หรือเป็นเพราะเด็กคนนี้ไม่ได้มาได้ง่ายๆ พิธีครบรอบหนึ่งเดือนของอิ๋งอิ๋งไม่เพียงแต่จัดอย่างครึกครื้น อีกทั้งสวีซื่ออวี้ยังรีบเดินทางมาจากเล่ออานอีกด้วย
เมื่ออุ้มบุตรสาวที่ตัวกลมเป็นก้อนข้าวเหนียว หางตาของเขาพลันมีน้ำตาคลอ
“น่ารักมากใช่หรือไม่!” สืออีเหนียงเดินเข้าไปหา ลูบผมสีดำขลับของเด็กน้อยเบาๆ “เลี้ยงง่ายมากเช่นกัน กินแล้วก็นอน พอหิวหรือจะถ่ายหนักก็จะส่งเสียงร้อง พี่สะใภ้สองบอกว่าเหมือนเจ้าตอนเด็กๆ”
สวีซื่ออวี้ใบหน้ายิ้มแย้ม ส่งเด็กน้อยที่กำลังหลับอยู่ให้แม่นมอย่างระมัดระวัง
“แล้วตอนข้าเด็กๆ เล่าขอรับ” จิ่นเกอดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง
“ตอนเจ้ายังเล็ก พอไม่ถูกใจอะไรก็จะร้องไห้เสียงดัง” สืออีเหนียงจับไหล่บุตรชาย “ร้องจนพวกเราปวดหัวไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดื้อแค่ไหน”
จิ่นเกอเบิกตาโต “คงไม่ใช่หรอกกระมัง” เขาถามสวีซื่ออวี้ “พี่สองขอรับ ตอนข้ายังเล็กๆ ท่านต้องเคยเห็นอย่างแน่นอน ข้าเลี้ยงง่ายหรือไม่”
“เลี้ยงง่ายมาก!” สวีซื่ออวี้หัวเราะเสียงดัง มองไปที่จิ่นเกอที่ยืนอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง “น้องหกโตขนาดนี้แล้ว แต่ข้ายังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย!” ท่าทางทอดถอนใจเป็นอย่างมาก
“มีอะไรหรือ” สวีซื่ออวี้ไม่ค่อยพูดเช่นนี้ สืออีเหนียงอดรู้สึกกังวลไม่ได้
“ไม่มีอะไรขอรับ!” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าสบายดี!” อดลูบศีรษะตัวเองไม่ได้ “ก็แค่คิดว่า…ตอนนี้ได้เป็นพ่อคนแล้ว ปีหน้าจะต้องตั้งใจสอบเซียงซื่อให้ดี” ราวกับสหายคนหนึ่ง เขาพูดคุยความในใจกับสืออีเหนียงอย่างเป็นธรรมชาติ
“หากใจร้อนก็จะไม่ได้ทานเต้าหู้ร้อน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ไม่ได้วัดกันว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน”
เซี่ยงซื่อยกชาเข้ามาด้วยตัวเอง
สวีซื่ออวี้ยกให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง
“ให้สาวใช้น้อยทำก็พอแล้ว” สืออีเหนียงรับชามา กำชับเซี่ยงซื่อ “เจ้าพึ่งจะครบกำหนดอยู่เดือน!”
สีหน้าของเซี่ยงซื่อนั้นเต็มไปด้วยความสุขในฐานะที่เป็นแม่คน “นอนพักมาตั้งหนึ่งเดือน จนตะไคร่น้ำจะขึ้นทั้งตัวแล้วเจ้าค่ะ!”
ท่านพ่อและท่านแม่สามีตั้งชื่อบุตรสาวคนโตให้นาง ในใจนางรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เดินไปหยิบจานขนมเข้ามา “ข้าให้ห้องครัวทำขนมถั่วเขียวกวนกับขนมเม็ดบัวกวนสดๆ ใหม่ๆ ท่านแม่กับน้องหกลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
ขนมถั่วเขียวกวนเป็นขนมที่จิ่นเกอชอบทานมากที่สุด ส่วนสืออีเหนียงก็ค่อนข้างชอบทานขนมเม็ดบัวกวน
“อืม! อร่อย!!!” จิ่นเกอชิมไปหนึ่งคำ “ดูเหมือนว่าจะใส่น้ำตาลกรวด”
“น้องหกเก่งจริงๆ” เซี่ยงซื่อยิ้มพลางพยักหน้า “น้ำตาลป่นจะไหม้ง่าย ดังนั้นข้าจึงเลือกใช้น้ำตาลกรวด”
เห็นได้ชัดว่าจิ่นเกอชื่นชมความคิดสร้างสรรค์ของเซี่ยงซื่อ หยิบมาทานติดต่อกันถึงสองชิ้น
สวีซื่ออวี้มองจิ่นเกอพลางหัวเราะ ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ข้าคัดลอกบทความทั้งหมดที่ข้าคิดว่าเขียนได้ดีให้ท่านพ่อตาดู” เขาหันไปพูดกับสืออีเหนียง “ท่านพ่อตารู้สึกว่าดูมีความมั่นคงแต่ยังไม่มีความเฉียบคม จึงจะให้ข้าไปดูที่สถานที่ทำงานของเขา ข้ากับอาจารย์เจียงปรึกษากันแล้ว ตัดสินใจว่ากลับเยี่ยนจิงมาครั้งนี้จะอยู่เพียงแค่ช่วงสั้นๆ แล้วไปที่หูก่วงเลย พอฤดูใบไม้ร่วงค่อยกับเล่ออานขอรับ”
สามปีที่แล้วใต้เท้าเซี่ยงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลที่หูก่วง
ประเด็นหลักของการสอบคือการอภิปรายความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจการระดับแว่นเคว้นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า แทนที่จะหมกมุ่นกับความคิดของตัวเองอยู่แต่ในเรือน ไม่สู้ออกไปเดินดูรอบๆ
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย
จิ่นเกอที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “พี่สองจะไปหูก่วงอย่างนั้นหรือ อีกไม่กี่วันข้าก็จะไปต้าถงกับท่านพ่อเช่นกัน”
สวีซื่ออวี้ประหลาดใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ปีที่แล้วท่านพ่อของเจ้าไปที่เมืองเป่าติ้งมา หลังจากกลับมาก็รู้สึกว่าไม่อยากอยู่เรือนอีก พอผ่านตรุษจีนมาเขาบอกข้าว่าจะไปต้าถงหลังจากพิธีครบรอบหนึ่งเดือนของอิ๋งอิ๋ง แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว ท่านพ่อของเจ้าคงจะยังไม่ไปไหนอีกสักพักหนึ่ง”
“หลายปีมานี้ท่านพ่ออยู่แต่ในเรือน ออกไปข้างนอกบ้างก็ดี”
ทันใดนั้นสวีซื่ออวี้ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ยิ้มพลางพูดกับจิ่นเกอว่า “เจ้าอยู่ข้างกายท่านพ่อ ต้องดูแลสุขภาพท่านพ่อให้ดี เรียนรู้ให้มากๆ เมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะรู้ว่าโอกาสเช่นนี้นั้นหายากเพียงใด”
เขาไม่รู้ว่าโอกาสนั้นหายากแค่ไหน แต่เขาเองก็รู้วิธีดูแลท่านพ่อ
จิ่นเกอยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าอยู่กับท่านพ่อ ข้ายังช่วยท่านพ่อตักน้ำล้างเท้าแล้วก็จูงม้าด้วย!” ท่าทางภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก แต่พอพูดจบก็เหงื่อออกหลังทันที
นี่คือสิ่งที่ท่านพ่อกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ให้ท่านแม่รู้เด็ดขาด
“ท่านแม่” เขารีบอธิบายให้สืออีเหนียงฟัง “ท่านพ่อแค่อยากให้ข้าเรียนรู้ว่าควรปรนนิบัติคนอย่างไร…” พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก เลยพูดต่ออีกว่า “ความหมายของท่านพ่อก็คือ เป็นลูกผู้ชายต้องรู้จักอดทน ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ หากเป็นบ่าวรับใช้ก็ต้องเป็นบ่าวรับใช้ที่ดีที่สุด เป็นบ่าวรับใช้ที่เจ้านายขาดไม่ได้…” พูดเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ถูก “ท่านแม่ เป็นข้าเองที่รู้สึกว่ามันน่าสนุกดี...”
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” สืออีเหนียงเห็นเขาเหงื่อออกเต็มหน้าผาก ก็ทั้งรู้สึกขบขันและรู้สึกโกรธ “ข้ารู้ว่าท่านพ่อของเจ้ากำลังขัดเกลานิสัยเจ้าอยู่…”
“ใช่ ใช่ ใช่” จิ่นเกอรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อหมายความเช่นนี้ขอรับ ท่านพ่อบอกว่าถ้าหากข้าทำเรื่องเล็กได้ ก็สามารถทำเรื่องใหญ่ได้เช่นกัน”
สวีซื่ออวี้มองใบหน้ายิ้มแย้มของสืออีเหนียง พูดกำชับเซี่ยงซื่อเป็นการส่วนตัวว่า “เจ้าจะต้องดูแลอิ๋งอิ๋งให้ดี หากมีเรื่องอันใดที่ตัดสินใจไม่ได้ก็ให้ไปปรึกษาท่านแม่ ท่านแม่เป็นคนใจกว้าง โอบอ้อมอารี เจ้าดูคุณหนูใหญ่ แล้วดูน้องห้า…สิ่งที่สตรีไม่ควรมีก็คือความใจแคบ”
เซี่ยงซื่อพยักหน้า
สวีซื่ออวี้ใช้เวลาสองวันในการไปเยี่ยมผู้อาวุโส
เมื่อฟังจี้ทราบข่าวก็มาหา “เจ้ากลับมาเยี่ยนจิงก็ไม่เห็นมาเยี่ยมข้า!”
ตอนนี้เขาทำหน้าที่เป็นตุลาการอยู่ที่สำนักตรวจการ
“ก็ข้ากลัวว่าท่านจะฟ้องร้องข้า” สวีซื่ออวี้พูดติดตลก
ฟังจี้ทำท่าทางลำบากใจ
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้ฟ้องร้องจงซานโหว ด้วยเหตุนี้จงซานโหวจึงถูกงดจ่ายเงินค่าตอบแทนเป็นเวลาสองปี ส่วนเขาก็นับว่ามีชื่อเสียงขึ้นมาในคราเดียว
“ข้าล้อท่านเล่น!” สวีซื่ออวี้ต่อยไปที่ไหล่เขาเบาๆ “ข้าก็กำลังเตรียมจะไปเยี่ยมท่านอยู่นี่ไง!” พูดพลางลากฟังจี้เข้าไปในห้องหนังสือ “อีกไม่นานข้าก็จะไปหูก่วงแล้ว…” เขาบอกแผนของตัวเองแก่ฟังจี้
“เจ้าควรจะออกไปเดินเล่นเสียตั้งนานแล้ว” ฟังจี้เห็นด้วยเป็นอย่างมาก “ข้ายังมีสหายร่วมกรมอีกสองสามคนที่ประจำตำแหน่งอยู่ที่นั่น เจ้าจะไปเยี่ยมพวกเขาสักหน่อยก็ได้” เขาเป็นคนพูดแล้วทำเลย ให้สวีซื่ออวี้เรียกสาวใช้น้อยให้ยกแท่นฝนหมึกเข้ามาทันที “ข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้าสองสามฉบับประเดี๋ยวนี้เลย เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้สามารถไปเยี่ยมได้เลย”
การต้อนรับบุตรเขยของผู้ว่าการมณฑลนั้นไม่เหมือนกับการต้อนรับสหายร่วมกรม
สวีซื่ออวี้ตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
หลายวันมานี้ไปไหนมาไหนกับฟังจี้ ได้พบกับนักวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง และยังได้พบกับนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และปรัชญา ได้รับความรู้มากมาย จนกระทั่งถึงงานฉลองวันเกิดของไท่ฮูหยินในเดือนสี่ จึงได้ออกเดินทางไปหูก่วง
หลังจากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็พาจิ่นเกอไปต้าถง
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็ว่างขึ้นมา
วันที่สวีซื่อเจี้ยไม่มีเรียนก็มักจะมาอยู่กับนาง
“…ความบริสุทธิ์ของทองคำนั้นดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหากขัดเกลาอีกสักเล็กน้อยก็จะทำให้ส่องแสงแวววาวขึ้นมา การที่เพิ่มอัญมณีเข้าไปนั้นก็ไม่จำเป็นสักเท่าไร” สืออีเหนียงขอให้ช่างฝีมือช่วยปรับเปลี่ยนเครื่องประดับของตัวเอง สวีซื่อเจี้ยจึงช่วยออกความคิดเห็นให้นาง “ข้าว่าตีทองให้เป็นแผ่นแล้วทำเป็นรูปร่างดอกโบตั๋นดีกว่าขอรับ แค่เพียงดอกเดียวก็สามารถทำให้สะดุดตาได้” คนที่โรงเย็บปักมาทำชุดฤดูใบไม้ร่วง “ลองไปดูร้านขายลวดลายแบบซูโจวที่ถนนตงต้าก่อน ในวังยังคงสวมกระโปรงจับจีบอยู่ ส่วนคนข้างนอกก็เริ่มสวมกระโปรงจับจีบแคบสามนิ้วแล้ว” แล้วบอกสาวใช้น้อยให้นำถุงดอกมะลิตากแห้งไปแขวนไว้ในมุ้ง “กลิ่นเบาสบายกว่าดอกกล้วยไม้หยก และกลิ่นคงทนกว่าดอกพุดซ้อนเสียอีก”
สืออีเหนียงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเลี้ยงบุตรสาวอย่างไรอย่างนั้น
“การเรียนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สวีซื่อเจี้ยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “อาจารย์ฉังบอกว่าจะให้ข้าลองลงสนามในปีหน้า”
หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาเรียนได้ไม่เลวเลยทีเดียว!
สืออีเหนียงดีใจแทนเขา ลงมือทำผ้าม่านให้เขาเอาไว้กั้นตอนอ่านหนังสือ
เจียงซื่อเห็นดังนั้นก็เตือนสวีซื่อจุน “ท่านพ่อกับน้องหกไม่อยู่เรือน หากท่านมีเวลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่เรือนท่านแม่บ่อยๆ เถิด”
สองวันมานี้สวีซื่อจุนทำตัวลึกลับ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ มักจะหายไปบ่อยๆ
“ทางฝั่งของท่านแม่ก็มีน้องห้าอยู่ไม่ใช่หรือ” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ในบรรดาพี่น้อง มีเพียงน้องห้าเท่านั้นที่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับเครื่องประดับและเสื้อผ้ากับท่านแม่ได้ พวกเราไม่มีใครคุยเรื่องนี้ได้เลย!” ท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
เจียงซื่ออดขมวดคิ้วไม่ได้ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ทางฝั่งของท่านพ่อ ท่านได้เขียนจดหมายไปแล้วหรือยัง ข้าได้ยินพี่สะใภ้สองบอกว่าพี่สองเขียนจดหมายถึงพี่สะใภ้สอง ให้พี่สะใภ้สองช่วยทำสนับเข่าขนสัตว์ให้ท่านพ่อกับน้องหกคนละคู่ บอกว่าหลังจากที่ท่านพ่อกลับมาจากต้าถงก็อาจจะเลยไปเซวียนถงเลย จนถึงฤดูหนาวถึงจะกลับมา”
สวีซื่อจุนประหลาดใจเล็กน้อย “ข้าเขียนจดหมายถึงท่านพ่อแล้ว แต่ในจดหมายท่านพ่อบอกแค่ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ได้พูดอะไร” พูดอย่างลังเลว่า “เจ้าฟังมาผิดหรือไม่ ฤดูใบไม้ร่วงเจ้าก็จะคลอดแล้ว ท่านพ่อจะกลับมาตอนฤดูหนาวได้อย่างไร ถ้าหากท่านพ่อจะกลับมาตอนฤดูหนาว ท่านแม่ก็ควรจะได้รับจดหมายตั้งนานแล้ว เมื่อเช้านี้ตอนข้าไปคารวะท่านแม่ ได้พูดเรื่องการเดินทางกลับของท่านพ่อ แต่ท่านแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย!”
ก็เพราะว่าท่านแม่ไม่รู้แต่พี่สองรู้จึงทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล
“ท่านพี่เขียนจดหมายถึงท่านพ่ออีกครั้งเถิดเจ้าค่ะ” เจียงซื่อพูดต่ออีกว่า “ถามท่านพ่อว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างก็ยังดี!” จากนั้นก็ถามว่าหลายวันมานี้เขากำลังทำอะไร “…ท่านพ่อไม่อยู่เรือน นี่ก็ใกล้จะเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว แล้วก็จะเป็นวันเกิดของท่านแม่ แม้ว่าจะมีท่านย่าอยู่จึงไม่สามารถจัดงานใหญ่โตได้ แต่ว่าพวกเราในฐานะลูกๆ ก็ควรจะต้องใส่ใจสักหน่อยจึงจะถูก!”
“เจ้าอย่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามีแผนของข้าเอง!” พูดพลางเดินไปลูบท้องของเจียงซื่อ “บุตรชายของเราซุกซนหรือไม่” สีหน้าเต็มไปด้วยความสุขและความเป็นห่วง
เจียงซื่อพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
พอสวีซื่อจุนไปเรือนซวงฝู ก็รีบกำชับสะใภ้หยวนเป่าจู้ทันที “เจ้าไปหาหนังจิ้งจอกที่เป็นสินเดิมของข้ามา ข้าจะทำหมวกหนังให้ท่านพ่อสามีและน้องหกเอง”
“คุณนายน้อยสี่” สะใภ้หยวนเป่าจู้อดลังเลไม่ได้ “หนังจิ้งจอกเหล่านั้นสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ เป็นของที่ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ท่านเป็นลูกสะใภ้เอกของหย่งผิงโหว หากไม่มีของในหีบสินเดิมจะทำอย่างไร หากจะใช้หนังจิ้งจอกเหล่านั้น ไม่สู้แอบออกไปซื้อหนังดีๆ ข้างนอกจะดีกว่า ที่นี่คือเยี่ยนจิง หากพวกเราเต็มใจที่จะจ่ายเงิน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหาซื้อของดีๆ ไม่ได้เจ้าค่ะ”
เจียงซื่อนึกถึงตอนที่นางติดตามสืออีเหนียงไปจัดการเรื่องในเรือนที่ห้องโถงบุปผา ป้าหลีที่รับผิดชอบในครัวแสดงให้เห็นอย่างอ้อมค้อมว่าผู้ดูแลเรือนนอกที่ทำเรื่องจัดซื้อหลายวันมานี้จัดการได้ไม่ดี ท่านแม่สามียังยิ้มพลางพูดเรื่องที่ผู้ดูแลคนนี้มีภรรยาน้อยอยู่นอกเรือนแล้วถูกภรรยาหลวงจับได้ จึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้งขึ้นในเรือน ดังนั้นการจัดซื้อในช่วงนี้จึงขาดการกำกับดูแลไปบ้าง ตอนนั้นบรรดาผู้ดูแลที่อยู่เรือนนอกและเรือนในต่างก็พากันตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
“แม้ว่าท่านแม่สามีของข้าจะอยู่แต่เรือนใน แต่ก็ไม่สามารถปิดบังสิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนนอกจากนางได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของเรือนใน” นางส่ายหน้าเบาๆ “หากข้ามีของดีแต่เพราะเป็นสินเดิมจึงตัดใจไม่ได้ก็เลยไปซื้อของจากด้านนอกมามอบให้ท่านพ่อสามีกับน้องหก หากเป็นข่าวออกไปก็จะถูกผู้คนดูหมิ่น เรื่องนี้ก็ช่างมันเถิด ข้าจะลองคิดหาวิธีอื่น”