็นจุดเด่นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว เขามักจะมีส่วนร่วมกับการเมืองในเมืองของตัวเองเสมอ สาเหตุที่ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นไม่ใช่เพียงเพราะว่ามีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ยังเป็นเพราะความเป็นเลิศด้านการปกครองที่เขามีนั่นเอง และที่สำคัญกว่านั้น เขาก็เป็นหนึ่งในผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเช่นกัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าพลังในการขับไล่วิญญาณร้ายของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ซงเจิ้งเหวินเหรินหัวเราะเสียงเบา แล้วหันหน้ากลับไป ”ผู้อาวุโส ท่านช่วยแบ่งปันสิ่งที่ท่านพบเห็นระหว่างการเดินทางมายังจักรวรรดิจ้านหลงให้ทุกคนได้ฟังที”
“ตามถนนหนทางมีวิญญาณอาฆาตหลอกหลอน และฝูงปศุสัตว์ก็ดูกระสับกระส่ายยิ่งนัก” ผู้อาวุโสซวีอู๋ลูบเคราตัวเอง แล้วจึงพูดต่อ ”เวลานี้พลังปราณในเมืองหลวงมาถึงขีดจำกัดแล้ว ภายในหนึ่งเดือนนี้หากยังไม่มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาจัดการ ผนึกจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์ เมื่อเวลานั้นมาถึง ปีศาจจะทำให้เกิดความโกลาหลและเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องสูญสิ้น องค์ชายสาม เพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิตแล้ว เมืองเซวียนหยวนจะไม่ถอยให้กับปัญหาแม้แต่ครึ่งก้าวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าเมืองข้างเคียงอีกทั้งสองเมืองก็คงคิดเหมือนกัน”
ทูตหวังรีบกล่าวสมทบทันทีว่า ”ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผนึกในเวลานี้นับว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน เราต้องรีบลงมือโดยเร็ว”
ผู้อาวุโสซวีอู๋เผยรอยยิ้มอันสว่างไสวออกมา แล้วจึงกล่าวว่า ”หากองค์ชายสามกังวลในความภักดีของทหารเหล่านั้น เราก็มีหนทางแก้ไขอยู่ทางหนึ่ง ตราบใดที่ทั้งสองเมืองกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน ปัญหาทุกอย่างย่อมได้รับการคลี่คลาย ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะได้ยินคำพูดนี้ แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เขาทำเพียงแค่เอียงศีรษะเล็กน้อยแล้ววางใบหน้าของตัวเองลงบนฝ่ามือพร้อมกับยิ้มให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้น ใบหน้าของนางดูน่ามองสำหรับเขาอย่างมาก
เขาอยากเห็นจริงๆ ว่าสัตว์เลี้ยงของเขาจะแสดงสีหน้าเช่นใดออกมา
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เพราะจิ้งจอกน้อยของเขากลับดูสงบเยือกเย็นทีเดียว
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แสดงสีหน้าอันใดออกมาแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ดวงตาของนางที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเท่านั้น…
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยสัมผัสได้ถึงบรรยากาศนั้น เขาเดินออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างกล้าหาญพร้อมกับเริ่มถูกำปั้นของตัวเองไปมา
เขาคิดในใจว่า: หากพี่สะใภ้สามหมดความอดทนและลงมือกับพวกเขาเมื่อใด ข้าจะได้วิ่งเข้าไปแอบเตะพวกเขาเพิ่มสักทีสองทีเหมือนกัน!