\สกุลสวีไม่ได้ขาดแคลนสาวงาม
ฮูหยินสอง ฮูหยินห้า แม้แต่เจียงซื่อและฟังซื่อล้วนเป็นสาวงามที่พบเห็นได้ยาก แต่จิ่นเกอกลับบอกว่าอี๋เหนียงห้าสวยอยู่คนเดียว นี่เป็นเพราะว่าเลือดข้นกว่าน้ำอย่างนั้นหรือ
หน้าประตูมีบทกลอนคู่สีแดงแปะอยู่ มีโคมไฟสีแดงห้อยอยู่ใต้ชายคา ตรงมุมกำแพงมีต้นเหมยเก่าแก่หนึ่งต้น มีเชือกสีแดงผูกอยู่บนต้นเหมย
ทุกคนต่างก็คำนับซึ่งกันและกัน เด็กๆ บางคนก็เรียกท่านลุง บางคนก็เรียกท่านอาเขย บรรดาผู้ใหญ่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม แจกอั่งเปาให้ ส่วนเด็กๆ ก็รับอั่งเปาไปด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก มีเพียงสวีซื่อจุนที่โบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่ต้องให้ข้าขอรับ ตอนนี้ข้าแต่งงานแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรเป็นข้าที่ให้อั่งเปาแก่บรรดาน้องๆ” พูดพลางให้เจียงซื่อมอบอั่งเปาให้อิงเหนียงและคนอื่นๆ
คุณนายใหญ่สกุลหลัวที่สวมเสื้อคลุมสีแดงขอบทองไม่เพียงแต่ยิ้มพลางยัดอั่งเปาให้สวีซื่อจุนหนึ่งซอง ซ้ำยังให้เจียงซื่ออีกหนึ่งซอง “เมื่อมาที่จวนท่านลุง ทุกคนก็ถือเป็นเด็กๆ ”
คุณนายสี่สกุลหลัวห้ามเจียงซื่อไว้ “เจ้าทำอะไร เก็บอั่งเปาของเจ้าไว้เถิด นี่เป็นปีแรกที่เจ้ามาฉลองตรุษจีนที่จวนของพวกเรา!” พูดพลางหยิบอั่งเปาที่เตรียมไว้ให้เจียงซื่อออกมา
ตามหลักแล้ว ในปีแรกที่ลูกสะใภ้เข้ามาในจวนจะต้องไปอวยพรตรุษจีนให้ญาติๆ ส่วนบรรดาญาติๆ ก็จะมอบอั่งเปาแก่เจ้าสาว
เมื่อเจียงซื่อเห็นว่าท่านป้าสะใภ้ทั้งสองคนยืนกรานเช่นนั้น ก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณและรับอั่งเปามา
ครอบครัวของสือเอ้อร์เหนียงกับครอบครัวของอู่เหนียงเดินเข้าประตูมาไล่เลี่ยกัน
ทุกคนต่างอวยพรตรุษจีนซึ่งกันและกัน คุยไปหัวเราะไป ครึกครื้นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีลมหนาวพัดเข้ามาที่ลาน ทุกคนจึงย้ายไปที่ห้องโถง
อี๋เหนียงหกกับอี๋เหนียงห้ากำลังกำกับสาวใช้น้อยจัดวางขนม
อี๋เหนียงหกสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงดอกกุหลาบปักลาย ท่าทางดูเบิกบานใจ อี๋เหนียงห้าสวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียวอ่อน ด้วยใบหน้าที่ขาวราวหิมะ และผมสีดำขลับ ทำให้สีหน้าดูอ่อนโยน มองดูแล้วเหมือนพึ่งจะอายุสามสิบกว่าปีเท่านั้น ไม่เหมือนคนที่มีบุตรสาวที่โตแล้วอย่างสืออีเหนียง
จิ่นเกอรีบวิ่งเข้าไปทันที “ท่านยาย ท่านยาย!”
รอยยิ้มที่มีความสุขเอ่อล้นออกมาจากสายตาของอี๋เหนียงห้า
“คุณชายน้อยหก!” นางกอดจิ่นเกอด้วยความรัก “วันนี้ลมเหนือพัดมา เจ้าหนาวหรือไม่” พูดพลางลูบมือเขา
“ไม่หนาว ไม่หนาว” น้ำเสียงของนางนุ่มนวลราวกับสายน้ำ พลอยทำให้จิ่นเกอพูดเสียงเบากว่าปกติเล็กน้อย “ท่านดูสิ ข้าใส่เสื้อหนังอยู่” เขาพลิกคอเสื้อด้านในให้อี๋เหนียงห้าดู “ทำมาจากหนังกระรอกขอรับ”
อี๋เหนียงห้ารีบจับมือของเขาไว้ไม่ให้พลิกด้านในเสื้อออกมา “ระวัง ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”
จิ่นเกอปล่อยมืออย่างเชื่อฟังพลางพยักหน้า
รอยยิ้มของอี๋เหนียงห้าจางลง ลุกขึ้นแล้วคำนับสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว!” สายตามองไปที่สืออีเหนียง “คุณหนูสิบเอ็ด”
“อี๋เหนียง!” สืออีเหนียงยิ้มพลางคำนับนาง
สวีลิ่งอี๋หันข้างหลีกทางให้ นับว่าเป็นการคำนับอี๋เหนียงห้า “ไม่ได้เจอกันมาหลายวัน ท่านสบายดีหรือไม่!”
“ขอบคุณท่านโหว” อี๋เหนียงห้าตอบด้วยความเคารพว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี!”
สวีซื่อจุนและคนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็เข้าไปอวยพรตรุษจีนให้อี๋เหนียงห้า อี๋เหนียงห้ามอบอั่งเปาให้พวกเขา ส่วนหวังเจ๋อ สือเอ้อร์เหนียง และเด็กๆ ก็เข้าไปคำนับอี๋เหนียงหก อี๋เหนียงหกเองก็เตรียมอั่งเปาเอาไว้ให้เด็กๆ เช่นกัน
อู่เหนียงมองหลัวเจิ้นเซิง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร
หลัวเจิ้นเซิงไม่กล้ามองหน้านาง รีบก้มหน้าลง
ทันทีที่อู่เหนียงกลับมาที่เยี่ยนจิงนางก็ตำหนิหลัวเจิ้นเซิงอย่างรุนแรง “เจ้าเป็นคนจัดการเรื่องในเรือนไม่ใช่หรือ เหตุใดอี๋เหนียงหกได้มา แต่กลับให้อี๋เหนียงสามอยู่ที่จวน”
เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อี๋เหนียงสามเทียบอี๋เหนียงห้าไม่ได้ หรือว่าจะเทียบไม่ได้แม้กระทั่งอี๋เหนียงหกที่ไม่เคยมีบุตรชาย?
“เป็นอี๋เหนียงสามที่ต้องการที่จะอยู่ดูแลท่านพ่อเอง” หลัวเจิ้นเซิงอธิบายอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ แต่อู่เหนียงกลับไม่เชื่อแม้แต่ประโยคเดียว สั่งสอนหลัวเจิ้นเซิงอย่างไม่ลืมหูลืมตา “อยู่ที่อวี๋หังเจ้าทำอะไรบ้างกันแน่ คราวที่แล้วกว่าข้าจะคุยกับพี่ใหญ่ให้เจ้าติดตามพี่เขยไปเป็นเจ้าหน้าที่จัดการค่าเสบียงอาหารได้ แต่เจ้ากลับไม่ไป ข้าคิดว่าสกุลหลัวจะได้มีบุตรชายที่มีอาชีพการงานที่ดี อี๋เหนียงสามก็อยู่ที่จวน หากเจ้ามีที่ยืนในสกุลหลัวก็เป็นเรื่องดี แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่มีความสามารถอะไรเลย…”
ที่จริงแล้วหลัวเจิ้นเซิงนั้นอยากไป
แต่คุณนายสี่สกุลหลัวไม่อยากให้สามีไป
ในเรือนก็ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ แล้วเหตุใดจึงต้องไปที่ไกลๆ เช่นนั้นเพื่อพึ่งพาพี่เขย!
เมื่อเห็นว่าสามีถูกตำหนิ คุณนายสี่สกุลหลัวก็คอยเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ แต่อู่เหนียงกลับพูดขัดนางอยู่หลายครั้ง
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว เกรงว่าคงทำให้คุณหนูห้าคิดถึงอี๋เหนียงสามกระมัง
คุณนายสี่สกุลหลัวครุ่นคิด จากนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น ยิ้มพลางคล้องแขนเซี่ยงซื่อ “ใกล้คลอดแล้วใช่หรือไม่ เป็นอย่างไร สบายดีหรือไหม”
“ท่านแม่ส่งผู้ดูแลหญิงที่มีประสบการณ์มาดูแลข้าโดยเฉพาะเจ้าค่ะ” เซี่ยงซื่อรู้สึกประทับใจท่านป้าสะใภ้สี่ผู้ร่าเริงผู้นี้ นางพูดหยอกล้อตัวเองว่า “ทุกวันข้ากินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน จนหน้าจะบานเป็นขนมปิ่งอยู่แล้ว”
ทำเอาคุณนายสี่สกุลหลัวหัวเราะ “พอคลอดแล้วก็จะดีขึ้นเอง”
เมื่อคุณนายสี่สกุลหลัวเห็นว่าทุกคนยืนอยู่ในห้องโถงโดยไม่คำนึงถึงชายหญิง จึงรีบเชิญให้ทุกคนนั่งลง
บุรุษจะอยู่ที่ห้องโถง ส่วนสตรีจะพาเด็กๆ ไปที่ห้องรับรองแขกฝั่งตะวันออก บรรดาบุรุษพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก บรรดาสตรีพูดคุยเรื่องในเรือนทั่วไป ส่วนเด็กๆ ก็เล่นด้วยกันพลางหัวเราะคิกคัก บรรยากาศครื้นเครงเป็นอย่างมาก
อี๋เหนียงหกเห็นดังนั้นก็รู้สึกมีความสุข ช่วยเทน้ำชากับบรรดาสาวใช้ในห้อง อี๋เหนียงห้าอาศัยช่วงที่ทุกคนไม่ได้สนใจกลับมาที่ห้องของตัวเองอย่างเงียบๆ ตอนแรกทุกคนคิดว่านางจะไปทำอะไรบางอย่างจึงไม่ได้สนใจ แต่เวลาผ่านไปนานก็ยังไม่กลับมา จิ่นเกอมองซ้ายมองขวาพลางอุทานด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ ท่านยายเล่า ทำไมไม่เห็นท่านยายแล้ว”
สืออีเหนียงสังเกตเห็นตั้งนานแล้ว แต่นางไม่ได้พูดอะไร
ให้อี๋เหนียงห้ามาสังสรรค์กับพวกเขาเช่นนี้ อี๋เหนียงห้าคงจะไม่ชินกระมัง!
“ท่านยายเหนื่อยแล้วก็เลยกลับไปพักผ่อนที่ห้อง” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไปเล่นกับพี่ๆ ของเจ้าเถิด!”
จิ่นเกอรับคำ “ขอรับ” แล้ววิ่งไปหาสวีซื่อเจี้ยอย่างเชื่อฟัง
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน สืออีเหนียงให้ความสนใจหลัวเจิ้นหงอยู่ตลอด
ตอนที่จิ่นเกอหาอี๋เหนียงห้า เขาก็เงยหน้ามองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาอี๋เหนียงห้า แต่เมื่อเขาได้ยินว่าอี๋เหนียงห้าเหนื่อยแล้วจึงกลับไปพักผ่อน เขาก็มีสีหน้าโล่งใจ ยิ้มพลางพูดคุยกับหลัวเจียเกิงที่อยู่ข้างๆ ต่อ
ในระหว่างทานอาหารกลางวัน คุณนายสี่สกุลหลัวดื่มสุราคำนับทุกคนอย่างเป็นกันเอง ไม่รู้ว่าทำไมอู่เหนียงจึงได้ลุกขึ้นมาแล้วชนแก้วกับคุณนายใหญ่สกุลหลัวครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง คุณนายใหญ่สกุลหลัวที่คออ่อนก็เดินเซเล็กน้อย หลัวเจิ้นหงและหลัวเจียซิวที่กำลังดื่มอยู่กับสวีลิ่งอี๋และหวังเจ๋อ เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เลยรีบวิ่งเข้ามา คนหนึ่งพยุงคุณนายใหญ่สกุลหลัว อีกคนหนึ่งกำชับให้สาวใช้รีบไปชงชาเข้มๆ มา ในทางกลับกัน หลัวเจียเกิงกับหลัวเจียคังพึ่งจะได้สติกลับมาหลังจากนิ่งงันไปพักใหญ่
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ อาศัยโอกาสที่จิ่นเกอกำลังนอนกลางวันไปหาอี๋เหนียงห้า
ประตูถูกปิดไว้ แต่เมื่อใช้มือผลักก็เปิดออก
“อี๋เหนียงรู้ว่าข้าจะมาอย่างนั้นหรือ” นางยิ้มพลางรับชาร้อนมาจากมืออี๋เหนียงห้า
อี๋เหนียงห้าเพียงแค่มองนางแล้วยิ้มด้วยสายตาอันอ่อนโยน
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่หลัวเจิ้นหงช่วยไปพยุงคุณนายใหญ่สกุลหลัวให้อี๋เหนียงห้าฟัง
“คุณชายเจ็ดเป็นคนที่คุณนายใหญ่เลี้ยงมาจนโต ปฏิบัติต่อเขาราวกับว่าเป็นบุตรแท้ๆ เขาเองก็เห็นคุณนายใหญ่สกุลหลัวเป็นเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิด ทำเช่นนี้ก็สมควรแล้ว” อี๋เหนียงห้าโบกมือให้นาง บอกเป็นนัยๆ ว่าต่อไปอย่าพูดเช่นนี้อีก “เขาอยู่ตรงหน้าข้า ข้าได้เห็นเขาทุกวันทุกคืน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” ขณะที่พูดสายตาของนางก็อ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่ไม่จำเป็น เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้าแล้ว คุณนายใหญ่ไม่มีทางละเลยข้าอย่างแน่นอน” พูดจบก็ถอนหายใจยาว พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าไท่ฮูหยินจะพูดคุยเรื่องทั่วไปกับข้าต่อหน้าคนมากมาย ในช่วงตรุษจีนก็ให้ป้าตู้นำเสื้อผ้าและยาสมุนไพรมาส่งให้มากมายขนาดนั้น” สายตาที่นางมองสืออีเหนียงค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น “ไท่ฮูหยินยกย่องเจ้าเช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องกตัญญูต่อไท่ฮูหยินและปรนนิบัติท่านโหวให้ดี”
ความคิดเกิดจากใจ เป็นเพราะนางมักจะคิดถึงความดีของคนอื่น ใจดีมีเมตตาต่อคนรอบข้าง ดังนั้นพอถึงวัยกลางคนจึงดูงดงามกว่าตอนวัยเยาว์อย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงมองดูใบหน้าเรียบๆ แต่สง่างามของนาง รีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านวางใจเถิด ข้าจะกตัญญูต่อไท่ฮูหยินและปรนนิบัติท่านโหวให้ดีเจ้าค่ะ”
เรื่องในวันนั้นนางเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน
ไท่ฮูหยินไม่เพียงทักทายอี๋เหนียงห้าอย่างสนิทสนม ซ้ำยังชวนอี๋เหนียงห้าคุยเรื่องทั่วไปอยู่ตลอดเวลา อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่คุณนายใหญ่สกุลหลัวกับคุณนายสี่สกุลหลัวก็ยังไม่ได้สติอยู่นาน เมื่อนางนำของขวัญตรุษจีนมามอบให้ในช่วงตรุษจีน ก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าบ่าวรับใช้ที่ตรอกกงเสียนให้ความเคารพอี๋เหนียงห้ามากขึ้นเล็กน้อย
อี๋เหนียงห้าถามถึงเรื่องของนางกับสวีลิ่งอี๋ “…เมื่อก่อนต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของคุณชายน้อยสี่ แต่ตอนนี้คุณชายน้อยสี่มีครอบครัวเป็นหลักแหล่งแล้ว เจ้ามีน้องชายให้จิ่นเกอดีหรือไม่ ในจวนยิ่งมีเด็กเยอะก็ยิ่งครึกครื้น!”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ “เคยให้หมอหลวงมาตรวจดูแล้ว ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร เคยคิดจะลองทานยา แต่ท่านโหวบอกว่าแม้แต่ยาก็มีพิษอยู่สามส่วน เรื่องเช่นนี้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า ไม่ให้ข้าไปหาหมอหลวง”
ในเมื่อเป็นความต้องการของท่านโหว อี๋เหนียงห้าจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
นางช่วยสืออีเหนียงจัดผมที่ไม่ได้ยุ่งเลยแม้แต่น้อย พูดเบาๆ ว่า “งานแต่งของคุณชายน้อยใหญ่กับคุณหนูสกุลโจวถูกกำหนดเป็นเดือนสาม คุณนายใหญ่บอกว่าหลังจากวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งพวกเราก็จะเดินทางกลับอวี๋หัง” นางมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับว่าเมื่อทำเช่นนี้ก็จะสามารถจดจำนางไว้ในใจได้ “ต่อไปเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี...มาเยี่ยนจิงครั้งนี้ ข้าเห็นว่าเจ้าสบายดี ข้าก็พอใจแล้ว…” ขอบตาแดงขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงคุณชายเจ็ด…”
จะกลับไปเร็วขนาดนี้เลยหรือ
สืออีเหนียงกอดแขนนางแน่น
เจอกันครั้งนี้ พวกนางต้องใช้เวลารอถึงสิบปี เจอกันครั้งหน้าจะต้องใช้เวลานานเพียงใด
******
เมื่อส่งอี๋เหนียงห้าไปแล้ว สืออีเหนียงก็เริ่มยุ่งขึ้น
เจียงซื่อตั้งครรภ์แล้ว ต่อมาเซี่ยงซื่อก็ให้กำเนิดบุตรสาวในวันที่สี่เดือนสอง
เป็นดั่งคำที่ว่าผู้อาวุโสมักเอ็นดูหลาน
สวีลิ่งอี๋ชอบการมาของหลานสาวคนโตเป็นอย่างมาก นั่งเขียนชื่อไม่ต่ำกว่ายี่สิบชื่ออยู่ในห้องหนังสือ “เจ้าคิดว่าชื่อไหนดี”
สืออีเหนียงมองดู ทั้งหมดล้วนเป็นชื่อที่ไม่ได้มีความหมายซับซ้อนอย่างเช่น เสียน ซู จิ้ง หนิง
นางนึกถึงทารกน้อยที่มีผิวอมชมพูใสราวกับหยกก็มิปาน ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าชื่ออิ๋งอิ๋งดีกว่าเจ้าค่ะ! ไข่มุกดีย่อมมีราศี แม้จะอยู่ในน้ำลึกก็ไม่สามารถปิดบังความงามของมันได้”
“ชื่อนี้ดี!” สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เช่นนั้นก็ให้ชื่อว่าอิ๋งอิ๋ง!” พอพูดจบประโยค แววตาของเขาก็หม่นหมองลง
เขาอยากได้บุตรสาวมาตลอด
สืออีเหนียงเองก็รู้ถึงความรู้สึกของเขา เดินเข้าไปจับมือเขา